อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 966 นางเข้าข้างมาก
ตอนที่ 966 นางเข้าข้างมาก
ตอนที่ 966 นางเข้าข้างมาก
เมื่อเย่ซิวตู๋ออกมาจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์สีทองที่สาดส่องบนท้องฟ้า แล้วค่อย ๆ ถอนหายใจ
เหมียวเชียนชิวก็ยังไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกัน เมื่อเห็นเขาออกมา ก็รีบก้าวเข้าไปทักทายเขา “องค์ชาย…”
“ท่านจงออกคำสั่งว่าเสด็จพ่อประชวร ห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของเสด็จพ่อ จงจำไว้ว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ นอกจากเปิ่นหวางและชิงเอ๋อร์”
เหมียวเชียนชิวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่แน่ใจ “แม้แต่ไทเฮา…”
“เช่นเดียวกัน” เสียงของเย่ซิวตู๋เย็นชา ไม่ต่างจากสายลมเย็นยะเยือกยามเช้า “ช่วงนี้กิจการสำคัญของราชสำนัก เปิ่นหวางและเสนาบดีฝั่งขวาจะเป็นผู้จัดการเอง”
เหมียวเชียนชิวรู้สึกว่าเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าเขาทันที องค์ชายซิวในวันนี้ เพียงแค่มองดูก็ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
กายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ขณะรีบตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าไปเฝ้าเสด็จพ่อ และปรนนิบัติพระองค์อย่างระมัดระวัง”
จากนั้นเหมียวเชียนชิวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรับคำอย่างแผ่วเบาว่า “พ่ะย่ะค่ะ” เขาได้รับคำสั่งให้เข้าไปรับใช้ฮ่องเต้อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้ และฮ่องเต้น่าจะยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้
เขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้กับองค์ชายซิวคุยอะไรกันตลอดทั้งคืน
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคุยอะไรกัน ข่าวที่ว่าเย่ซิวตู๋ไม่ได้ออกจากวังตั้งแต่เข้ามาเมื่อคืนนี้ ก็แพร่กระจายไปเข้าหูคนที่ให้ความสนใจภายในชั่วพริบตา
ดังนั้นเมื่อเย่ซิวตู๋เพิ่งออกจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ และเดินไปยังอุทยานหลวงได้เพียงไม่กี่ก้าว ร่างหนึ่งก็ปรี่เข้ามาหาเขา
เย่ฮ่าวถิงจ้องมองเย่ซิวตู๋ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวเข้ามาสองสามก้าว แล้วพูดประชดประชันว่า “พี่ห้าช่างเป็นลูกกตัญญูเสียจริง เสด็จพ่อถูกลอบปลงพระชนม์ จึงรีบมาที่วังเพื่อเฝ้าดูอาการตลอดทั้งคืน แต่เมื่อหมู่เฟยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็ไม่เห็นว่าพี่ชายห้าจะไปเยี่ยมที่ตำหนักอี๋ซิ่งบ้างเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าในใจของพี่ห้า สถานะของเสด็จพ่อและหมู่เฟยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? หรือว่าที่พี่ห้าทำตัวประจบประแจงท่านพ่อ ก็เพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่?”
เย่ซิวตู๋มองเขาด้วยสายตาลึกล้ำและเย็นชา “ข้ามีจุดประสงค์อะไร ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”
ความจริงแล้ว เขาและเหมิงกุ้ยเฟยต่างหากที่มีจุดประสงค์แอบแฝงไม่ใช่หรือ?
