อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 5 นางไม่มีความทะเยอทะยาน
ตอนพิเศษ 5 นางไม่มีความทะเยอทะยาน
ตอนพิเศษ 5 นางไม่มีความทะเยอทะยาน
เย่หลานเฉิงเห็นหนานหนานเงียบไปนาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะล้อเขา “ทำไมหรือ เห็นท่าทางของเจ้าเช่นนี้แล้ว คิดจะไปสู่ขอแล้วหรือ?”
“รอให้ข้าจัดการธุระในตอนนี้ให้เสร็จก่อนแล้วจะไปเอง” หนานหนานลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว ก็ควรกลับไปแล้ว
เย่หลานเฉิงเท้าคางอีกครั้ง มองร่างสูงของเขาค่อยๆ เดินไปยังประตู
ตั้งแต่หนานหนานได้รับผิดชอบอวี้เฟิงถัง เขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ บางทีถ้าหากมีหญิงสาวอยู่ข้างกาย ก็คงจะดีขึ้นหน่อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่หลานเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ทันใดนั้นก็ยืดตัวแล้วถาม “ให้ข้าออกราชโองการพระราชทานงานแต่งให้หรือไม่?” มีราชโองการของฮ่องเต้ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลานผู้นั้นก็จะมีสถานะไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาได้ยินมาว่าสถานการณ์ของคุณหนูใหญ่หลานในตระกูลหลานนั้น…ดูน่าอึดอัดเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าหนานหนานรู้เรื่องนี้หรือไม่
หนานหนานไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย ยกมือขึ้นโบก “หากต้องการเมื่อใด ข้าจะมาบอกเจ้าเอง”
กล่าวจบ เขาก็เดินออกจากประตูห้องโถงใหญ่ไปแล้ว
เย่หลานเฉิงส่ายหน้า เมื่อเห็นฟางเจิ้ง ขันทีคู่กายเดินเข้ามา ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ กล่าวพึมพำ “จริงๆ เลย เขาช่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย”
ฟางเจิ้งค้อมตัวคอยรับใช้อยู่ด้านหลังเขา ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็เป็นเพราะฝ่าบาทและหนานซื่อจื่อสนิทสนมกันดี เมื่อฝ่าบาททรงอยู่ต่อหน้าหนานซื่อจื่อแล้วก็เหมือนเป็นพี่น้อง หนานซื่อจื่อมีเรื่องอันใดก็ย่อมไม่เกรงใจพี่น้องพ่ะย่ะค่ะ”
เย่หลานเฉิงหันหน้ามองเขา “เจ้าช่างเข้าใจพูดนัก”
ฟางเจิ้งได้รับการฝึกฝนจากเหมียวเชียนชิว ความสามารถในการพูดจาและสายตาที่มองคนนั้น บางครั้งก็เหมือนเหมียวเชียนชิวอย่างมาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ตรัสชมพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเจิ้งกล่าวขอบคุณในทันที
เย่หลานเฉิงส่ายหน้า คิดแล้วกล่าว “เจ้าใส่ใจทางด้านเสด็จแม่เสียหน่อย ถ้าหากนางเรียกตัวคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลรองเจ้ากรมหลานเข้าวัง เจ้าจะต้องรายงานข้าทันที”
ในเมื่อหนานหนานเข้าวังและบอกเรื่องนี้กับตนด้วยตัวเองแล้ว เช่นนั้นตนก็ต้องช่วยดูให้เขาหน่อย
“พ่ะย่ะค่ะ” ฟางเจิ้งลดสายตาลงแล้วตอบรับ
แต่หลายวันติดต่อกัน ก็ไม่ได้ยินเลยว่าทางด้านสวีโหรวมีความเคลื่อนไหวใด
ช่วงนี้เย่หลานเฉิงเองก็ยุ่งกับการบ้านการเมือง ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ครั้งก่อนที่เย่ซิวตู๋กล่าวถึงประเด็นที่จะให้เขาคัดเลือกสตรีในราชสำนัก หลายวันมานี้ เหล่าขุนนางก็เริ่มพูดถึงประเด็นนี้กันอย่างสุดความสามารถ
เย่หลานเฉิงเองก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะพักหายใจ ในเมื่อกำชับกับฟางเจิ้งแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มาติดตามเรื่องนี้ต่อแล้ว
ทุกสิ่งในวังเงียบสงบ แต่นอกวังหลวงนั้น หลายวันมานี้กลับมีเรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นร้อนในแวดวงสตรีชั้นสูง
