อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 42 พบซิวหวางเฟย
ตอนพิเศษ 42 พบซิวหวางเฟย
ตอนพิเศษ 42 พบซิวหวางเฟย
“อะไรนะ?” ไท่ฮูหยินร้องลั่น แล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
แต่ในวินาทีต่อมา นางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการรีบปิดปากตัวเอง เมื่อตระหนักว่าตนเผลอตัวไปก็รีบฝืนยิ้ม
มันเป็นรอยยิ้มที่สุดแสนจะฝืดเฝื่อน และดูแปลกประหลาดอย่างสุดจะพรรณนา
หลานสุ่ยหยวนและหลานสุ่ยเถียนก็ตกตะลึงเช่นกัน บัดนี้ความเขินอาย ความอดทนข่มกลั้น และความอ่อนโยนทั้งหมดพลันหายวับ มีเพียงความตกใจและความประหลาดใจบนใบหน้า
หัวใจของพวกนางเต้นรัวราวกับกลองรบ เต้นแรงจนปวดหัวไปหมด
ส่วนจินซื่อแข้งขาอ่อนไปหมด ทั้งยังมีใบหน้าซีดเผือด
คนที่ซิวหวางเฟยต้องการสู่ขอคือหลานสุ่ยชิงงั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร?
หลานสุ่ยหยวนทนไม่ได้ จึงถามออกไปตามตรง “หวางเฟยหมายความว่าวันนี้พระองค์มาที่นี่ เพื่อสู่ขอกับหลานสุ่ยชิงหรือเพคะ?”
ทันใดนั้นจินซื่อก็กลับมามีสติ รีบขยิบตาให้ลูกสาว ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ต้องคุมสติให้ดี
แต่หลานสุ่ยหยวนไม่มองนางเลย กลับกระตือรือร้นที่จะได้รับคำตอบ “เหตุใดหวางเฟยจึงสู่ขอหลานสุ่ยชิงเพคะ? นางเป็นคนแปลกแยกและห่างเหิน ไม่เป็นที่รักของใคร ป่วยออดแอดทุกสามวัน กระทั่งจะก้าวขาออกประตูเรือนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากรูปโฉมไร้ยางอายนั่นก็ไม่มีอะไรคู่ควรกับการเป็นทายาทของจวนหลานเลย แล้วนางจะมีคุณสมบัติพอเข้าไปในตำหนักอ๋องซิวได้อย่างไร นางไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลหลานด้วยซ้ำ นางเป็นแค่คนนอก…”
“สุ่ยหยวน!!” จินซื่อตกใจมาก ใบหน้านางซีดราวกระดาษขณะตวาดเสียงดัง
ทันใดนั้นหลานสุ่ยหยวนก็ได้สติ ใบหน้านางซีดเผือดทันที
จินซื่อรีบคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้ชิงลั่ว แล้วละล่ำละลักแก้ตัวให้ลูกสาวว่า “หวางเฟยโปรดอภัยเพคะ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา หยวนเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับความเครียดและความกดดันทางจิตใจมากเกินไป เมื่อคืนนี้นางก็ไม่ได้นอนทั้งคืน จึงควบคุมคำพูดคำจาไม่ได้ จนพูดไม่เข้าท่ามากไปหน่อย หวางเฟยโปรดให้อภัยที่นางพูดเช่นนั้นด้วยเถิดเพคะ”
อวี้ชิงลั่วมีสีหน้าเฉยเมย ขณะจ้องมองหลานสุ่ยหยวนด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อหลานสุ่ยหยวนเห็นสายตาเช่นนั้น นางก็รู้สึกราวกับถูกน้ำเทราดจนเปียกทั้งตัว เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วกาย และนางก็รีบคุกเข่าลงเช่นกัน
“หวางเฟยโปรดอภัย ข้า ข้า…”
“เอาล่ะ ต่อไปจงระวังคำพูดให้มากขึ้นกว่านี้นะ” หายากที่อวี้ชิงลั่วจะมีโอกาสทำบุญ นางจึงโบกมือไม่ติดใจถือสา
