อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 999 ที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียว
ตอนที่ 999 ที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียว
ตอนที่ 999 ที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียว
เย่ซิวตู๋ตะลึงไป หรี่ตา จากนั้นครู่หนึ่งก็ถาม “ตอนนี้คนอยู่ที่ใด”
“แค่กๆ” ฟ่านผิงอวิ๋นกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้าปรากฏความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย หัวเราะแห้งๆ “สหายเหล่านั้นของแม่นางอวี้ เอาตัวเหมิงกุ้ยเฟยใส่ไว้ในกระสอบอันหนึ่ง ระหว่างทางดูเหมือนจะเตะไปหลายครั้ง เหมิงกุ้ยเฟยน่าจะหมดสติไปแล้ว ถูกคนเหล่านั้นจับมัดแขนขาและโยนทิ้งไว้ในกระท่อมเล็กๆ ตรงสวนดอกไม้หลังตำหนักขอรับ”
เย่ซิวตู๋ลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง สหายเหล่านั้นของชิงเอ๋อร์ นิสัยล้วนแปลกประหลาดนัก
“เข้าใจแล้ว” เย่ซิวตู๋ได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับเล็กน้อย
ฟ่านผิงอวิ๋นมองสีหน้าของเขา กล่าวถามเสียงเบา “ท่านอ๋องจะไปดูหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้รอชิงเอ๋อร์กลับมาค่อยว่ากัน เจ้าส่งคนมากหน่อยคอยคุ้มกันตำหนักอ๋องซิวไว้ ในวันข้างหน้านี้ เกรงว่าตำหนักอ๋องซิวจะไม่สงบนัก”
เหมิงกุ้ยเฟยถูกจับตัวมา องค์ชายเจ็ดจะต้องไม่ปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน เกรงว่าการต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น ตำหนักอ๋องซิวนี้ก็คงมีการบาดเจ็บล้มตายเพื่อปกป้องฆ่าศึกทุกวันเป็นแน่
“ขอรับ” ฟ่านผิงอวิ๋นพยักหน้า หันหลังจากไป
เย่ซิวตู๋กลับขมวดคิ้วในทันใด เรียกเขาเอาไว้ “ชิงเอ๋อร์เข้าวังไปนานเพียงใดแล้ว?”
“กว่าสี่ชั่วยามแล้วขอรับ” ตอนนี้ท้องฟ้ามืด ใช้เวลาไปไม่น้อยแล้ว
ใช้เวลานานเพียงนี้เลยหรือ เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เดินกลับห้องตำราของตนไปอย่างช้าๆ
และไม่รู้ว่าทางด้านชิงเอ๋อร์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง นางพาพี่น้องลู่หลานเฟิงที่เดิมทีถูกส่งไปจับตัวเหมิงกุ้ยเฟยเข้าวังไปด้วย โอกาสในการชนะก็น่าจะมีมากจึงจะถูก
เพียงแต่เกรงว่านางจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเป่าเอ๋อร์ จึงไม่กล้าลงมือฆ่า
ส่วนอวี้ชิงลั่วที่อยู่ในวังตอนนี้ก็กำลังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อยจริงๆ
ฟังจากที่หนานหนานกล่าวแล้ว เป่าเอ๋อร์ถูกขังอยู่ในกล่องเหล็กที่เต็มไปด้วยกลไก หากพวกเขาทำให้คนของคังเฟยรู้ตัว ในมือพวกเขามีเป่าเอ๋อร์ ย่อมไม่มีทางช่วยคนออกมาได้
ดังนั้น พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ด้านนอกตำหนักจิ่นหวามาครู่ใหญ่แล้ว
ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืดนัก หากต้องการหลบผู้พิทักษ์ทมิฬที่คอยคุ้มกันอยู่รอบๆ ตำหนักจิ่งหวา ต่อให้มีเคล็ดวิชาฝ่าเท้าของตระกูลลู่ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่เล็กน้อย
เพียงแต่… อวี้ชิงลั่วรอถึงตอนดึกแล้วค่อยลงมือไม่ได้จริงๆ
เพียงคิดถึงความทรมานเหล่านั้นที่อวี้เป่าเอ๋อร์ได้รับ เลือดทั่วทั้งร่างกายของนางก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมา
“ชิงลั่ว ต้องคิดหาทางให้ได้นะ” แววตาของลู่หลานเฟิงมองหาความเปลี่ยนแปลงของกิ่งไม้สูงบนหลังคาตำหนักจิ่งหวา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคนไม่น้อย ถึงแม้พวกข้าจะจัดการได้ แต่คงไม่สามารถจัดการได้หมดก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้เป่าเอ๋อร์เป็นแน่”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า มือกำนิ้วเบาๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็กล่าวเบาๆ “ข้าจะไปขอให้เหมียวกงกงช่วย พวกเจ้าคอยจับตาดูอยู่ที่นี่ต่อไปล่ะ”
“เจ้าระวังตัวด้วย”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย ชุดนางข้าหลวงบนตัวของนางเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด มวยผมสองอันบนศีรษะดูแปลกตาอย่างมาก
นางก้าวเดินไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้โดยไม่หยุดฝีเท้า หลังผ่านไปสิบห้านาทีก็เดินออกมาอีกครั้ง กลับมาหาทางด้านลู่หลานเฟิงและคนอื่นๆ
“เรียบร้อยแล้วหรือ?”
