อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 14 โทษพวกนางไม่ได้
ตอนพิเศษ 14 โทษพวกนางไม่ได้
ตอนพิเศษ 14 โทษพวกนางไม่ได้
เนี่ยนเนี่ยนเหลือบมองนาง แล้วตอบเสียงเบา “ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งบอก”
บางเรื่องนางก็ไม่ควรพูด ยิ่งกว่านั้นคือพี่ชายของนางยังคงยุ่งอยู่กับเรื่องต่าง ๆ ในอวี้เฟิงถัง นางไม่รู้ว่าระหว่างหลานสุ่ยชิงกับพี่ชายของนางนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่สร้างปัญหา
อืม ความจริงหากพูดตามตรงก็จะเป็นคำสี่คำ ซึ่งนางไม่อยากพูดเลย
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หลานสุ่ยชิงก็หยุดรอพวกนางเช่นกัน
จิ่นซิ่วยกยิ้มอ่อน “บุตรีคนโตของสกุลหลานคนนี้ ถูกชะตากับข้าจริง ๆ” ขณะที่นางพูดก็ก้าวไปข้างหน้า ทิ้งเนี่ยนเนี่ยนไว้เบื้องหลัง
เนี่ยนเนี่ยนแอบบ่นพึมพำเบา ๆ
ทั้งสามคนรีบไปนั่งในศาลา หลังจากนั้นไม่นาน เหวินหย่าที่จากไปก็กลับมา พร้อมพาเยียนจือกลับมาด้วย
เนี่ยนเนี่ยนเหลือบมองคนสองคนที่กำลังคุยกันด้วยความครุ่นคิด แล้วถามเหวินหย่าด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านน้าโหรวมาที่นี่หรือไม่?”
“ยังไม่มา”
เนี่ยนเนี่ยนเอียงคอจับคางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ดีแล้ว นางควรรู้ว่าบุตรีคนโตของสกุลหลานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่เฉิง”
เหวินหย่านึกหงุดหงิดนาง นางเป็นคนจงใจทำให้หวางเฟยและไทเฮาเข้าใจผิดด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว นางกลับทำตัวให้เหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด
แต่การคาดเดาของเนี่ยนเนี่ยนนั้นถูกต้อง ขณะนี้ในห้องตำราในวังหลวง เย่หลานเฉิงและสวีโหรวกำลังมองหน้ากัน
“เสด็จแม่ ท่านว่าอะไรนะขอรับ?” เย่หลานเฉิงรู้สึกราวกับว่าเขาได้ยินผิดไป และรีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ท่านเพิ่งบอกว่า… ท่านน้าชิงจัดงานเลี้ยงดอกบัวในตำหนัก โดยมีเหตุผลหลักคือจะดูว่าลูกสาวคนโตของสกุลหลาน เหมาะที่จะเป็นฮองเฮาหรือไม่งั้นหรือขอรับ?”
สวีโหรวมีความสุขมาก นางคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่โอรสของนางกำลังเรียกประชุมเสนาบดี นางจึงทำได้เพียงทำใจให้สบาย แล้วมาหาเขาทีหลัง
“ถูกต้อง ทั้งข้าและท่านน้าชิงต้องการพบบุตรีคนโตของสกุลหลาน แต่ก็กลัวว่าการที่จู่ ๆ ก็เรียกนางเข้าวังมาเลยจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ครั้งนี้จะเป็นการดีกว่าหากมีหญิงสาวมากมายจากตระกูลอื่นมาด้วย เร็วเข้า รีบไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลอง แล้วไปตำหนักอ๋องซิวด้วยกันเถอะ ในเมื่อเจ้าชอบใครสักคน ก็จำเป็นต้องหาทางใกล้ชิดให้มากขึ้นและไปพบกัน”
ทันใดนั้นเย่หลานเฉิงก็เบิกตากว้าง เขาคิดว่าช่วงนี้เสด็จแม่ของเขาเงียบไป เขาจึงล้มเลิกแผนการที่จะเรียกบุตรีคนโตของสกุลหลานมา แต่คาดไม่ถึงว่างาน… งานเลี้ยงครั้งนี้จะเปลี่ยนไปจัดที่ตำหนักอ๋องซิว
ท่านน้าชิงต้องการจัดงานเลี้ยงชมดอกบัว ฟางเจิ้งดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างใส่หูเขาอยู่ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมากที่จวนท่านอ๋องจะจัดงานเลี้ยง อีกทั้งเขาก็ยุ่งกับงานราชการ เขาจึงสั่งให้ฟางเจิ้งเตรียมของขวัญ แล้วส่งไปให้เมื่อถึงเวลา
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่ามันถูกเตรียมไว้สำหรับ… บุตรีคนโตของสกุลหลาน
เย่หลานเฉิงตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง แล้วพูดด้วยความเหนื่อยใจว่า “เสด็จแม่ พวกท่าน… เข้าใจผิด”
“หืม? เข้าใจผิดหรือ?”
