อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 110 ตัดมือ
ตอนพิเศษ 110 ตัดมือ
ตอนพิเศษ 110 ตัดมือ
อวี้ชิงลั่วกำหมัดแน่น ขณะกำลังคิดว่าจะเข้าไปฉีกภาพวาดของเขาดีหรือไม่
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เย่ซิวตู๋ก็ผลักประตูเข้ามา แล้วเลิกคิ้วมองอวี้ชิงลั่ว
ฝ่ายหลังทำแก้มป่อง ส่ายหน้าและยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าไม่แปลกใจเลยที่เป่ยเป่ยปฏิเสธ
เย่ซิวตู๋อดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้ ก่อนเดินไปอยู่ข้างเย่ฉิงเป่ย แล้วดูรูปที่เขาวาด
“ท่านพ่อ ข้าไม่ไปขอรับ” เย่ฉิงเป่ยไม่ได้หยุดมือ เมื่อเขาได้ยินเสียง เขาก็พูดออกมาเบา ๆ
เย่ซิวตู๋หัวเราะ “อืม พ่อรู้แล้ว”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เริ่มดูบุตรชายวาดรูปต่อไป โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
อวี้ชิงลั่วที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ แต่หลังจากที่นางกับเย่ซิวตู๋แต่งงานกันมานานหลายปี นางจึงรู้ว่าเขาต้องมีอะไรจะพูด นางจึงไปลากเก้าอี้มานั่งดื่มชา
ห้องเงียบลง หลังจากนั้นไม่นาน เย่ฉิงเป่ยก็วาดภาพเสร็จ เขากางมันออกบนโต๊ะเพื่อรอให้มันแห้ง
มองกลับไปก็เห็นว่าพ่อแม่ของเขายังคงนั่งอยู่ ด้วยสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘เรายังคุยกันไม่จบ เราจะพูดกันต่อเมื่อเจ้าทำเสร็จแล้ว’ เขาจึงรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ ถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิดขอรับ”
เย่ซิวตู๋เดินสบาย ๆ ไปหาอวี้ชิงลั่ว ก่อนจะนั่งลง หยิบถ้วยชาที่นางดื่มไปแล้วขึ้นมาจิบ จากนั้นจัดแจงแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนที่เสนาบดีฝั่งขวาจะได้เป็นขุนนาง เขาเดินทางไปหลายแห่ง”
อวี้ชิงลั่วกะพริบตา นางรู้เรื่องนี้ดี หลังจากรู้ว่าอวี้ชิงลั่วกับอวี๋จั้วหลินแต่งงานกันแล้ว หลีจื่อฟานก็ออกจากบ้านเกิด ซึ่งก็คือสถานที่อันน่าเศร้าแห่งนั้น และใช้เวลาเกือบหนึ่งปีกว่าเขาจะกลับมา ต่อมาเมื่อเขารู้ว่าอวี้ชิงลั่วเสียชีวิตแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปในราชสำนักด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี เพื่อเผชิญหน้ากับอวี๋จั้วหลิน
เย่ฉิงเป่ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเม้มปากมองพ่อของเขา
เย่ซิวตู๋ยกยิ้ม “เสนาบดีฝั่งขวามักจะพูดประโยคหนึ่ง อ่านหนังสือหมื่นเล่ม มิสู้เดินทางหมื่นลี้ เจ้าลองคิดดูเองแล้วกัน”
จากนั้นเขาก็วางถ้วยชาลง จนน้ำชาในถ้วยกระฉอกออกมา
เขาขยิบตาให้อวี้ชิงลั่ว แล้วสองสามีภรรยาก็ออกจากห้องของเย่ฉิงเป่ย
จนกระทั่งพวกเขาเดินออกประตูไป เสียงพูดลอดไรฟันของเย่ฉิงเป่ยก็ดังขึ้น “ข้าจะไปอาณาจักรเทียนอวี่ขอรับ”
เย่ซิวตู๋ยกยิ้มมุมปาก แต่ยังไม่หยุดเดิน ขณะอวี้ชิงลั่วเดินข้างเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เย่ซิวตู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าเป็นอะไรไป?”
