อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 969 คำโกหกที่หวังดี
ตอนที่ 969 คำโกหกที่หวังดี
ตอนที่ 969 คำโกหกที่หวังดี
เหตุใดจึงต้องส่งคนไปคอยเฝ้านอกตำหนักองค์ชายหกเพื่อช่วยเขาไล่จับมือสังหารน่ะหรือ? ก็เป็นเพราะเขาควรทำเช่นนั้นน่ะสิ
ถึงแม้เย่ซิวตู๋และองค์ชายหกจะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากนัก แต่มีบางคนที่ต่อให้ใช้เวลาด้วยกันไม่มาก แต่ก็รู้ดีว่าคนผู้นี้มีนิสัยเป็นเช่นไร
องค์ชายหกย่อมมีความทะเยอทะยาน แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้ถึงขั้นที่เสียสติจนต้องฆ่าพี่น้อง
เขาเป็นบุตรชายของหมิ่นเฟย หมิ่นเฟยเป็นคนที่หยิ่งยโสมาด้วยตลอด ถึงแม้จะต้องต่อสู้กับเหล่านางสนมในวังหลวงมาหลายปี นางก็ยังคงรักษาความเย่อหยิ่งของตนเอาไว้
ด้วยนิสัยเช่นนี้ของหมิ่นเฟย ถึงแม้บุตรที่สั่งสอนมาจะไม่เหมือนกับนาง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดของตนเองอยู่
เย่ซิวตู๋และองค์ชายหกกลับจากเมืองตันหยางมาด้วยกัน การใช้เวลาด้วยกันมาตลอดทางก็ย่อมรู้ถึงจิตใจกันอยู่บ้าง
ดังนั้นคนอย่างเช่นองค์ชายหกนี้ ไม่เหมาะจะเป็นศัตรูเลยจริงๆ เพราะหากเขากลายเป็นศัตรู จะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าองค์ชายเจ็ด
อีกอย่าง ต่อให้ตนไม่ส่งคนไปคุ้มครองเขา องค์ชายหกเองก็มีความสามารถในการป้องกันตนเอง เขาก็เพียงแค่ซื้อใจอีกฝ่ายก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นหากการกระทำของเสด็จพ่อไปทำร้ายองค์ชายหกเข้าจริงๆ จนทำให้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เช่นนั้นต่อไปก็จะเกิดปัญหาได้
การซ่อนตัวและทำให้ตนเองอ่อนแอลงก็ย่อมเป็นวิธีป้องกันตนเองที่ดีวิธีหนึ่ง แต่ถ้ามากเกินไปจนทำให้คนมองไม่ออก ก็อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ฉลาด
อย่างเช่น…กับคนที่เหนือกว่า
เป็นเพราะเสด็จพ่อมองบุตรชายที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังองค์ชายสามและองค์ชายสี่มาโดยตลอดไม่ออก จึงได้ใช้วิธีนี้…ไปบีบบังคับเขา
บางที เสด็จพ่ออาจจะคิดอยากจัดการกับบุตรชายที่เขาไม่สามารถควบคุมได้แม้แต่นิดโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เย่ซิวตู๋หัวเราะออกมาเบาๆ ค่อยๆ นั่งลง เมื่อเห็นคนรับใช้นำอาหารเย็นมาให้ทีละคนๆ ก็หยุดพูด
จนกระทั่งพวกเขากล่าวลาออกไปอีกครั้ง ในโถงบุปผาขนาดใหญ่ก็เหลือเพียงเขาและองค์ชายหกสองคนเท่านั้น จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำเช่นนี้ ย่อมเป็นรับสั่งของเสด็จพ่อ”
องค์ชายหกอึ้งงัน “รับสั่งของเสด็จพ่อหรือ?”
