อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 139 ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ
ตอนพิเศษ 139 ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ
ตอนพิเศษ 139 ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ
ห้องตำราของไป๋หลิวอี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย
เนี่ยนเนี่ยนเข้าไปทางหน้าต่างเงียบ ๆ กลิ่นหนังสืออบอวลอยู่ที่ปลายจมูก
หนังสือในยุคนี้ยังคงมีราคาแพงมาก แต่ไป๋หลิวอี้สามารถสรรหามาเติมเต็มห้องตำราได้เกือบทั้งห้อง ซึ่งทำให้นางประหลาดใจมาก
นางคิดว่าถ้าเป่ยเป่ยอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงจะชอบที่นี่มาก เดาได้ว่าคงไม่ออกไปไหนหากหลงเข้ามาในนี้
เนี่ยนเนี่ยนชำเลืองมองชั้นหนังสือ หนังสือส่วนใหญ่ที่นางเปิดดูล้วนค่อนข้างเก่า แต่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋หลิวอี้กล้าท้าทายการสอบไป่กวน หวังว่าสมองของเขาคงไม่กลายเป็นคลังตำราไปแล้วกระมัง
เนี่ยนเนี่ยนเม้มปาก เงยหน้ามองไปรอบ ๆ ห้องตำรา ในที่สุดสายตาก็จับจ้องไปบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล นางเม้มปากขณะขยับเข้าไปใกล้ แล้วดึงลิ้นชักออกมา
ข้างในมีกระดาษสีเหลืองที่มีคำเขียนอยู่เต็มไปหมด ลายมือยังค่อนข้างอ่อนหัด เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว มันน่าจะเป็นลายมือของไป๋หลิวอี้
เนี่ยนเนี่ยนเพียงนั่งบนเก้าอี้แล้วอ่านทีละเล่ม จาก “คัมภีร์สามอักษร” ถึง “ยุทธวิธีอาณาจักร” ลายมือค่อย ๆ เปลี่ยนจากที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เฉียบคมและประณีต
นอกจากนี้ยังมีบางเล่มที่เขาเขียนขึ้นเอง ทั้งยังมีที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางทหาร และการพัฒนาเศรษฐกิจอีกด้วย
ยิ่งเนี่ยนเนี่ยนอ่านมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกทึ่งมากขึ้นเท่านั้น ไป๋หลิวอี้คนนี้เต็มไปด้วยความรู้มากมายจริง ๆ หนังสือที่เขาอ่านและวิธีการที่เขาได้เรียนรู้นั้นน่าทึ่งมาก เขาสามารถบันทึกหลายสิ่งหลายอย่างไว้ในใจได้ สำหรับบางคนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองไปยังสิ่งเหล่านั้น
อ่า ไม่สิ ความสามารถของเป่ยเป่ยก็ไม่ธรรมดาเลย
เนี่ยนเนี่ยนเม้มปาก ก่อนจะเปิดลิ้นชักอีกช่องที่มีหนังสืออีกหลายเล่ม รวมถึงภาพวาดและคำอธิบายประกอบของเขาบนหนังสือ
มีเต็มลิ้นชักไปหมด
เนี่ยนเนี่ยนอ่านอย่างตั้งใจ ไม่สามารถหยุดได้เลย
ราวกับนางได้เห็นวิถีชีวิตของไป๋หลิวอี้ตั้งแต่เด็กจนโต ราวกับนางรู้ว่าเขาอ่านหนังสืออะไรในช่วงวัยไหน และรู้ระดับใดบ้าง ราวกับนางได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
เวลาเคลื่อนคล้อยไปทีละนิด เนี่ยนเนี่ยนลืมเวลาภายนอกไปนานแล้ว จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นเมื่อมีเสียงคำรามจากท้องของนาง
เพิ่งรู้ว่าบัดนี้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว
นางยังคงงุนงงเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมานางก็ลุกขึ้นยืนทันที
การเคลื่อนไหวนั้นดังเกินไป ทำให้คนที่เฝ้าอยู่นอกห้องตำราตกใจ
“เสียงอะไร?”