หลานสุ่ยหยวนกับจินซื่อต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างงุ่มง่าม
อวี้ชิงลั่วหันไปมองไท่ฮูหยิน “ข้าสามารถเชิญบุตรสาวคนโตแห่งตระกูลหลานมาได้หรือไม่”
“เพคะๆ ต้องได้แน่นอนเพคะ” ไท่ฮูหยินรีบพยักหน้า แม้ว่านางเองก็สงสัยอยู่ในใจเช่นกัน แต่หลังจากซิวหวางเฟยได้ฟังคำพูดของหลานสุ่ยหยวน ก็รู้สึกได้ว่าไอเย็นยะเยือกกำลังแผ่ซ่านออกมาจากกายนาง เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกรธจัด ตอนนี้ไท่ฮูหยินจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่เมื่อนางคิดว่าคนที่ซิวหวางเฟยมาสู่ขอคือหลานสุ่ยชิง ไท่ฮูหยินก็ขมวดคิ้วแน่น
นางทำได้เพียงระงับความกลัวในใจ สูดหายใจเข้าลึก ก่อนหันไปมองไฉ่ซินที่อยู่ข้าง ๆ แล้วสั่งว่า “เจ้าไปเรียกคุณหนูใหญ่ให้มาหา”
หลังจากพูดจบก็ขยิบตาให้นาง
ไฉ่ซินเข้าใจเป็นอย่างดี นี่หมายถึงให้ไปเชิญนายท่านหลานมาด้วย
นางรีบรับคำ แล้วรีบออกจากเรือนโยวหรานไป
ไท่ฮูหยินบีบฝ่ามือตัวเองเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ จากนั้นเปิดปากถามอวี้ชิงลั่วด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเหตุใดซิวหวางเฟยถึงสู่ขอชิงเจี่ยเอ๋อร์ ชิงเจี่ยเอ๋อร์ของเราเคยพบกับหวางเฟยแล้วหรือเพคะ?”
ครั้งเดียวที่นางคิดออก ก็คือตอนที่หลานสุ่ยชิงไปร่วมงานเลี้ยงดอกบัวที่ตำหนักอ๋องซิวเมื่อไม่กี่วันก่อน
พลางคิดว่าตนไม่น่าปล่อยหลานสุ่ยชิงออกไปเลย ตอนนี้มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้นางเสียใจ
ไท่ฮูหยินกระอักเลือดจนแทบแดดิ้นอยู่ในใจ แต่ทำได้เพียงก้มหน้านิ่ง ทำอะไรไม่ได้
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง อวี้ชิงลั่วก็หัวเราะเบา ๆ “สำหรับเรื่องนั้น ประเดี๋ยวก็รู้เองเมื่อนางมาถึงแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็ยกชาขึ้นจิบช้า ๆ แล้วหยุดพูด
แต่หางตาเหลือบมองไปทางโถงด้านข้างช้า ๆ ตรงนั้นมีเยียนจือที่กำลังยืนตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่
นางรู้สึกวิงเวียนเหมือนท้องฟ้ากำลังหมุน และรู้สึกเหมือนประสาทหูของนางน่าจะแว่วไป สิ่งที่ได้ยินมันช่างเหลือเชื่อ
จนกระทั่งไฉ่เฟิงกลับมาพร้อมกับถาด แล้วเขย่าตัวนางด้วยความตื่นเต้น นางจึงสูดหายใจเข้าแล้วหยิกไฉ่เฟิงอย่างแรง
ไฉ่เฟิงเกือบจะร้องออกมา แต่โชคดีที่นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว จึงรีบปิดปากไว้ได้ทัน ท้ายที่สุดก็ตีนางอย่างแรง ก่อนจะพูดเสียงเบาขณะจ้องมองนาง “เจ้ากำลังรนหาที่ตายหรือไง ถึงได้หยิกข้าจนเจ็บมากเช่นนี้”
“ไฉ่เฟิง ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้ฝัน เยียนจือ เหตุใดเจ้ายังยืนอยู่ตรงนี้เล่า? รีบไปบอกคุณหนูใหญ่ให้มาเร็วเข้าสิ”
เยียนจือกลับมามีสติทันที นางพยักหน้าอย่างแรง แล้วรีบวิ่งออกจากเรือนโยวหราน