“แน่นอน” เย่ซิวตู๋ก้มหน้าลงเล็กน้อย “เสด็จพ่อมีความตั้งใจจะกำจัดคนที่มีเจตนาร้าย ถึงแม้วิธีที่ทรงเลือกจะโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่อย่างไรน้องหกก็เป็นบุตรชายของเสด็จพ่อ เป็นสายเลือดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะทนเห็นน้องหกตกอยู่ในอันตรายได้จริงๆ น่ะหรือ ดังนั้น เสด็จพ่อจึงให้ข้าแอบส่งยอดฝีมือไปคอยเฝ้าที่ด้านนอกตำหนักของน้องหก ไม่ให้พวกมันทำให้น้องหกเป็นอันตรายแม้แต่ผมเส้นเดียวอย่างไรเล่า”
เย่ซิวตู๋คิดว่าเขาโกหกไปเพราะมีเจตนาที่ดี เขาไม่มีทางบอกว่าฮ่องเต้นำอีกฝ่ายไปไว้ในรายชื่อของคนที่มีแผนชั่วจนทำให้น้องหกโกรธเกลียดเสด็จพ่อได้
บางครั้งการทรยศภายในครอบครัวเช่นนี้จะทำให้คนตกอยู่ในสภาพอับจนหนทาง ความโกรธเกลียดก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วย
แน่นอน องค์ชายหกตะลึงไป มือที่ถือจอกสุรากระชับแน่นขึ้น สีหน้าก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย
ความสัมพันธ์พ่อลูกของเขาและฮ่องเต้นั้นช่างห่างเหินมากนัก เขาเข้าใจว่าตลอดชีวิตนี้ ในใจของเสด็จพ่อ คนที่จะถูกเรียกได้ว่าเป็นบุตรชาย คนที่จะได้รับการปกป้องจากเขานั้นมีเพียงพี่ห้าเท่านั้น แต่คิดไม่ถึง…
องค์ชายหกกัดฟันแน่น คำพูดของเย่ซิวตู๋ทำให้ในใจเขาเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ที่ซัดสาดอย่างแรง ทำให้สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้นในทันตา
เย่ซิวตู๋ลอบถอนหายใจ ยิ้มและยกจอกขึ้น “มา ดื่มสักจอกเถิด
องค์ชายหกชนจอกกับเขาดังเคร้ง เงยหน้าขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว
เย่ซิวตู๋ยกมุมปาก ดันจอกสุราไปตรงหน้าของเขา “รินสิ”
องค์ชายหกรินเต็มจอกในทันที เงยหน้าดื่มอีกครั้ง
“เสด็จพ่อ… นี่ช่าง…” เขาเอ่ยพึมพำ อยากจะยืนยันอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เย่ซิวตู๋หมุนจอกสุรา ลอบถอนหายใจแล้วกล่าว “ในวังหลวงมีการป้องกันแน่นหนา เสด็จพ่อกลับถูกลอบปลงพระชนม์ในช่วงเวลาเช่นนี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
องค์ชายหกชะงักไป ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “พี่ห้าหมายความว่า…”
“เสด็จพ่อส่งผู้พิทักษ์ทมิฬออกไปทั้งหมด เปิดเผยตนเองต่อหน้ามือสังหาร เสด็จพ่อไม่ได้ใช้น้องหกเป็นเหยื่อล่อ เสด็จพ่อเองต่างหากที่ทรงเป็นเหยื่อล่อที่แท้จริง” คำพูดนี้ของเย่ซิวตู๋นั้นกลับเป็นความจริง ไม่ว่าจะอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางปล่อยให้มือสังหารทำสำเร็จได้ง่ายๆ เช่นนั้น
เมื่อเรื่องจบแล้วเขาก็มาคิดอย่างรอบคอบ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เป็นเพราะเสด็จพ่อรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของตนนั้นไม่แข็งแรงเหมือนก่อน จึงได้วางเดิมพันทั้งหมดในครั้งเดียว
องค์ชายหกตื่นตกใจอย่างมาก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เสด็จพ่อท่าน ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อหรือ?”