เนี่ยนเนี่ยนรีบไปที่ขอบหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียง ทันทีที่คนข้างนอกเปิดเข้ามา นางก็กระโจนออกไป
จนกระทั่งนางวิ่งกลับมาถึงสวนจิ่นเฟิง นางก็สบถออกมาด้วยความหงุดหงิด
นางลืมไปได้อย่างไรว่าตอนนี้นางเป็นสาวใช้? ไม่โผล่หน้ามาทั้งวันก็น่าสงสัยไม่ใช่หรือ?
นางกัดฟันแน่นขณะรีบไปที่ห้องหลัก
ทันทีที่ไปถึงประตู นางก็เห็นติงเซียงรอเยาะเย้ยนางอยู่ “แม่นางอวี้ซีเป็นคนเข้าใจยากจริง ๆ ทั้งวันไม่มีใครเห็นหน้าเลย ข้ารู้ข้าเข้าใจว่าเจ้าขี้เกียจ ไม่รู้สิ เจ้าอาจจะเป็นขโมยด้วยก็ได้”
“แม่นางติงเซียงช่างรู้จักข้าดีเสียจริง” เนี่ยนเนี่ยนยิ้มให้นาง และรู้สึกว่าติงเซียงมีความสามารถในการอ่านใจคนจริง ๆ
ก็จริงอย่างที่นางพูด นางไม่ได้คิดจะเกียจคร้านและเป็นหัวขโมยหรือ?
ติงเซียงกัดฟัน “เจ้า ข้าจะไปฟ้องคุณชายใหญ่”
เนี่ยนเนี่ยนไม่สนใจนาง หันหน้าเดินเข้าไปข้างใน
นางไม่อยากเชื่อเลยว่าตนไม่ได้อยู่ในสวนจิ่นเฟิงนานมาก แต่ติงเซียงกลับรอจนถึงตอนนี้ โดยไม่ยอมไปฟ้องไป๋หลิวอี้ก่อน
เป็นไปได้ว่าฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงมารอนางที่หน้าประตู รอโอกาสที่จะเยาะเย้ยถากถาง ดูถูกและคุกคาม
เนี่ยนเนี่ยนเดินผ่านนาง แล้วตรงเข้าไปในห้อง
ติงเซียงไม่กล้าตามเข้าไปจริง ๆ นางจึงได้แต่จ้องมองด้วยความโกรธอยู่ข้างนอก นึกอยากจะถลกหนังนางออกเสียเดี๋ยวนี้
ไป๋หลิวอี้ในห้องยังคงหลับตาพักผ่อน ขณะที่อาเวินยืนอยู่ข้าง ๆ
เมื่อเห็นเนี่ยนเนี่ยน อาเวินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว และพยักหน้าให้นางอย่างเป็นมิตร
คุณชายใหญ่บอกว่าตัวตนของแม่นางอวี้ซีนั้นแตกต่างจากสาวใช้ทั่วไป เขาจึงควรให้ความเคารพและสุภาพมากกว่านี้
แต่การที่เขาทำตัวสุภาพมากเช่นนี้ทำให้เนี่ยนเนี่ยนรู้สึกขนลุก ท่าทางของอาเวินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ จะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่านะ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าไป๋หลิวอี้ไม่พอใจมากที่นางละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ดังนั้นจะมีเรื่องเลวร้ายรอนางอยู่?
คิดได้ดังนั้น นางก็เม้มปากแน่น และเดินเบาขึ้นเล็กน้อย
ไป๋หลิวอี้รู้สึกได้ว่านางมาแล้ว เขาจึงรู้สึกดีขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก เขายังคงหลับตาขณะพูดช้า ๆ ว่า “อาเวิน เจ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ” อาเวินตอบอย่างนอบน้อม จากนั้นพยักหน้าให้เนี่ยนเนี่ยน แล้วหันหลังเดินจากไป
หัวใจของเนี่ยนเนี่ยนเต้นไม่เป็นจังหวะ จะคิดบัญชีจริงหรือ?