“คำพูดของข้าช่างไร้ประโยชน์นัก ทันทีที่ท่านยกคำพูดของหลีจื่อฟานขึ้นมา เขาก็ทำอย่างกับได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ ตอนนี้ข้าอยากจะต่อสู้กับหลีจื่อฟานนัก หากเขาชนะจะยอมยกเย่ฉิงเป่ยให้เป็นลูกชายเขาไปเลย” นางหงุดหงิดมาก
แม้ว่าจะเป็นบุคคลต้นแบบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องชัดเจนถึงเพียงนั้นก็ได้
เย่ซิวตู๋จับมือนางไว้ แล้วค่อย ๆ เดินกลับไปที่ตำหนัก “อย่างไรเสียเป้าหมายก็สำเร็จ นิสัยของเป่ยเป่ยก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ?”
“…” นิสัยแบบนี้ไม่น่ารักเลย อวี้ชิงลั่วคิดด้วยความหงุดหงิด และรู้สึกหนักใจ
แต่เมื่อเป่ยเป่ยยอมไปกับเนี่ยนเนี่ยน นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
แม้ว่านางจะค่อนข้างให้อิสระในเรียนรู้ของลูก ๆ ตั้งแต่ยังเด็ก และไม่กังวลเรื่องที่พวกเขาจะออกไปเที่ยวคนเดียว แต่การไปต่างอาณาจักร… การเดินทางที่ยาวนานเช่นนี้ สุดท้ายนางก็ยังกังวลเล็กน้อยในใจ
เป่ยเป่ยดูโตก่อนวัยและรู้จักดูแลคนอื่นตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งเขายังเคยดูแลเหมยเขียวลูกน้อยของเขา เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ นางก็พอจะโล่งใจได้
เดิมทีหนานหนานวางแผนจะไปกับนางด้วย แต่หนานหนานเพิ่งแต่งงาน และอีกไม่กี่วันก็ต้องไปดินแดนเหมิงกับสุ่ยชิง เขาจึงปลีกตัวไปด้วยไม่ได้
แต่ตอนนี้ลูกทั้งสามจะไม่ได้อยู่เคียงข้างนางอีกต่อไป นางช่าง… เหงาหงอยอ้างว้างเสียจริง
เช้าวันรุ่งขึ้น เนี่ยนเนี่ยนพาเหวินหย่าและโม่เพียวขึ้นรถม้า สีหน้าของนางยังคงบึ้งตึง ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
นางยกม่านรถม้าขึ้น ก่อนจะมองอวี้ชิงลั่วที่ยืนอยู่ข้างรถม้า เม้มปากแน่นแล้วพูดว่า “ข้าจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
“…” หึหึ เรื่องแบบนี้ตัดสินใจเองไม่ได้หรอก
อวี้ชิงลั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และโบกมือ “เอาล่ะ เดินทางปลอดภัย”
เย่ฉิงเป่ยกระโดดขึ้นหลังม้าข้าง ๆ เขา เมื่อคิดว่าต้องออกจากเมืองหลวงไปนาน คิ้วของเขาก็ขมวด
เขากระตุกบังเหียน ม้าที่อยู่ข้างใต้ส่งเสียงร้อง จากนั้นก็วิ่งห้อไปข้างหน้า
คนขับรถม้าที่อยู่ข้างหลังรีบตามไป แล้วรถม้าก็หายลับสายตาของอวี้ชิงลั่วไปอย่างรวดเร็ว
เนี่ยนเนี่ยนพิงหมอนในรถม้า ถือขวดยาไว้ในมือ สีของขวดยาเป็นสีแดงสด
เมื่อโม่เพียวเห็นสีของขวดยา ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
นางอยู่กับเนี่ยนเนี่ยนมาหลายปีแล้ว จึงรู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่นนางชอบศึกษาเรื่องยาพิษ นางสามารถจำแนกและสกัดมันออกมาได้ ยิ่งยามีพิษรุนแรงมากเท่าใด สีของขวดยาที่ใช้บรรจุยาก็จะยิ่งสดขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้สีแดงสดระดับนี้… คงเป็นพิษที่ใช้ล้มยักษ์ได้แล้ว
โม่เพียวหลบสายตาอำมหิตของนาง ด้วยการหันไปมองเหวินหย่า
เหวินหย่าสงบนิ่งกว่านางมาก นางยังคงพิงผนังรถม้า เมื่อนางเห็นสายตาของโม่เพียว นางก็ยกยิ้มแล้วหันไปพูดกับเนี่ยนเนี่ยนว่า “เจ้าจะถอนหมั้นจริงหรือ?”
