อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 19 นางจะมาหาพรุ่งนี้
ตอนพิเศษ 19 นางจะมาหาพรุ่งนี้
ตอนพิเศษ 19 นางจะมาหาพรุ่งนี้
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้น ร่องรอยของความสงสัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
นางรู้ว่ามารดาของจวิ้นจู่จิ่นซิ่วคือองค์หญิงหว่านเยียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อน ต่อมานางได้เป็นพระสหายของซิวหวางเฟย และได้แต่งงานกับท่านชายข่งจากตระกูลบัณฑิตผู้ร่ำรวย
แม้ว่าข่งอวิ๋นเซิงจะไม่ได้เข้าทำงานในราชาสำนักอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีครอบครัวของลูกศิษย์ที่เป็นผู้สูงศักดิ์มากมายอยู่ข้างหลังเขา ซึ่งไม่ควรไปยั่วยุเลย อีกทั้งองค์หญิงหว่านเยียนยังคงไปมาหาสู่ในเมืองหลวงอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์หญิงหลายองค์ ซึ่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ปฏิบัติต่อท่านน้าคนนี้ด้วยความเคารพยิ่ง
ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงต้องการให้สองพี่น้องหลานสุ่ยหยวนกับหลานสุ่ยเถียนหาโอกาสผูกมิตรกับจวิ้นจู่จิ่นซิ่วอยู่เสมอ แต่ติดที่ว่าจวิ้นจู่มักแสดงท่าทางหยิ่งยโส และไม่เคยสนใจสองพี่น้องอย่างจริงจังเลย
ตอนนี้เหตุใดคนที่นางคุยด้วยถึงเป็นหลานสุ่ยชิงแทน?
หลานสุ่ยหยวนและหลานสุ่ยเถียนมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ พี่ใหญ่จะโกหกไปเพื่ออะไร? จวิ้นจู่จิ่นซิ่วจะคุยกับท่านดีเช่นนี้ได้อย่างไร? ท่านกำลังพยายามปกปิดความผิดของตัวเอง ด้วยการยกคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” หลานสุ่ยหยวนเสริม “สุดท้ายตอนนี้พี่ใหญ่ก็ไม่ได้รู้จักสตรีที่มีชื่อเสียงคนใดเลย คนเดียวที่รู้จักคือจวิ้นจู่จิ่นซิ่วที่เราพูดถึงในสวนสมุนไพรแห่งนั้น แต่พี่ใหญ่ ถ้าจวิ้นจู่จิ่นซิ่วรู้ว่าท่านทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่านางจะคิดอย่างไรกับตระกูลหลานของเรา”
เมื่อไท่ฮูหยินได้สดับถ้อยคำเช่นนั้น นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล เมื่อมองหลานสุ่ยชิง นางก็เริ่มขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นนางก็ตบโต๊ะอย่างแรง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ กล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้าอย่างหน้าด้าน ๆ มานี่…”
“ข้าไม่ได้โกหก” หลานสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “จวิ้นจู่จิ่นซิ่วพูดคุยกับข้า และถามคำถามข้า ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่พูดเหลวไหลแน่นอน หากท่านย่าไม่เชื่อข้า ก็ขอให้บิดาของคุณหนูเสิ่นหรือใต้เท้าเสิ่นมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดเถิดเจ้าค่ะ จวิ้นจู่จิ่นซิ่วชอบข้า และจะเป็นพยานให้ข้าเมื่อถึงเวลา”
ไท่ฮูหยินที่กำลังง้างมือขึ้นหยุดกะทันหัน คำพูดของหลานสุ่ยชิงทำให้นางกังวล
เมื่อพิจารณาจากคำพูดที่น่าเชื่อถือของนาง และท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก็ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้โกหก
เรื่องใส่ร้ายหลานสุ่ยชิงไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ถ้านางถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ แล้วยังคงยืนกรานปฏิเสธที่ เมื่อนางขอให้จวิ้นจู่จิ่นซิ่วเป็นพยาน ความซื่อสัตย์ของจวิ้นจู่จิ่นซิ่วก็จะถูกสงสัยไปด้วยหรือเปล่า? และมันจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามันไปถึงหูของตระกูลเสิ่นจริง ๆ มันจะส่งผลกระทบต่อทุกคนในตระกูลหลาน
ไท่ฮูหยินลังเลใจเล็กน้อย ด้วยยังไม่กล้าท้าทายเบื้องสูง
แต่นางไม่เต็มใจจะปล่อยหลานสุ่ยชิงไปเช่นนั้น
เมื่อก่อนหากนางลงโทษหลานสุ่ยชิง สิ่งที่นางต้องทำคือหาเหตุผล แต่ใครจะสนใจว่านางมีเหตุผลจริงหรือไม่?
