อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 259 ต่อไปเจ้าต้องฟังข้า
ตอนพิเศษ 259 ต่อไปเจ้าต้องฟังข้า
ตอนพิเศษ 259 ต่อไปเจ้าต้องฟังข้า
เนี่ยนเนี่ยนเริ่มหมดความอดทนมากขึ้น จึงลงมือผลักเขา “เจ้าเป็นคนลังเลที่จะพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อาเวินเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อีกทั้งนายท่านและนายน้อยเย่ได้ต่อสู้กับหัวหน้าตระกูลเจี่ยง หัวหน้าตระกูลเจี่ยงมีกำลังภายในแกร่งกล้าลึกล้ำ นายท่านจึงได้รับบาดเจ็บ…”
รูม่านตาของเนี่ยนเนี่ยนหดลง ก่อนจะเตะเขาอย่างแรง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เหตุใดเจ้าไม่บอกก่อนหน้านี้?”
นางด่าทอแล้วรีบวิ่งไปที่สวนจิ่นเฟิง
อาเวินผงะไปครู่หนึ่ง โดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่ขา แล้วรีบตะโกนว่า “ไม่ได้อยู่สวนที่จิ่นเฟิงขอรับ”
ทันทีที่เขาอ้าปาก เขาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าที่นี่คือโถงเล่อฝูของฮูหยินเฒ่า เสียงที่ดังจึงอาจกระตุ้นความสงสัยของนาง
เดิมทีนายท่านสั่งไม่ให้บอกฮูหยินเฒ่าและจวิ้นจู่ เพื่อไม่ให้พวกนางเป็นกังวล แต่เย่ซื่อจื่อและนายน้อยเย่แนะนำว่าจะดีกว่าสำหรับเขา หากแอบบอกเนี่ยนเนี่ยนคนเดียว
เขาคิดถึงอาการบาดเจ็บของเจ้านาย และทักษะทางการแพทย์ของเนี่ยนเนี่ยน สุดท้ายเขาจึงไม่ฟังคำพูดของไป๋หลิวอี้ แล้วมาบอกด้วยตัวเอง
“เขาอยู่ที่ใด? นำทางไปเร็ว” เนี่ยนเนี่ยนตวาดอีกครั้ง นางพูดกับอาเวินด้วยสีหน้าเป็นกังวล
อาเวินเหลียวมองกลับไป แต่โชคดีที่ไม่มีใครในโถงเล่อฝูให้ความสนใจ เขารีบชี้ไปข้างนอก แล้วพูดว่า “อยู่ในจวนเสนาบดีฝั่งขวาขอรับ”
ไป๋หลิวอี้ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่ต้องการให้ฮูหยินเฒ่าไป๋และเนี่ยนเนี่ยนรู้ ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจเข้ามาในจวนซูกั๋วกงให้เกิดข่าวใหญ่
เนี่ยนเนี่ยนรู้ว่าจวนเสนาบดีฝั่งขวาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตอนนี้สถานที่นั้นยังไม่สามารถอยู่อาศัยได้ มันรกร้างและเงียบสงบมาก จึงเหมาะสำหรับการพักฟื้น
นางรีบหันหลังเดินไปที่ประตูทันที
เมื่ออาเวินถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างของเนี่ยนเนี่ยนก็หายลับไปแล้ว
เขาพึมพำด้วยความหงุดหงิด แล้วรีบไล่ตามไป
ขณะนี้มีคนมากมายล้อมรอบจวนเสนาบดีฝั่งขวา ทั้งซูกั๋วกงและลู่อวี่ก็อยู่ที่นั่นด้วย สีหน้าของพวกเขาค่อนข้างเคร่งเครียด
ซูกั๋วกงแทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลย แต่ละอายใจเล็กน้อย เพราะวรยุทธ์ของเขาไม่ได้แข็งแกร่ง เขาจึงไม่ได้เข้าไปในจวนตระกูลเจี่ยงเพื่อต่อสู้กับคนอื่น ๆ แต่อยู่ข้างนอกเพื่อสั่งการ
