อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 967 เขาใจดีมาก
ตอนที่ 967 เขาใจดีมาก
ตอนที่ 967 เขาใจดีมาก
อวี้ชิงลั่วตีเขา “ท่านหัวเราะอะไร? ข้าพูดจริงจังนะ ท่านอย่าได้มุดเข้าไปในเขาโค*เลย พูดตามตรงคือเหมิงกุ้ยเฟยเป็นคนทะเยอทะยาน และมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นอย่าโทษตัวเองเลย เข้าใจหรือไม่?”
* มุดเข้าไปในเขาโค (钻牛角尖) เป็นสำนวนหมายถึง ดันทุรังคิดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาได้
เย่ซิวตู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วกระชับอ้อมแขนกอดนางไว้แน่น
อวี้ชิงลั่วซุกหน้าในอ้อมแขนของเขา จากนั้นเสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง ตามมาด้วยเสียงครวญคราง เพราะนางวางมือบนเอวของเขาแล้วหยิกอย่างแรง “อย่าหัวเราะ”
“ชิงเอ๋อร์” เย่ซิวตู๋ทำอะไรไม่ถูก “เจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าไม่ได้… อืม ไม่ได้เกรงใจคนผู้นั้น นางกล้าโจมตีเสด็จพ่อก็เพียงเท่านี้ ไม่ว่านางจะเคยประสบกับเรื่องเลวร้ายอะไรมาก่อน ข้าก็จะไม่เมตตา เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
ดวงตาของเย่ซิวตู๋เป็นประกาย หัวใจที่หนักอึ้งกลับกลายเป็นผ่อนคลายและสดใส เพราะการแสดงออกของนาง
“มีอะไรหรือ? เหตุใดจึงหน้าแดงนัก?”
เมื่อเห็นว่าเขากล้าล้อเลียนนาง ทันใดนั้นอวี้ชิงลั่วก็หยิกเอวเขาอย่างแรง
“โอ๊ย” เย่ซิวตู๋ร้องออกมา “ชิงเอ๋อร์… เบาหน่อย”
“ฮึ่ม” อวี้ชิงลั่วยอมปล่อยเขา เพราะเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่นางก็ยังคงไม่พอใจมาก จึงตีเขาอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ใครบอกให้ท่านทำหน้าตาหนักใจราวกับว่าฟ้ากำลังจะถล่มเช่นนั้นเล่า ข้าจึงคิดว่าท่านยังคิดมากเพราะสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อวานอยู่ ข้าเป็นห่วงท่าน แต่ท่านยังจะกล้ายั่วโมโหข้าอีก ถ้าท่านหัวเราะอีกครั้ง ข้าจะเตะท่าน”
พูดจบแล้ว นางก็เหยียดขาออกมาจริง ๆ
เย่ซิวตู๋พลิกตัวขึ้นมาทันที และกดนางไว้ใต้ร่างเขา
“ชิงเอ๋อร์ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว” เขาพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงจุมพิตนาง
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของอวี้ชิงลั่วยังคงแดงอยู่เล็กน้อย เย่ซิวตู๋ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปจุมพิตนางอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหยุดเขาได้ อวี้ชิงลั่วจึงรีบหันหน้าไปด้านข้าง แล้วใช้มือประคองหน้าเขาไว้ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “หยุดนะ ข้ายังไม่ได้บ้วนปากเลย”
เย่ซิวตู๋หัวเราะ ก่อนจะโน้มตัวไปกัดริมฝีปากนางอย่างแรง แล้วพลิกตัวลงนอนข้างนางและกอดนาง
อวี้ชิงลั่วเอนตัวครึ่งหนึ่งพิงเขา เมื่อมองเห็นขอบตาของเขาเป็นสีคล้ำแต่ยังคงลืมตาและไม่ยอมนอน นางจึงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วที่ท่านเข้าไปในวังสนทนากับฝ่าบาททั้งคืนได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