“อืม” อวี้ชิงลั่วพยักหน้า พยักพเยิดคางกล่าว “คอยดูเถิด”
ทันทีที่นางกล่าวจบก็เห็นขันทีน้อยเดินออกมาจากตำหนักของคังเฟย ผ่านไปไม่นานนัก ขันทีน้อยผู้นั้นก็วิ่งกลับไปยังตำหนักจิ่งหวาด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง คุกเข่าลงตรงหน้าคังเฟยดังตุ้บ “เหนียงเหนียง ไม่ได้การแล้วขอรับเหนียงเหนียง เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวมา บอกว่าองค์ชายเจ็ดก่อกบฎขอรับ”
“กบฏอันใดกัน?” คังเฟยยืนขึ้นในทันที เตะขันทีน้อยอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “องค์ชายเจ็ดกำจัดภัยเพื่อประชาชน กวาดล้างราชสำนัก หากเจ้ายังกล้ากล่าวเช่นนี้อีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
“ข้าน้อย ข้าน้อยเพียงได้ยินคนอื่นกล่าวกันมาขอรับ เหนียงเหนียง ยังมี ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ…” ขันทีน้อยผู้นั้นถูกเตะเสียจนหัวเกือบกระแทก รีบคุกเข่าให้ดีๆ อีกครั้ง สีหน้ายิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
คังเฟยขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “เรื่องอันใดกัน มัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น มีอันใดหรือ?”
“เหนียงเหนียงโปรดอภัย ข้าน้อย ข้าน้อยได้ยินว่าองค์ชายสี่ องค์ชายสี่… ถูกจับขอรับ หลี่ซื่อจื่อเองก็หายตัวไป…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ???” คังเฟยตกใจอย่างมาก ในที่สุดก็อดไม่ได้ยืนขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
หากบอกว่าคนอื่นเกิดเรื่องแล้ว นางจะไม่กังวลนัก แต่องค์ชายสี่เป็นบุตรชายของนาง เย่หลานหลี่ก็เป็นหลานของนาง เมื่อเกิดเรื่องกับพวกเขาแล้ว ต่อให้คังเฟยจะสงบเพียงใดก็ไม่มีทางเมินเฉยได้
ทันใดนั้นนางก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างมาก เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักจิ่งหวา บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
“เหนียงเหนียง…” ขันทีน้อยผู้นั้นมองไปที่นาง ท่าทางระมัดระวัง
คังเฟยเตะเขาอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง “เจ้า เจ้าไปสืบข่าวมาอีกครั้ง ดูว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่ รีบไปเสีย”
“ขอรับ” ขันทีน้อยผู้นั้นวิ่งโซซัดโซเซออกไปอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วและคนอื่นๆ ที่หลบอยู่ด้านนอกนั้นเห็นทุกอย่างชัดเจน “คิดไม่ถึงว่าคังเฟยจะไม่ใช่คนที่ถูกหลอกได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น”
“แต่ทว่า อย่างไรเสียก็ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว” อันฝูซียิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เติมเชื้อไฟเข้าไปอีก ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่หลงกล”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ขันทีน้อยผู้นั้นก็วิ่งกลับเข้าไปยังตำหนักจิ่งหวาอีกครั้ง ร้องบอกคังเฟย “เหนียงเหนียง เป็นเรื่องจริงขอรับ ได้ยินว่า ได้ยินว่าเป็นท่านอ๋องซิวที่จับตัวไป บอกว่าองค์ชายสี่มีความตั้งใจก่อกบฏ ตอนนี้กำลังจับตัวองค์ชายสี่เข้าวัง จะพาเขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วจัดการเขาเสีย เหนียงเหนียง รีบไปช่วยเขาเถิดขอรับ หากช้าเกินไป องค์ชายสี่ เกรงว่าองค์ชายสี่…”
ในที่สุดคังเฟยก็นั่งไม่ติดแล้ว ตอนนี้จะมีแรงให้คนไปสืบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ได้อย่างไร หากเป็นจริงแล้วนางไปช้าเพียงก้าวเดียว บุตรชายของนางก็ไม่เหลือชีวิตแล้วไม่ใช่หรือ?
