อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 240 สนองพวกเขา
ตอนพิเศษ 240 สนองพวกเขา
ตอนพิเศษ 240 สนองพวกเขา
ในที่สุดเนี่ยนเนี่ยนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางรอจนกระทั่งพวกเขาจากไป แล้วกัดฟันผลักไป๋หลิวอี้ออกไป พลางจ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้าย
ตอนนี้ชายคนนี้กำลังฉวยโอกาสเอาเปรียบนางอย่างชัดเจน ใกล้ชิดมาก ใกล้ชิดเกินไป
ไป๋หลิวอี้ถูกนางผลักจนเซไปสองสามก้าว ทว่าเขาก็ยังคงกอดอกเหม่อลอย ราวกับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนถูกผลัก
เนี่ยนเนี่ยนขมวดคิ้ว แล้วก้าวเข้าไปเรียกด้วยเสียงเบา
ไม่ตอบสนองงั้นหรือ?
เนี่ยนเนี่ยนกัดฟันเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง
ยังไม่ตอบสนองอีกหรือ?
เนี่ยนเนี่ยนก้าวเข้าไปหาด้วยความหงุดหงิด แล้วจับหูของเขา ก่อนจะกัดฟันกระซิบข้างหูเขาว่า “ไป๋หลิวอี้”
วินาทีต่อมา ไป๋หลิวอี้กอดเอวของนางไว้ ในที่สุดก็กลับมามีสติอีกครั้ง แล้วมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “มีอะไรหรือ?”
“…” เนี่ยนเนี่ยนไม่รู้จะหงุดหงิดต่อดีหรือไม่ หลังจากจ้องมองเขาสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
ไป๋หลิวอี้ยังคงกอดเอวของนาง เนี่ยนเนี่ยนไม่ได้สนใจ จึงแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่นี้หลิ่วเชียงบอกว่าเจี่ยงโม่เซิงรู้ว่าข้าเป็นคนคมในฝัก”
เนี่ยนเนี่ยนกลอกตา คนผู้นี้เป็นคนคมในฝักจริง หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าฉลาดแกมโกงและเจ้าเล่ห์ จิ้งจอกเช่นเขาเลือกซ่อนเร้นหางตัวเองไว้ อีกทั้งยังอยู่ในคราบบัณฑิตอีกด้วย
เนี่ยนเนี่ยนหมั่นไส้เขามาก แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ใช่แล้ว มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“เจ้าจำคืนที่พวกข้าไปช่วยเจ้าได้หรือไม่? มีคนช่วยจัดการยามส่วนใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังนั้นก่อนใช่หรือไม่?”
เนี่ยนเนี่ยนผงะไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่”
“เจ้าบอกว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ พวกยามในบ้านจะมีจำนวนมากกว่าสองเท่าใช่หรือไม่?”
เนี่ยนเนี่ยนลูบคางครุ่นคิด แล้วพยักหน้าอีกครั้ง โดยไม่รู้ตัวว่าทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก
ไป๋หลิวอี้หัวเราะ “ตอนที่ข้าบุกเข้าไปในลานบ้านได้ ข้าต่อสู้กับชายคนหนึ่งที่มีวรยุทธ์สูงมาก ทั้งยังแต่งตัวไม่เหมือนกับยามในบ้านด้วย ยามหลายคนในบ้านถูกเขาสังหารฆ่า เมื่อข้าเข้าไป เขาเงื้อดาบขึ้นหมายจะแทงข้า โดยไม่ได้เอ่ยคำใดสักคำ ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าห้ำหั่นกับเขา ชายคนนั้นซัดฝ่ามือใส่ข้า แล้ววิ่งหนีออกไป ข้าคิดว่าจะตาม แต่ก็ได้ยินเสียงลูกศรดังขึ้นก่อน จึงรีบไปหาเจ้า”
เนี่ยนเนี่ยนค่อนข้างเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ “เจ้าหมายถึง เจ้าเปิดเผยทักษะที่แท้จริงตอนที่เจ้าต่อสู้กับคนผู้นั้น ใช่หรือไม่?”