วันนี้มีจวิ้นจู่จิ่นซิ่วแทรกเข้ามา ทำให้นางเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า นางไม่สามารถแม้แต่จะจัดการหลานสาวตัวเองได้หรือ?
นางรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้หลานสุ่ยชิงไป เพราะสุดท้ายนางก็พบผู้สนับสนุนตามที่คาดไว้
เดี๋ยวนะ…
ไท่ฮูหยินหรี่ตาลง หลานสุ่ยชิงออกจากจวนไปเอง โดยที่ยังไม่ได้ตกลงกับนางอย่างถูกต้องเลย
หลานสุ่ยหยวนและหลานสุ่ยเถียนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกไม่พอใจ เมื่อคิดว่าจวิ้นจู่จิ่นซิ่วที่ไม่สนใจพวกนางสองพี่น้องมาโดยตลอดปฏิบัติต่อหลานสุ่ยชิงต่างออกไป บัดนี้ความโกรธที่สะสมอยู่ในใจของพวกนางจึงยิ่งปะทุมากกว่าเดิม
ทั้งสองมองหน้ากัน และเห็นความเย็นชาในสายตาของไท่ฮูหยินพร้อมกัน
หลานสุ่ยหยวนแสยะยิ้มทันที แล้วขยิบตาให้แม่ของนาง
จินซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นพูดเกลี้ยกล่อม “ไท่ฮูหยิน ในเมื่อเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ก็อย่าลงโทษคุณหนูใหญ่อีกเลยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่คงเหนื่อยเพราะออกไปตั้งแต่เช้า ดังนั้นปล่อยให้นางกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ออกไปแต่เช้า…
ไท่ฮูหยินเย้ยหยัน “นั่นสินะ ลูกสาวคนโตของจวนเราออกไปตั้งแต่เช้า ดีแล้ว ถ้าเจ้าบอกว่าคุณหนูเสิ่นตกน้ำ แล้วจวิ้นจู่จิ่นซิ่วจะช่วยเป็นพยานให้เจ้า เช่นนั้นย่าก็จะไม่ตำหนิเจ้า แต่เจ้าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าได้อย่างไร? เจ้าบอกพวกเราว่าเจ้าป่วย แล้วเหตุใดเจ้าถึงไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงที่ตำหนักอ๋องซิวได้?”
เรื่องเสิ่นเหวินเสียนตกน้ำ ยังมีจวิ้นจู่จิ่นซิ่วช่วยไว้ได้ จึงไม่สามารถตำหนินางได้
แต่เรื่องที่นางโกหกหลอกลวงหลายเรื่อง นี่นับว่านางอกตัญญูโดยแท้
ในฐานะย่าของหลานสุ่ยชิง นางต้องสอนบทเรียนให้หลานสาวที่ไม่เชื่อฟัง แม้ว่าจวิ้นจู่จิ่นซิ่วจะรู้เรื่องนี้ แต่นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้ใช่หรือไม่?