นางเม้มปากเดินไปข้างเตียง เมื่อเห็นไป๋หลิวอี้กำลังอ้าปากจะพูด นางก็หรี่ตาลงและชิงพูดก่อนทันทีว่า “ข้าคิดว่าท่านมีแขกอยู่เสมอ และไม่สะดวกให้ข้าเข้ามารับใช้ ข้าจึงรออยู่ข้างนอกสักพัก แต่ข้าไม่ได้ขี้เกียจนะเจ้าคะ ความจริงแล้ว… ข้าคิดว่าท่านต้องไปสอบไป่กวนในวันพรุ่งนี้ และท่านก็ได้รับบาดเจ็บด้วย แทนที่ข้าจะนั่งพักดื่มชา ข้ากลับรีบไปหาสมุนไพรที่จะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นโดยเร็วที่สุด แต่ท่านก็รู้ว่าข้าไม่สามารถออกไปนอกจวนได้ ข้าจึงได้แต่มองหามันในจวน และไปที่สวนดอกไม้ ข้ามีพยานด้วยเจ้าค่ะ”
มีโม่เพียวอยู่ที่สวนดอกไม้ นางจึงไม่กังวลเลย
“ท่านต้องรู้ว่าดอกไม้บางชนิดสามารถใช้เป็นยาได้ แม้ว่าข้าจะรู้เรื่องยาบ้างเล็กน้อย แต่ในฐานะสาวใช้ของท่าน ข้าก็ควรนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ใช่หรือไม่เจ้าคะ? สุดท้ายการสอบไป่กวนในวันพรุ่งนี้ของท่านก็สำคัญมาก ต้องไม่มีอะไรผิดพลาด”
มุมปากของไป๋หลิวอี้ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นางช่าง… พูดจาเหลวไหลได้เป็นวรรคเป็นเวรเสียจริง สีหน้านางช่างดูจริงใจเหมือนจิ้งจอกตัวน้อย
“อืม ข้ารู้ถึงความใจดีของเจ้า”
เนี่ยนเนี่ยนสูดหายใจเข้าลึก “ดังนั้นวางใจได้เลยว่าพรุ่งนี้ข้าจะอยู่ช่วยท่านจนกระทั่งการสอบเสร็จสิ้น”
ไป๋หลิวอี้ยกยิ้มอ่อนโยน สายตาของเขาที่จับจ้องนางเกือบจะหวานหยดย้อย
“ข้าเชื่อ”
“แล้ว… ท่านจะไม่ลงโทษข้าที่ละทิ้งหน้าที่โดยพลการหรือเจ้าคะ?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“แล้ว… ข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็นสาวใช้หรือไม่?” เมื่อถามเช่นนี้ เนี่ยนเนี่ยนรู้สึกผิดมาก นางรู้สึกละอายใจมาก สาวใช้ที่แอบไปอ่านตำราโดยไม่ได้รับใช้เจ้านายทั้งวันจะนับว่ามีคุณสมบัติได้อย่างไร?
“เป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเจ้านาย สาวใช้ที่เอาใจใส่เจ้านายของตนย่อมมีคุณสมบัติที่ดี”
“…” นางละอายใจมากที่เขาประเมินนางไว้สูงถึงเพียงนี้ “เช่นนั้น… ข้าไปกินข้าวเย็นตอนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“หิวข้าวหรือ?” นางไปไหนมา? ถึงทำให้ตัวเองกลับมาในสภาพหิวโซเช่นนี้ได้
เนี่ยนเนี่ยนลูบหน้าท้องแบนราบตัวเองเงียบ ๆ “อืม”
“เช่นนั้นเจ้าไปกินข้าวเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วกลับมา ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นั่นแน่ เริ่มประทับใจในตัวเขาแล้วล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)