“ไป รีบไป” คังเฟยรีบแต่งตัวแล้วออกจากตำหนักจิ่งหวาทันที
เพียงแต่คิดไม่ถึง นางเพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนัก ก็มีคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคา ยื่นมือไปขวางนางไว้ “เหนียงเหนียง เดี๋ยวก่อนขอรับ”
“เจ้าหลีกไปเสีย”
“เหนียงเหนียง โปรดใจเย็นเสียก่อนขอรับ องค์ชายเจ็ดจะไม่ปล่อยให้องค์ชายสี่ถูกจับเป็นแน่ ท่านได้โปรดกลับเข้าไป ข้าน้อยจะไปยืนยันข่าวเสียก่อน แล้วมารายงานท่านอีกครั้งขอรับ” คนผู้นั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ดูท่าฝีมือจะไม่เลวเลย
ขันทีน้อยด้านหลังคังเฟยเห็นเช่นนั้นก็รีบเด้งตัวออกมาแล้วกล่าว “ผู้อารักขาหลิว เจ้าเป็นคนขององค์ชายเจ็ด เจ้าก็ย่อมกล่าวเช่นนั้นได้ ต่อให้ตอนนี้องค์ชายสี่ของพวกข้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็เกรงว่าเจ้าคงบอกว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเพื่อให้เหนียงเหนียงเชื่อฟังอยู่ดี ที่พึ่งเดียวของเหนียงเหนียงของพวกข้าก็มีเพียงองค์ชายสี่ หากเขาเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหนียงเหนียงของพวกข้าควรทำเช่นไรเล่า?”
อวี้ชิงลั่วที่อยู่ไม่ไกลฟังแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ กระซิบเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าขันทีน้อยที่เหมียวเชียนชิวส่งมากลับเป็นคนรู้จักพูดเช่นนี้”
ขณะกล่าว คังเฟยทางด้านนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของขันทีน้อย ก็ผลักผู้อารักขาหลิวที่ขวางทางตนเองออกไปทันที
ถึงขนาดขึ้นเสียงโดยตรง “ผู้อารักขาหลี่ พาคนทั้งหมดมากับข้า”
พูดถูกแล้ว องค์ชายสี่เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง เป็นบุตรชายของนาง นางจะปล่อยให้เขาเกิดเรื่องอันใดไปไม่ได้เด็ดขาด
ทันทีที่คังเฟยกล่าวจบ ไม่ไกลนักก็มีคนคนหนึ่งวิ่งมา พาผู้พิทักษ์ทมิฬสิบกว่าคนออกมาด้วย สาวเท้าก้าวใหญ่ตามคังเฟยออกจากตำหนักจิ่งหวาไป
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วหัวเราะครั้งหนึ่ง “ผู้พิทักษ์ทมิฬของคังเฟยออกไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคนที่องค์ชายเจ็ดทิ้งไว้”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เคลียร์ทางแล้ว จะเข้าไปช่วยเป่าเอ๋อร์ได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)