ลู่อวี่บาดเจ็บร้ายแรงกว่ามาก มีบาดแผลที่มุมปากและตามร่างกาย เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ให้ท่านหมอพันแผล พลางยกยิ้มฝืดเฝื่อน
เพียงแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังคนบนเตียง แล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เป่ยเป่ยนั่งอยู่ข้างเตียง พลางจ้องมองหมอหลวงที่กำลังรักษาไป๋หลิวอี้ โดยถือขวดยาหลายขวดไว้ในมือ
เนี่ยนเนี่ยนเปิดประตูเข้ามา สิ่งแรกที่นางเห็นคือไป๋หลิวอี้ที่หมดสติและได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าของนางซีดลงทันที และรีบวิ่งไปหา
ฟังจากที่อาเวินพูด นางคิดว่าอาการไม่น่าจะสาหัสนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะชัดเจนแล้วว่า…
นางผลักหมอหลวงที่กำลังจับชีพจรของไป๋หลิวอี้ออกไป แล้วถลาเอนกายซบกับขอบเตียง
หมอหลวงคนนั้นหงุดหงิด “เจ้าเป็นใคร? ออกไปให้พ้น อย่ามาขวางทางที่นี่”
เย่ฉิงเป่ยเงยหน้าขึ้นมองหมอหลวงอย่างแข็งกร้าว แล้วพูดว่า “เจ้าไปตรวจคนอื่นเถิด ตราบใดที่มีเนี่ยนเนี่ยนอยู่ที่นี่”
หมอหลวงขมวดคิ้ว เขารู้สถานะของเป่ยเป่ย จึงไม่กล้าขัดคำพูดของเขา แต่อาการบาดเจ็บของเสนาบดีฝั่งขวานั้น…
หมอหลวงเงยหน้าขึ้นมองซูกั๋วกง ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เขาแล้วพูดว่า “เจ้าไปดูแลนายน้อยลู่เถิด”
หมอหลวงก้าวออกไปอย่างไม่เต็มใจ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเนี่ยนเนี่ยนรีบหยิบถุงยาออกมา
“เขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง” เป่ยเป่ยพูดจากด้านข้าง
เนี่ยนเนี่ยนพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่ตรวจร่างกายของไป๋หลิวอี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบเข็มเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงยา แล้วเล็งไปที่จุดฝังเข็มก่อนแทงลงไป
เป่ยเป่ยเห็นว่าท่าทางของนางจริงจังมาก นางกลั้นหายใจจนเส้นประสาททั้งหมดของนางตึงขึ้น
ดูเหมือนว่านางใช้วิธีนี้เพื่อไม่ทำให้มือสั่น
เขาถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ให้หมอหลวงมาช่วยเจ้าด้วยดีกว่า เจ้าคอยบอกเขาอยู่ด้านข้าง แล้วเขาจะจัดการเอง”
เนี่ยนเนี่ยนส่ายหน้า นางยังคงไม่พูด พลางเม้มปากแน่น
ไป๋หลิวอี้มีบาดแผลจากคมดาบบนร่างกายด้วย รอยบาดนั้นค่อนข้างลึก เลือดสีแดงฉานยังคงรินไหลออกมาจากแขน
เนี่ยนเนี่ยนอยากจะเตะหมอหลวงตอนนี้จริง ๆ ผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังห้ามเลือดได้ไม่ดี เขาเป็นหมอหลวงประสาอะไรกัน?