ไป๋หลิวอี้หัวเราะ “เมื่อลองมานึกดูตอนนี้ รูปร่างของคนผู้นั้นค่อนข้างคล้ายกับเจี่ยงโม่เซิง”
เนี่ยนเนี่ยนยิ่งแปลกใจ “หากเขาเป็นเจี่ยงโม่เซิง เหตุใดเขาถึงฆ่ายามในบ้าน? ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันหรอกหรือ?” ในเวลานั้น นางยังนึกอยู่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารยาม คิดว่าเป็นไปได้มากที่จะเป็นคนที่มีความแค้นต่อตระกูลเจี่ยง และคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่…
ไป๋หลิวอี้ยังชำเลืองมองเนี่ยนเนี่ยน มุมปากของเขายกยิ้มที่ค่อนข้างเย็นชา
เมื่อเนี่ยนเนี่ยนถูกเขามอง นางก็ขนลุกไปหมด และเอียงคอไปข้างหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าไป๋หลิวอี้กอดนางไว้ตลอดเวลาจริง ๆ
สีหน้าของนางแข็งทื่อในทันใด นางรีบผลักเขาออกไป ถอยหลังไปสองก้าว แล้วถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าพูดมาสิ”
“ฮึ่ม” ไป๋หลิวอี้พ่นลมหายใจเย็นชา “เกรงว่าพวกเขาคิดจะใช้กลอุบายวีรบุรุษช่วยสาวงาม”
เนี่ยนเนี่ยนอ้าปากค้าง วีรบุรุษช่วยสาวงาม? เจี่ยงโม่เซิง? นาง?
ไป๋หลิวอี้อารมณ์ไม่ดี เขาเข้าไปใกล้นางอีกครั้ง ก่อนจะเอาแขนโอบเอวเนี่ยนเนี่ยน แล้วเขย่งปลายเท้า พาเนี่ยนเนี่ยนทะยานออกจากบ้านร้างไป
ก่อนที่เนี่ยนเนี่ยนจะรู้สึกตัว เขาก็พานางตรงไปที่จวนซูกั๋วกงแล้ว
“…ข้าเดินเองได้” ร่างของเนี่ยนเนี่ยนอิงแอบแนบชิดเขา จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นของเขา หัวใจของนางเต้นรัวอีกครั้ง
นางรู้สึกว่าไป๋หลิวอี้ร้ายกาจจริง ๆ ร้ายกาจที่ไม่เชื่อฟังนางเลย
ไป๋หลิวอี้กอดคนในอ้อมแขนแน่น แล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปจนถึงจวนซูกั๋วกง ก่อนจะหยุด
เขาพาเนี่ยนเนี่ยนกลับไปที่สวนจิ่นเฟิง ปล่อยให้นางนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้
จากนั้นเนี่ยนเนี่ยนก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกลับมาเต้นสม่ำเสมอขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลิวอี้
ฝ่ายหลังก็หรี่ตามองนางเช่นกัน จนเนี่ยนเนี่ยนชะงัก “จะทำอะไร?”
“ต่อไปเจ้าอย่าหลงเชื่ออัศวินขี่ม้าขาวที่ไร้เหตุผลคนใดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
มุมปากของเนี่ยนเนี่ยนกระตุก “เพราะเหตุใดกัน?”
“ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน” ไป๋หลิวอี้ถอนหายใจ “สถานะของเจ้าอ่อนไหวเกินไป คนเหล่านั้นล้วนมีแผนร้าย”
เนี่ยนเนี่ยนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดค่อนข้างย้อนแย้ง นางจึงพูดว่า “แต่อัศวินขี่ม้าขาวในวันนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าที่พาข้าออกหนีจากคนตระกูลเจี่ยง จะไม่ให้หลงเชื่อหรือ?”