“อืม”
“ข้าถามเหวินเกอเรื่องนี้ เขาบอกว่าคุณชายตระกูลไป๋มีนิสัยดีและอารมณ์ดี”
เนี่ยนเนี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเหวินหย่า แล้วถามด้วยความเย้ยหยัน “แล้วอย่างไร?”
“…” อืม ท่าไม่ค่อยดีแล้ว เหวินหย่าปิดปากเงียบ และตัดสินใจไม่พูดในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเนี่ยนเนี่ยนยกมือที่ถือขวดยาสีแดงขึ้นมา นางก็เม้มปากแน่นขึ้นกว่าเดิม นางกังวลจริง ๆ ว่าเนี่ยนเนี่ยนจะใช้สิ่งนั้นกับตน
เนี่ยนเนี่ยนกำขวดในมือแน่น แววตาของนางลึกล้ำเกินจะคาดเดา
คู่หมั้นตั้งแต่วัยเด็กงั้นหรือ? ตอนนี้นางรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ตอนที่นางอายุสามขวบ นางจะโง่เขลาถึงเพียงนั้นได้อย่างไร นางทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของตัวเองไปแล้ว
ไป๋หลิวอี้คนนั้นก็เช่นกัน…
เป็นไปได้หรือไม่ว่าถ้านางมอบจี้หยกให้เขา เขาก็ยอมรับเอาไว้? ตอนที่นางอายุสามขวบ ไป๋หลิวอี้ก็ต้องอายุแปดขวบ เด็กอายุแปดขวบจะไม่รู้วิธีปฏิเสธเลยหรือ?
เขายอมรับโดยไม่กังวลอะไรเลย! บ้า! มาก!!
ตัดมือ ตัดมือ ตัดมือ นางต้องตัดมือเขาทิ้งไป
เมื่อเนี่ยนเนี่ยนนึกถึงเรื่องโง่เขลาที่นางทำไว้เมื่อตอนเด็ก นางก็กัดฟันจนแทบหัก
เหวินหย่าและโม่เพียวรู้สึกได้ชัดเจนว่าบรรยากาศในรถม้าเริ่มมืดมนมากขึ้น พวกนางจึงหดคอลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
พวกนางขอคุยกับเป่ยเป่ยได้หรือไม่ พวกนางอยากขี่ม้าด้วย…
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างขมขื่น โดยไม่พูดอะไรสักคำ
จนกระทั่งเสียงนุ่มของเย่ฉิงเป่ยดังมาจากนอกประตู “เริ่มเย็นแล้ว วันนี้มาพักผ่อนกันที่นี่ก่อน แล้วค่อยเริ่มเดินทางต่อพรุ่งนี้”
นัยน์ตาของเหวินหย่าและโม่เพียวเป็นประกาย ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบกระโดดลงจากรถม้า
เนี่ยนเนี่ยน “…”
นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น้องเนี่ยนเนี่ยนโหดมาก ใครจะมาเป็นคู่น้องได้?
ไหหม่า(海馬)