ในห้องเงียบมากจนแม้แต่ลู่อวี่ก็ไม่ได้ถามคำถามใด เพราะกลัวว่าจะรบกวนการใช้ฝังเข็มของนาง
ซูกั๋วกงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างเตียงตั้งแต่ต้นจนจบ พลางขมวดคิ้วมองลูกชายที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขากำลังเป็นห่วงยิ่งนัก
จากนั้นเย่ฉิงเป่ยก็เอนหลังไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าอก
เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ไม่ร้ายแรง ตราบใดที่เขาพักฟื้นอย่างระมัดระวังสักสองสามวัน เขาก็จะไม่เป็นอะไร
ตอนที่ต่อสู้กับผู้อาวุโสสกุลเจี่ยง แม้ว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกัน แต่การโจมตีส่วนใหญ่ของผู้อาวุโสสกุลเจี่ยงล้วนมีเป้าหมายคือไป๋หลิวอี้
ดูเหมือนไป๋หลิวอี้จะคอยปกป้องเขาตลอดเวลา
เย่ฉิงเป่ยลอบถอนหายใจ แล้วยิ้มฝืดเฝื่อน เขายอมรับในตัวพี่เขยแล้ว หากเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ พี่เขยคงจะทนไม่ได้เป็นแน่
เมื่อมองการแสดงออกของเนี่ยนเนี่ยน ก็เห็นได้ชัดว่านางมีความรักที่ลึกซึ้งเช่นกัน
เป็นพ่อแม่ที่มองการณ์ไกล ถึงได้ฝึกฝนไป๋หลิวอี้ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดพวกเขาก็ช่วยให้เนี่ยนเนี่ยน ได้พบกับสามีที่รักและคอยปกป้องนางได้
หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ในที่สุดเนี่ยนเนี่ยนก็หยุดมือ แล้วมองชายที่มีผ้าพันแผลหนารอบตัว ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียว
จากนั้นซูกั๋วกงก็เดินเข้ามาถามนางเสียงเบาว่า “หลิวอี้… ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“อืม อาการบาดเจ็บภายในสาหัส แต่โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตเจ้าค่ะ” เมื่อเทียบกับถงเวยหลินในวันนั้น อาการของเขาเบากว่าจริง ๆ
แต่ถ้าผู้อาวุโสสกุลเจี่ยงออกแรงมากกว่านี้ หัวใจของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่เทพเซียนก็ยากที่จะช่วยเขาได้
เมื่อเนี่ยนเนี่ยนนึกได้ดังนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัวมาก จึงมองไป๋หลิวอี้ด้วยความไม่พอใจยิ่ง
รู้ทั้งรู้ว่าคนที่บ้านเป็นห่วงเขา แต่เขายังไม่รู้จักป้องกันตัวเอง
ผู้นำตระกูลเจี่ยงคือใคร? หากปราศจากทักษะที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ จะรับมือกับเขาได้หรือ? บุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้จะปล่อยให้คนอื่นจัดการตัวเองหรือ? คิดอะไรถึงทำเช่นนั้น?
นางเคยบอกแล้วว่าวรยุทธ์ของชายสวมหน้ากากนั้นยากจะหยั่งถึง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจจริงจังเลย
เขาสมควรได้รับความเจ็บปวด เขาสมควรได้รับความเจ็บปวด เขาสมควรได้รับมัน
เนี่ยนเนี่ยนกัดฟันอย่างแรง ขณะกำหมัดแน่น
ซูกั๋วกงอยากจะถามอย่างอื่น แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเนี่ยนเนี่ยน ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้า แล้วแอบยกยิ้ม ก่อนจะเรียกลู่อวี่และคนอื่น ๆ ออกไป
เป่ยเป่ยก็รู้ทันเช่นกัน จึงเดินตามหลังซูกั๋วกงไป
จนกระทั่งหลายคนเดินออกมาจากประตู ซูกั๋วกงก็หันมาหาเขา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาสำหรับงานแต่งงานแล้ว”
การที่เด็กทั้งสองจะสามารถพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจนั้นหาได้ยาก
เป่ยเป่ยเพียงแค่มองลู่อวี่ แล้วยกยิ้มแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
เนี่ยนเนี่ยนไม่จากไปไหน เพียงแค่ยืนมองไป๋หลิวอี้อยู่ข้างเตียง
จากความเคียดแค้นชิงชังในตอนแรก กลายเป็นความเศร้าในกาลต่อมา อารมณ์ของนางสงบลงมาก
ในที่สุดนางก็ซบลงตรงขอบเตียง แล้วจับมือเขาไว้แผ่วเบา เสียงพูดของนางก็เบาหวิวราวเสียงน้ำหยด “ต่อไปนี้เจ้าต้องฟังคำพูดของข้า ดูแลบาดแผลให้ดี ห้ามลุกจากเตียงจนกว่าจะหายดี ต้องกินยาให้ตรงเวลา ข้าจะหาสมุนไพรที่มีรสขมสักสองสามชนิดมาให้เจ้าดื่ม เจ้าจะได้รับบทเรียนเสียบ้าง”
“ได้” คนบนเตียงตอบทันควัน
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ็บตัวอีกแล้วสิหลิวอี้ ถ้าไม่ได้เนี่ยนเนี่ยนมารักษานี่จะรอดไหมเนี่ย
ไหหม่า(海馬)