ฝีเท้าของนางว่องไวด้วยความตื่นเต้น นางวิ่งผ่านไฉ่ซินอย่างรวดเร็ว รีบมุ่งหน้าไปที่เรือนหลานสุ่ยชิง
แม่นมปู้เห็นแล้วก็คว้าแขนนางไว้ พลางดุว่า “แม่ตัวดีหายไปไหนมา? เอาแต่วิ่งไม่รู้จักช่วยคุณหนูทำอะไรเลย”
“โอ๊ย แม่นมปู้ อย่าดึงข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกคุณหนู ปล่อยนะเจ้าคะ” เยียนจือดิ้นสองสามครั้งจนหลุดมาได้ แล้วรีบเข้าไปในครัวเล็กทันที
ท่านแม่ปู้มองมือที่ถูกนางข่วน แล้วสบถอย่างโกรธจัด “นังเด็กบ้า เล่นแรงจริงๆ”
ขณะที่พูดนางก็เดินตามเข้าไปด้วย
หลานสุ่ยชิงเพิ่งปรุงอาหารเสร็จ เนี่ยนเนี่ยนชิมแล้วพยักหน้าซ้ำ ๆ “อร่อยจัง”
“ใจเย็นก่อน มันยังร้อนอยู่” หลานสุ่ยชิงหัวเราะ แล้วหันไปผัดกับข้าวจานที่สอง
คาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางหยิบตะหลิว เยียนจือก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาดึงนางออกจากครัวเล็ก และเกือบจะชนแม่นมปู้ที่กำลังเดินเข้ามา
ส่วนเนี่ยนเนี่ยนกลับยิ้มอย่างไม่ปิดบัง จากนั้น…ก็กินต่อ
หลานสุ่ยชิงรู้สึกสับสนเพราะถูกเยียนจือลากออกมา นางขมวดคิ้ว แล้วรีบทรงตัวถามว่า “เยียนจือ เจ้าทำอะไร?”
“คุณหนู โอ๊ย คุณหนู ท่านรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้าเจ้าค่ะ มีกลิ่นควันกับข้าวคลุ้งไปทั้งตัวแล้ว แบบนี้จะไปพบซิวหวางเฟยได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เยียนจือพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาหาชุดในตู้เสื้อผ้าของคุณหนู
แต่หลังจากค้นหาแล้วก็ไม่พบชุดที่ดูดีเลย มีเพียงชุดที่ใส่ไปร่วมงานเลี้ยงดอกบัวที่ตำหนักอ๋องซิวเมื่อสองวันก่อนอยู่ชุดเดียวเท่านั้นที่พอดูเข้าท่า
เยียนจือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจหยิบชุดออกมา
หลานสุ่ยชิงกับแม่นมปู้ยืนอยู่ข้างๆ มองดูนางวิ่งวุ่นไปมาแล้วก็มองหน้ากัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลานสุ่ยชิงก็ก้าวเข้าไปคว้าข้อมือเยียนจือ “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าจะเก็บกระเป๋าให้ข้าเพื่อเตรียมหนีหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับไท่ฮูหยิน?”
หนีหรือ? เยียนจือเดินโซเซไปก้าวหนึ่งจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
นางรีบหันกลับมามอง เมื่อเห็นหลานสุ่ยชิงยังคงแต่งตัวเป็นคนครัว หัวใจของนางก็เต้นรัว
ขณะที่กำลังสาละวนอยู่นั้น ก็รีบแกะผ้าโพกหัวของนางออก แล้วอธิบายว่า “หนีอะไรเล่าเจ้าคะ? คุณหนู ท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ข้าต้องการแต่งตัวท่านให้สวยงาม เพื่อไปพบซิวหวางเฟยเจ้าค่ะ”
“พบซิวหวางเฟยหรือ?”
“ใช่แล้ว ใช่เจ้าค่ะ” เยียนจือพูดด้วยความดีใจ “ซิวหวางเฟยมาสู่ขอคุณหนูเจ้าค่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โอกาสมาถึงแล้ว รีบคว้าไว้เลยสุ่ยชิง
ไหหม่า(海馬)