“ท่าน…” เย่ฮ่าวถิงรู้สึกว่าเย่ซิวตู๋ดูแตกต่างไปเล็กน้อยในวันนี้ และเขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรคือความแตกต่าง แต่รู้สึกว่าทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน
เย่ฮ่าวถิงหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เย้ยหยันและเดินจากไป
เย่ซิวตู๋หันไปมองเขาที่ค่อย ๆ เดินจากไป และมองไปยังทิศทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไป และพูดหลังจากนั้นครู่หนึ่งว่า “เสด็จพ่อต้องการพักผ่อน ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน เจ้าก็เช่นเดียวกัน”
เย่ฮ่าวถิงชะงักไปเล็กน้อยและขมวดคิ้ว แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องบรรทมของฮ่องเต้ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เย่ซิวตู๋เม้มปากอย่างเย้ยหยัน และยืนนิ่งคอยดู
แน่นอนว่าใช้เวลาไม่นานนัก เย่ฮ่าวถิงก็กลับมา เมื่อเห็นเขาแล้ว เย่ฮ่าวถิงก็แทบจะพุ่งเข้ามาสู้กับเขา
“เย่ซิวตู๋ เจ้ากำลังพยายามทำอะไรกันแน่? เจ้าคิดจะกักขังเสด็จพ่อหรือ?” ทันทีที่เขาเดินไปถึงหน้าห้องบรรทม เขาก็ถูกเหมียวกงกงขวางไว้
เดิมทีเขาต้องการบุกเข้าไป แต่มีทหารรักษาพระองค์อีกหลายคนมาขวางหน้าเขาทันที แต่ละคนมีสีหน้าเฉยเมย
ดูเหมือนว่าถ้าเขากล้าก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว พวกเขาก็จะฆ่าเขาโดยไม่ลังเล
เย่ฮ่าวถิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงถอยกลับมา คาดไม่ถึงเลยว่าเย่ซิวตู๋จะยังคงยืนอยู่ในสวนหลวง
เย่ซิวตู๋เพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างมีเลศนัย และพูดเรียบ ๆ ว่า “สิ่งที่ข้าทำไม่เกี่ยวกับเจ้า”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เสื้อคลุมสีดำโบกสะบัด แม้วันคืนจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป เสื้อคลุมนั้นก็ยังคงเรียบพิถีพิถัน ไม่มีรอยยับแม้แต่นิดเดียว
หลังของเขาตั้งตรง เย่ฮ่าวถิงมองแผ่นหลังของเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขากำหมัดแน่นจนข้อต่อส่งเสียงดังชัดเจน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หันหลังเดินไปทางตำหนักอี๋ซิ่งทันที
เย่ซิวตู๋เดินออกจากประตูวัง ขณะที่ดวงอาทิตย์ด้านนอกแผดแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ เขาขี่ม้ากลับตำหนักองค์ชายซิวเช่นเดียวกับตอนขามา
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เมื่อเย่ซิวตู๋เข้าไปในตำหนัก คนรับใช้ก็กำลังยุ่งกับการเตรียมอาหารเช้าอยู่
อวี้ชิงลั่ว… ยังไม่ตื่น
เย่ซิวตู๋เดินเข้าไปในห้องของนางอย่างแผ่วเบา หลังจากล้างหน้าแล้ว เขาก็ถอดเสื้อออกแล้วเอนกายลงบนเตียง และกอดร่างปวกเปียกของนางไว้ในอ้อมแขน
ในช่วงต้นฤดูสารท ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิตอนเช้ากับตอนเย็นนั้นสูงมาก ตอนที่เย่ซิวตู๋ขี่ม้ากลับมา ร่างของเขาก็เย็นเฉียบ เมื่อปลายนิ้วสัมผัสร่างอันอบอุ่นของนาง เขาก็รู้สึกพึงพอใจมาก
อวี้ชิงลั่วที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นลืมตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาหัวเราะเบา ๆ นางก็เอื้อมมือไปกอดเอวเขา
“เหตุใดท่านถึงกลับมาตอนนี้?” นางบอกอย่างชัดเจนว่าให้เขากลับมาตั้งแต่เมื่อวาน อวี้ชิงลั่วเม้มปากขณะครุ่นคิดด้วยความไม่พอใจ เมื่อคืนนางไม่เห็นเขากลับมาจึงกังวลอยู่ในใจตลอดเวลา กว่านางจะหลับลงก็ถึงยามอิ๋นแล้ว ซึ่งตอนนี้ผ่านไปเพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น ทำให้นางง่วงมาก
เย่ซิวตู๋มองนัยน์ตาเหนื่อยล้าของนาง และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบผมของนาง
อวี้ชิงลั่วหลับตา เมื่อพบว่าเขาเงียบไปนาน โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ความง่วงงุนก็เริ่มจางหายไป
“เกิดอะไรขึ้น?” นางขยี้ตา และเมื่อเห็นสีหน้าของเขา หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที
“…ไม่มีอะไร” เย่ซิวตู๋มองดูนางพยุงตัวขึ้นด้วยแรงอันน้อยนิด จากนั้นกอดนางกลับมาอีกครั้ง “นอนกับข้าอีกสักพักเถิด”
อวี้ชิงลั่วซุกใบหน้าไว้ในอ้อมแขนของเขา แม้ว่านางจะยังง่วงงุน แต่ตอนนี้จะยังคงหลับอยู่ได้อย่างไร?