เย่ซิวตู๋เงียบไป ดื่มสุราหนึ่งจอกอย่างเงียบๆ จากนั้นก็คิดได้ว่าอวี้ชิงลั่วไม่ชอบกลิ่นสุราบนตัวเขา จึงวางจอกลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
องค์ชายหกเองก็เงียบไปเช่นกัน แต่สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
ทั่วทั้งโถงบุปผาเข้าสู่บรรยากาศที่แปลกประหลาดผิดปกติ
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ขององค์ชายหกดังขึ้น “พี่ห้า หากมีเรื่องอันใดต้องการให้ข้าช่วย สั่งมาได้เลยนะขอรับ”
เย่ซิวตู๋ยิ้ม พยักหน้า “หากมีเรื่องที่น้องหกจะเป็นประโยชน์ได้ ก็ย่อมไม่เกรงใจ กินข้าวเถิด”
องค์ชายหกมองเขาแวบหนึ่ง แลกเปลี่ยนรอยยิ้มที่มีเลศนัยกับเขา
เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้กินอาหารเย็นอย่าง ‘เปิดใจให้กัน’ แบบใกล้ชิด
จนกระทั่งเย่ซิวตู๋กลับไปถึงเรือน สีหน้าก็แดงเล็กน้อย แววตาเป็นประกาย เมื่ออวี้ชิงลั่วมาต้อนรับก็ได้กลิ่นสุราจางๆ
นางอึ้งไป “ท่านกับองค์ชายหกคุยกันอย่างมีความสุขเลยสินะ”
นางกล่าวจบก็รีบให้เยว่ซินไปต้มชาแก้เมามาให้เขา
เย่ซิวตู๋กลับโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ข้าดื่มไปเล็กน้อยเท่านั้น กลัวจะทำเจ้าเหม็นเลยไม่กล้าดื่มมากนัก”
“แต่ข้าไม่กลัวเหม็นนะ” หนานหนานเจ้าขี้เมาคนนั้น ไม่รู้ว่าทำให้นางเหม็นมากี่ครั้งแล้ว “แต่ท่านไม่ชอบดื่มสุรามาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นท่านดื่มเสียจนเป็นเช่นนี้”
เย่ซิวตู๋ถูกนางพยุงไปนั่งตรงขอบเตียง ส่วนอวี้ชิงลั่วมองเขาอีกครั้ง พบว่าถึงแม้กลิ่นบนตัวเขาจะแรง แต่สติเขายังชัดเจนอยู่
ก็จริง เขาผู้นี้เป็นคนรู้จักมีเหตุผลมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ ยิ่งไม่ยอมปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนไม่มีสติไปได้
“ท่านกับองค์ชายหกพูดคุยอันใดกัน?”
เย่ซิวตู๋ส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่พี่น้องคุยกัน เก็บเกี่ยวประสบการณ์พี่น้องก็เท่านั้น”
อวี้ชิงลั่วเหน็บแนม “เก็บเกี่ยวหรือ เหตุใดข้าดูสีหน้าท่านแล้วเหมือนว่าหลอกลวงเสียมากกว่า”
“ฮ่าๆๆ ชิงเอ๋อร์ มีแต่เจ้าที่เข้าใจข้า”
อวี้ชิงลั่วยิ่งไม่อยากคุยกับเขาเข้าไปใหญ่ คนผู้นี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
นางหมุนตัว บิดผ้าเช็ดหน้าเปียกมาให้เขาเช็ดหน้า “หนานหนานมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ถามท่านว่าเขาสามารถเข้าวังไปหาฝ่าบาทได้หรือไม่”
เจ้าเด็กนั่นกลัวว่าอาการฝ่าบาทจะย่ำแย่ลง อยากจะอยู่กับเขาให้มากๆ
เย่ซิวตู๋ชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “ช่วงนี้อย่าให้เขาไปเลย ให้อยู่ในตำหนักกับหลานเฉิงก็พอแล้ว จริงสิ พรุ่งนี้เจ้าไปรับเป่าเอ๋อร์มาเถิด สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงแล้ว เขาอยู่ที่จวนอวี้คนเดียวจะไม่ปลอดภัย”
ในใจอวี้ชิงลั่วเต้นไม่เป็นจังหวะ สีหน้าจริงจังมากขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว”
สิ่งที่เรียกว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ช่างเกิดขึ้นรวดเร็วและเร่งรีบนัก
เช้าวันต่อมา รถม้าของอวี้ชิงลั่วยังไม่ทันถึงจวนอวี้ ระหว่างทางก็มีข่าวลือเกี่ยวกับเย่ซิวตู๋เพิ่มขึ้นมา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว แผนต่อไปจะยังไงต่อนะ
เห็นด้วยแหละค่ะว่าคนเงียบๆ ไม่อะไรกับใครอย่างองค์ชายหกนี่อันตรายที่สุดถ้าเกิดจนตรอกขึ้นมา
ไหหม่า(海馬)