หลังจากที่นางถามจบ นางก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของเย่ซิวตู๋เกร็งขึ้น
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วทันที และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ศีรษะของนางก็ถูกเย่ซิวตู๋กดไว้ ทำให้ไม่สามารถขยับได้
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ “ชิงเอ๋อร์ ต่อไปนี้ข้าจะ… ยุ่งมาก”
หัวใจของอวี้ชิงลั่วเต้นไม่เป็นจังหวะ นางพูดทวนว่า “ยุ่งมาก… ยุ่งหรือ?”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าก็รู้…” เย่ซิวตู๋ลังเลที่จะพูด ราวกับว่าเขากำลังหาคำพูดที่เหมาะสม ที่จะอธิบายให้นางฟัง “…เสด็จพ่อมีพระพลานามัยไม่ดี อย่างที่เจ้าบอกว่าท่านไม่เหมาะกับการทำงานหนักอีกต่อไป ข้าเป็นโอรสของท่าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าหลีกเลี่ยงเมืองหลวงมาโดยตลอดเพราะเหมิงกุ้ยเฟย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลย ตอนนี้… ข้ากลับต้องการให้เสด็จพ่อของข้ามีชีวิตอยู่อีกสองสามปี ในบรรดาองค์ชายไม่กี่คนตอนนี้ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมเลย… เสด็จพ่อไว้วางใจและโปรดปรานข้ามาโดยตลอด แต่ข้ายังไม่ได้ตอบแทนความเมตตา ที่ท่านเลี้ยงดูและดูแลเสมอมาได้เลย ข้า…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ซิวตู๋ระบาย ด้วยคำพูดฟังดูไม่เป็นระเบียบและตะกุกตะกัก
แต่อวี้ชิงลั่วกลับเข้าใจได้อย่างชัดเจน ผลลัพธ์เช่นนี้… ไม่ใช่ว่านางเดาไว้นานแล้วหรือ?
เย่ซิวตู๋ไม่อาจปล่อยฮ่องเต้ไปได้ แต่สุขภาพของฮ่องเต้ย่ำแย่มาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแบกรับภาระของอาณาจักรเฟิงชาง
“ชิงเอ๋อร์… ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ควรปรึกษาเจ้าก่อน แต่เมื่อเห็นว่าเสด็จพ่อของข้าแก่ชราลงเท่าใดแล้ว ข้าจึง…” เย่ซิวตู๋กระวนกระวายเล็กน้อย และก้มมองสีหน้าของอวี้ชิงลั่ว
แต่ศีรษะของอวี้ชิงลั่วถูกฝ่ามือของเขากดไว้ เขาจึงมองเห็นได้เพียงหลังมือตัวเองเท่านั้น
อวี้ชิงลั่วสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเขา นางจึงยื่นมือออกไปจับขอบเตียงอีกด้านช้า ๆ และจับมืออีกข้างของเขาไว้ใต้ผ้านวม แยกนิ้วที่กำแน่นของเขาออกทีละนิ้ว และสอดนิ้วทั้งห้าเข้าไปประสานมือกับเขา จนตระหนักได้ว่ามือของเย่ซิวตู๋เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ทันใดนั้นอวี้ชิงลั่วก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาทำเช่นนั้นก็สมควรแล้ว เขาตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องมาเครียดมาก
“ชิงเอ๋อร์?” เย่ซิวตู๋รู้สึกงุนงงกับการกระทำของนาง แต่อวี้ชิงลั่วไม่ได้เอ่ยคำใด
“ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องใช้เวลากับข้าและหนานหนานให้นานขึ้น” หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเสียงอู้อี้ของนางก็ดังขึ้น
ดวงตาเย่ซิวตู๋เป็นประกาย เขาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และใช้มือทั้งสองข้างจับใบหน้านางไว้ “ชิงเอ๋อร์ เจ้าไม่โกรธหรือ?”