“…” นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋หลิวอี้เงียบเพราะคำพูดนางได้ เหตุใดเขาถึงไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยคนนี้ก็มีฝีปากกล้าเหมือนกัน?
เขาหรี่ตาลง สายตาจับจ้องเนี่ยนเนี่ยนเขม็ง
เนี่ยนเนี่ยนตกใจ รัศมีอันตรายแผ่ซ่านใกล้เข้ามา นางรีบลุกขึ้นยืน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ ตระกูลหลิ่วกำลังจะโจมตีจวนซูกั๋วกง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป? เจ้าอยากจะ…”
ดวงตาของเนี่ยนเนี่ยนเบิกกว้างทันที ขณะมองดวงตาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ริมฝีปากเย็นยะเยือกราวเกล็ดน้ำแข็งเกาะ เส้นขนทั่วร่างกายลุกชูชัน
นางมองใบหน้าคมของเขาด้วยความประหลาดใจ ร่างกายของนางแข็งทื่อ ขณะถูกเขากดติดกำแพงจนขยับไม่ได้
แรงบดที่ริมฝีปากเริ่มไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อย ๆ เนี่ยนเนี่ยนถึงกับลืมหายใจ รู้สึกเหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก
ใช่ หายใจไม่ออก!
ในที่สุดไป๋หลิวอี้ก็ปล่อยนาง พยายามยับยั้งชั่งใจ ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางตกใจกลัว
เขาถอยห่างจากนางเล็กน้อย แล้วเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากนาง เมื่อเห็นนางมีสีหน้างุนงง เขาก็เม้มปาก
นิ้วของชายหนุ่มลูบไล้ใบหน้าบอบบางของนาง ลมหายใจของเขากับนางประสานกัน เสียงแผ่วเบาของเขาแหบพร่ามีเสน่ห์ “เนี่ยนเนี่ยน เจ้าแค่ต้องเชื่อใจข้า”
เนี่ยนเนี่ยนกลับมามีสติทันใด ริมฝีปากของนางยังคงรู้สึกร้อนผ่าวและเสียวซ่าน
ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง “ไป๋ ไป๋ ไป๋หลิวอี้ เจ้า…”
“ในเมื่อคนตระกูลหลิ่วกำลังรนหาที่ตาย พวกเราก็ต้องสนองพวกเขาเอง” ไป๋หลิวอี้เปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้ม
เนี่ยนเนี่ยนหยิกเขาด้วยความโกรธ “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดถึงเขาเลย”
ไป๋หลิวอี้ทำหน้าใสซื่อ ก่อนเลียริมฝีปากต่อหน้านาง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้ถามข้าเรื่องตระกูลหลิ่วหรอกหรือ?”
เนี่ยนเนี่ยนจ้องมอง… การกระทำที่ชั่วร้ายของเขา เพียงแค่คิดถึงการสัมผัสกันระหว่างเขากับนางเมื่อครู่นี้ ใบหน้านางก็แดงก่ำ ร่างกายอ่อนระทวยไปหมด และไม่มีแรงแม้แต่จะตำหนิ
นางเสมองไปทางอื่นทันที น้ำเสียงของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “จากนี้ไป เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวข้าอีก หากไม่ได้รับความยินยอมจากข้า”
ไป๋หลิวอี้ขมวดคิ้ว นั่นค่อนข้างน่าลำบากใจ ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของเนี่ยนเนี่ยน ก็เกรงว่าหากนางยอมพยักหน้าเห็นด้วย ฟ้าก็คงจะถล่มลงมา
เนี่ยนเนี่ยนกระแอมเบา ๆ ในที่สุดก็ตั้งสติได้ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าจะสนองพวกเขาอย่างไร?”
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจ ขโมยจูบเนี่ยนเนี่ยนเหรอ พอรู้ว่าเขาไม่ถอนหมั้นก็เอาใหญ่เลยนะ
ไหหม่า(海馬)