“คนที่ตกหลุมรักบุตรีคนโตของสกุลหลานไม่ใช่ข้า แต่เป็น… เป็นหนานหนานขอรับ”
สวีโหรวตกตะลึง และมองโอรสของตนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เย่หลานเฉิงถอนหายใจ “ความจริงก็คือหนานหนานตกหลุมรักนาง ข้าเห็นว่าหนานหนานมองบุตรีคนโตของสกุลหลานด้วยสายตาที่แปลกไป ข้าจึงขอให้เนี่ยนเนี่ยนช่วยสืบเรื่องนาง แล้วดูว่านางเหมาะจะเป็นพี่สะใภ้หรือไม่ขอรับ”
มุมปากของสวีโหรวกระตุก ความสุขบนใบหน้าของนางจางหายไป
แต่วินาทีต่อมา ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง และความตื่นเต้นก็ท่วมท้นในใจอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือหนานหนานก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างไรเสีย แม่กับท่านน้าชิงของเจ้าก็อยากเจอนางอยู่ดี แต่ในเมื่อเจ้าไม่ได้ชอบและไม่ได้อยากไปตำหนักอ๋องซิว เช่นนั้นแม่จะไปเอง”
เมื่อพูดจบ สวีโหรวก็หันหลังเดินออกไปที่ประตู
เย่หลานเฉิงถอนหายใจอย่างหนักอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเสด็จแม่ของเขากับท่านน้าชิงอยู่ด้วยกันมานานเกินไปแล้ว นิสัยของพวกนางเริ่มเหมือนกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อสวีโหรวเดินไปที่ประตู จู่ ๆ นางก็หยุดนิ่ง แล้วหันหน้ามาจ้องเย่หลานเฉิงด้วยสีหน้ามืดมน “อย่างไรเสีย หนานหนานก็พบแล้ว แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าควรรีบหาให้แม่โดยเร็วที่สุดไม่ใช่หรือ?”
เย่หลานเฉิงรู้สึกขนหัวลุก เขาจึงหัวเราะแห้งแล้วพยักหน้าทันที
จากนั้นสวีโหรวก็เดินออกจากห้องตำราหลวงอย่างพึงพอใจ เย่หลานเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะนั่งลงบนบัลลังก์มังกร แล้วเปิดรายงานออกดู แต่ก็อ่านไม่เข้าใจอยู่ดี
สวีโหรวรักหนานหนานมากเท่ากับโอรสของตัวเอง นางจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก เมื่อรู้ว่าเขามีคนที่เขาชอบแล้ว
ทันทีที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้ว นางก็รีบไปที่ตำหนักอ๋องซิวพร้อมกับสาวใช้
ตำหนักอ๋องซิวมีชีวิตชีวามาก ดอกบัวในทะเลสาบบานสะพรั่งงดงามยิ่ง ว่ากันว่าในตำหนักอ๋องซิวมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อโม่เพียว นางชื่นชอบดอกไม้และต้นไม้ทุกชนิดตั้งแต่เด็ก นางดูแลดอกไม้และต้นไม้ส่วนใหญ่ในตำหนักอ๋องซิว และยังได้ศึกษาเรื่องนี้ไว้มากมาย
เช่นเดียวกับดอกบัวในทะเลสาบแห่งนี้ ว่ากันว่าเนื่องจากซิวหวางเฟยคิดจะจัดงานเลี้ยงชมดอกบัว โม่เพียวจึงทุ่มเทดูแลดอกบัวเหล่านี้สุดความสามารถ
อันที่จริงต่อให้จะไม่ได้มาชมดอกบัว แต่พฤกษานานาพรรณในตำหนักแห่งนี้ก็ล้วนแต่งดงามมากเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าคุณหนูหลายคนมาที่ตำหนักอ๋องซิว ตำหนักแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก และเพียงแค่ขอบเขตสถานที่จัดงานเลี้ยง ก็เต็มไปด้วยพลับพลาและศาลาอันงดงามวิจิตรมากมาย
ไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งนี้อวี้ชิงลั่วไม่ได้คิดจะประหยัดค่าใช้จ่ายเลย นางนำรูปแบบการบริการตนเองมาใช้ ขนมอบที่ทำขึ้นอย่างประณีตสวยงามจึงถูกวางไว้ในกระโจมที่จัดตั้งขึ้น ถ้าอยากกินก็ไปที่กระโจม แล้วจะมีสาวใช้คอยบริการส่งถึงมือ
ตำหนักที่งดงามอลังการสวยงาม ประกอบกับรูปแบบการจัดเลี้ยงที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นอ้อยอิ่งอยู่นาน เพราะอยากจะอยู่ต่อนาน ๆ ซึ่งพวกนางต่างชื่นชอบการจัดงานรูปแบบนี้
คนที่มีความคิดเช่นนี้ย่อมรวมถึงสองพี่น้อง หลานสุ่ยหยวนและหลานสุ่ยเถียนด้วย
เพียงแต่ว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว พวกนางยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยู่ในใจด้วย
เมื่อครู่นี้พวกนางเห็นเยียนจือไปรับของว่าง ในเมื่อเยียนจืออยู่ที่งานเลี้ยง ก็หมายความว่าหลานสุ่ยชิงก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย
หลานสุ่ยชิงไม่ค่อยสบายอยู่ในเรือนหย่าเฟิง แต่ก็ยังจะออกมาที่นี่อีก พวกนางจึงคิดว่านางคงกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะมาอวดตัวเองที่นี่เป็นแน่
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็โทษพวกนางไม่ได้
พวกเขาให้โอกาสนางมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว แต่นางไม่สนใจมันเอง พวกนางจึงไม่รังเกียจที่จะทำให้นางเดือดร้อน ด้วยการได้รับบทเรียนบางอย่าง
สองพี่น้องมองหน้ากัน แล้วกวาดสายตาค้นหาท่ามกลางฝูงชน
สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปยังผู้หญิงในชุดสีฟ้าน้ำทะเล แล้วเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
“พี่เสิ่น” ทั้งสองยืนข้างนางอย่างสุภาพนอบน้อม
เสิ่นเหวินเสียนเป็นลูกสาวของเสนาบดีจากกรมราชทัณฑ์ ผู้เป็นหัวหน้าของรองเจ้ากรมหลาน นางเป็นที่โปรดปรานตั้งแต่ยังเด็ก และมีนิสัยค่อนข้างเย่อหยิ่ง
ในวันธรรมดา สองพี่น้องสกุลหลานมักจะประจบประแจงนาง อาจเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ “สหายสนิท” ดังที่หลานสุ่ยชิงกล่าว เมื่อเห็นพวกนางกำลังมาหา ท่าทางของเสิ่นเหวินเสียนก็กลายเป็นหยิ่งยโสเล็กน้อย “พวกเจ้าเองหรือ? มากันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“พวกเรามาตั้งแต่เช้าเลยเจ้าค่ะ” ขณะที่คุยกับนาง หลานสุ่ยหยวนก็จูงมือนางไปด้านข้าง ห่างจากคนอื่น ๆ จากนั้นก็ลดเสียงลงขณะพูดว่า “ไม่ใช่แค่พวกเราที่อยู่ที่นี่ วันนี้บุตรีคนโตของตระกูลเราก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อ้อ มีพวกนี่นา แต่ประทานโทษ จะทำอะไรสุ่ยชิงได้เหรอ ในเมื่อสุ่ยชิงอยู่กับจวิ้นจู่กับเนี่ยนเนี่ยน ขุมกำลังมันต่างชั้นกัน
ไหหม่า(海馬)