“โกรธงั้นหรือ?” อวี้ชิงลั่วมองเขาด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดต้องโกรธด้วย? โกรธที่ท่านเป็นลูกกตัญญูหรือ? หรือว่าโกรธที่ท่านยังกล้ายั่วอารมณ์ข้าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้?”
บุรุษที่ดูเย็นชาคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนใจดีมากกว่าใคร ๆ ตราบใดที่เป็นคนที่เขาห่วงใย เขาจะทุ่มเทมากเพื่อคนคนนั้น
ในตอนที่เผิงอิงได้รับบาดเจ็บ เขายอมจ่ายเงินสิบห้าล้านตำลึงเพื่อซื้อยาให้ได้
ผู้อาวุโสสกุลหมิงหมดสติ เขาก็คอยเฝ้าอยู่ตลอดทั้งคืนโดยไม่หลับไหล
พระพลานามัยของฮ่องเต้เริ่มทรุดลงทุกวัน เขาก็ยอมรับภาระที่เคยหลีกเลี่ยงมาก่อนได้
ตอนนี้เขากำลังเป็นห่วงความรู้สึกของนาง
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก และดึงมือของเขาเบา ๆ “เอาล่ะ ท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืน รีบนอนเถิด ข้าเองก็ง่วงมากเช่นกัน ไว้ค่อยคุยกันต่อตอนตื่นก็ได้”
ตอนนี้เขาต้องพักผ่อนอย่างเร่งด่วน ซึ่งอวี้ชิงลั่วเห็นใจเขามาก
เย่ซิวตู๋ตอบว่า ‘อืม’ อย่างอ่อนโยน ใช่ เขาต้องพักผ่อนก่อน ต่อไปยังมีศึกหนักรอเผชิญหน้าอยู่
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจออกมาเบา ๆ กดตัวเขาให้นอนลง และห่มผ้านวมให้เขาเบา ๆ ก่อนจะหลับสนิทในอ้อมแขนของเขา
เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆสีแดง
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดนางจึงหลับไปนานถึงเพียงนี้?
“ตื่นแล้วหรือ?” เย่ซิวตู๋คลี่ยิ้มและจุมพิตหน้าผากของนาง จากนั้นดึงแขนของเขาออกจากใต้ศีรษะอีกฝ่าย “เจ้าหิวหรือไม่?”
“…หิว” นางถูกปลุกขึ้นมาด้วยความหิว ไม่เช่นนั้นคงได้นอนจนถึงเที่ยงคืนแล้ว อวี้ชิงลั่วคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
จากนั้นนางจึงได้ยินเย่ซิวตู๋ลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับคนข้างนอกว่า “เยว่ซิน เตรียมอาหาร”
“เพคะ” เสียงอันคมชัดของเยว่ซินดังขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรอยยิ้มผุดขึ้น
จนอวี้ชิงลั่วอยากจะซุกหน้าลงกับเตียงมากกว่าเดิม
เยว่ซินรีบสั่งให้สาวใช้นำอาหารเข้ามา และคนที่ตามหลังนางมาคือโม่เสียน
“นายท่าน”
“สถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง?” เย่ซิวตู๋ยืนอยู่หลังฉากกั้นห้อง ขณะให้อวี้ชิงลั่วแต่งตัวให้เขา
โม่เสียนรอให้สาวใช้ทั้งหมดในห้องถอยออกไปก่อน จากนั้นจึงตอบเบา ๆ ว่า “องค์ชายเจ็ดเพิ่งออกมาจากตำหนักอี๋ซิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซิวตู๋นึกเย้ยหยัน จากนั้นจัดชุดของเขาให้เป็นระเบียบ แล้วเดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นห้อง “มีอะไรอีกหรือไม่?”
“อีกทั้ง…” โม่เสียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดช้า ๆ “องค์ชายหกเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
องค์ชายหกมาเยือนถึงที่ทำไมกันนะ จะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นอีก
ไหหม่า(海馬)