เมื่อวานนี้เขาได้รู้หลายสิ่งหลายอย่าง จากนั้นเขาก็ไปอยู่ในวังหนึ่งคืน และกลับมาด้วยสีหน้าเช่นนี้ จะไม่ให้นางคิดมากได้อย่างไร?
นิ้วของอวี้ชิงลั่วค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าของเขา นางเงยหน้าขึ้นมองเขา เม้มปากและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเบา ๆ ว่า “อย่าคิดมากไปเลย ตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้น ท่านยังคงไร้เดียงสา ตอนนั้นท่านยังไม่เข้าใจสถานการณ์ด้วยซ้ำ ไม่ต่างจากเป็ดที่ถูกบังคับให้ขึ้นคอน สุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน แม้ว่าตอนแรกเหมิงกุ้ยเฟยจะไร้เดียงสา แต่มันก็เป็นความผิดของนาง ที่ปฏิบัติต่อท่านเช่นนั้นในภายหลัง คนเราเลือกที่จะทำได้ไม่ใช่หรือ? แต่นางกลับเลือกวิธีรุนแรง ซึ่งนั่นคือปัญหาของนาง เช่นเดียวกับข้า ข้าเองก็รอดมาจากสถานการณ์ชวนสิ้นหวังหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? แม้ชีวิตจะลำบากยากเข็ญ แต่ข้าก็ยังคงเลี้ยงหนานหนานน้อยจ้ำม่ำมาได้ อีกทั้งตอนนี้ข้ายังได้พบกับเจ้า ซึ่งก็นับว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว”
อวี้ชิงลั่วเป็นคนที่เข้าข้างเขามาก นางไม่สนใจว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเหมิงกุ้ยเฟยจะเคยโศกเศร้าเพียงใด หรือโชคชะตาของนางจะไม่ยุติธรรมมากเพียงใด เพราะนางไล่ล่าและพยายามสังหารเย่ซิวตู๋มาหลายครั้ง ซึ่งเขาก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิดหลายครั้ง เกือบทำให้นางเป็นม่าย และหนานหนานเกือบกลายเป็นเด็กไม่มีพ่อ ดังนั้นเหมิงกุ้ยเฟยจึงเป็นศัตรูของนาง เป็นศัตรูตัวฉกาจ
อีกทั้งตอนนี้เย่ซิวตู๋เป็นอะไรไป? การที่เขาเกิดมาเป็นความผิดพลาดหรือ?
“พรืด” เมื่อเย่ซิวตู๋เห็นสีหน้าเคร่งขรึมและขุ่นเคืองของนาง จู่ ๆ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถึงบอกอยู่ว่าเหมิงกุ้ยเฟยควรไปหาจิตแพทย์ สภาพจิตใจพังแล้วก็ควรรักษา ปล่อยทิ้งไว้ก็จะกลายเป็นคนร้ายกาจอำมหิตแบบนี้แหละ
ไหหม่า(海馬)