หลานสุ่ยชิงหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นางรู้ดี
อย่างไรเสีย ไท่ฮูหยินก็ต้องการจะทำให้นางเดือดร้อนให้ได้
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านย่า นี่เป็นความผิดของหลานเองเจ้าค่ะ เช้านี้หลานรู้สึกว่าอาการดีขึ้น และคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซิวหวางเฟยจัดงานเลี้ยง หากข้าไม่ไป ซิวหวางเฟยจะไม่เสียหน้าหรือเจ้าคะ? ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลหลาน จึงไม่ควรทำให้ตระกูลหลานต้องอับอายขายหน้า นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ารีบออกไป โดยหวังว่าซิวหวางเฟยจะมีความประทับใจที่ดีต่อตระกูลหลานเจ้าค่ะ”
นางเอาแต่พูดถึงตระกูลหลาน แต่ไท่ฮูหยินหาฟังไม่
นางพูดตัดบททันที “พอแล้ว เจ้าบอกว่าไม่ต้องการให้ซิวหวางเฟยเสียหน้า แล้วเหตุใดเจ้าไม่มาบอกข้าก่อนจะไป? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเห็นย่าของเจ้าเป็นหัวหลักหัวตอ คนอกตัญญูและชั่วร้ายเช่นเจ้าคือคนที่ทำให้ครอบครัวหลานต้องอับอายอย่างแท้จริง ย่าเคยคิดว่าเจ้าเป็นคนมีเหตุผล จึงตัดสินใจไม่ลงโทษเจ้า แต่ตอนนี้พฤติกรรมของเจ้าทำให้ครอบครัวหลานตกอยู่ในอันตรายแล้ว ดังนั้นวันนี้ย่าจะสั่งสอนเจ้าเอง เพื่อให้เจ้าไม่กระเหี้ยนกระหือรืออยากออกไปข้างนอกอีก”
“ใช่เจ้าค่ะ สิ่งที่ท่านย่าพูดเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อเช้านี้ตอนที่ข้าคิดจะออกไป ข้าได้ยินมาว่าน้องรองกับน้องสามออกจากจวนไปแล้ว ข้าจึงรีบตามออกไป เพราะสุดท้ายแล้ว การที่สามพี่น้องสกุลหลานปรากฏตัวพร้อมกัน จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพี่น้องสกุลหลานมีความรักใคร่ปรองดองกันลึกซึ้ง ซึ่งจะทำให้ตระกูลหลานไม่ถูกคนนอกติฉินนินทา วันนี้เป็นความผิดของสุ่ยชิงเองเจ้าค่ะ สุ่ยชิงเต็มใจยอมรับการลงโทษเจ้าค่ะ”
เดิมทีไท่ฮูหยินโกรธจัด แต่เมื่อได้ยินว่านางยินดีรับโทษก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แต่…
ในเมื่อนางพูดเช่นนั้นไปแล้ว นางจะไม่ทำตามความปรารถนาของตัวเองได้อย่างไร?
“เอาล่ะ แม่นมซ่ง กดตัวนางลงบนเศษกระเบื้อง ให้คุกเข่าทั้งคืน อย่าให้นางลุกขึ้นมา ปล่อยให้นางได้รับบทเรียนที่ดีบ้าง”
หลังจากพูดจบ ไท่ฮูหยินก็ลุกขึ้นยืนทันที โดยไม่ต้องการฟังข้อแก้ตัวใด ๆ จากหลานสุ่ยชิงอีกต่อไป และเดินไปที่ห้องชั้นใน
ทันใดนั้นเอง หลานสุ่ยชิงที่รอจนกระทั่งแม่นมซ่งวางมือบนไหล่ของนาง ก็พูดขึ้นว่า “สุ่ยชิงย่อมต้องถูกท่านย่าลงโทษเป็นธรรมดา แต่ข้าขอให้ท่านย่าส่งข้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และทายาที่หัวเข่าพรุ่งนี้เช้าที่ห้อง เพราะอย่างไรเสีย จวิ้นจู่จิ่นซิ่วก็จะเสด็จมาหาในวันพรุ่งนี้ สุ่ยชิงไม่อาจรับแขกผู้มีเกียรติด้วยใบหน้ามอมแมม และขาที่เดินไม่สะดวกได้ ไม่เช่นนั้นตระกูลหลานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน”
ไท่ฮูหยินชะงักกึก แล้วหันหน้ามามองนาง “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สุ่ยชิงสู้กลับแล้วจ้า คิดจะกดขี่ตลอดไปเหรอฝันไปเถอะ
ไหหม่า(海馬)