ซิวหวางเฟยกลับต้องการจัดงานเลี้ยงชมดอกบัวขึ้นมาจริงๆ ถึงขนาดส่งเทียบเชิญไปให้ทุกตระกูลขุนนางระดับสี่ขึ้นไปในเมืองหลวง เชิญหญิงสาวที่ถึงวัยแล้วให้เข้าร่วม
นี่เป็นเรื่องใหญ่ อย่าว่าแต่ตำหนักอ๋องซิวที่กลายเป็นคฤหาสน์ลึกลับที่หลายคนอยากจะเข้ามาสำรวจอย่างมาก แม้แต่ซิวหวางเฟยเอง หลายปีมานี้ นอกจากเชิญคนสนิทมาร่วมฉลองวันเกิดให้ลูกๆ แล้ว ก็ไม่เคยจัดงานเลี้ยงใดๆ เลย
ตอนนี้กลับมีการเปลี่ยนประเพณีที่ผ่านๆ มา จู่ๆ ก็จะจัดงานเลี้ยงชมดอกบัว เรื่องเช่นนี้ทำให้เหล่าสตรีชั้นสูงต่างก็ตกใจกันไปหมด
มีคนเดาว่าหนานซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิวนี้ถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว ไม่แน่ว่าจะเป็นการเลือกฮูหยินให้กับซื่อจื่อก็เป็นได้
ส่วนคนที่ได้รับข่าวสารอย่างรวดเร็วนั้น ก็สืบรู้มาว่าช่วงนี้อ๋องซิวเสนอในราชสำนักว่าจะเลือกสนมให้กับเย่หลานเฉิง งานเลี้ยงครั้งนี้ ก็เป็นไปได้มากว่าซิวหวางเฟยจะช่วยคัดเลือกหญิงสาวให้ฝ่าบาทเบื้องต้นก่อน
อย่างไรทุกคนก็ทราบกันดี ซิวหวางเฟยและไทเฮาสนิทสนมกันมาก เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของฝ่าบาท ก็เป็นไปได้มากว่านางจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
ในเมืองหลวงมีข่าวลือแพร่ไปทั่ว แน่นอนว่าเทียบเชิญก็ย่อมถูกส่งมาถึงบ้านของรองเจ้ากรมหลาน
ตั้งแต่เยียนจือได้รับข่าว สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งเข้าไปในเรือนของหลานสุ่ยชิง
หลานสุ่ยชิงกำลังคัดลายมือ นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ ข้อมือขยับเล็กน้อย ทุกจังหวะการเขียนล้วนดูสง่างามยิ่ง
หลังจากเยียนจือเข้าห้องมา นางก็ไม่ได้หยุด ถึงขนาดไม่แม้แต่จะเงยหน้า เพียงแต่เอ่ยถาม “มีเรื่องอันใด วิ่งเสียจนหอบแล้ว ดื่มน้ำเสียก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ” เยียนจือรินน้ำให้ตนเองทันที กระดกอึกๆ จนหมด จากนั้นจึงได้กล่าวกับนางด้วยแววตาเป็นประกาย “คุณหนู เมื่อครู่นี้ เมื่อครู่นี้ข้าได้ข่าวมาเจ้าค่ะ”
“อืม ค่อยๆ พูด” หลานสุ่ยชิงเขียนจบอีกหนึ่งตัว น้ำหมึกเปียกชื้น ดวงตาเรียบเฉย
เยียนจือลดเสียงลง กล่าวอย่างมีความสุขมาก “คุณหนู ตำหนักอ๋องซิวจะจัดงานเลี้ยงชมดอกบัว ส่งเทียบเชิญมาให้จวนของเราด้วยเจ้าค่ะ ของท่านก็มี”
“หืม” หลานสุ่ยชิงผงะไป นางย่อมรู้จักตำหนักอ๋องซิวอยู่แล้ว และเข้าใจว่าหลายปีมานี้ไม่เคยจัดงานเลี้ยงเลย ตอนนี้จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ
“คุณหนู เมื่อครู่ข้าแอบได้ยินคุณหนูรองกล่าวกับสาวใช้ บอกว่างานเลี้ยงชมดอกบัวที่ตำหนักอ๋องซิวคราวนี้ เกรงว่าจะมีขึ้นเพื่อให้ฝ่าบาทได้เลือกฮองเฮา คุณหนู ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ”
หลานสุ่ยชิงยิ้มออกมา ฟังนางพูดจบ การเคลื่อนไหวในการเขียนของนางก็คล่องตัวขึ้น “แล้วอย่างไรเล่า”
“อย่างไรอะไรกันเจ้าคะ?” เยียนจือหงุดหงิดเล็กน้อย “คุณหนู เหตุใดท่านจึงไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อยเล่า? คัดเลือกฮองเฮานะเจ้าคะ ขอเพียงคุณหนูได้รับเลือก เช่นนั้นต่อไปก็จะไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้แล้ว คุณหนูรูปงามเช่นนี้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทมองเพียงครู่เดียวก็คงจะถูกตาต้องใจก็เป็นได้?”
ในที่สุดหลานสุ่ยชิงก็เงยหน้าขึ้น มองท่าทางกระตือรือร้นของเยียนจือ อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าคิดมากไปแล้ว อย่างแรก ถึงแม้ว่าจะได้รับเทียบเชิญ แต่ท่านพ่อและท่านย่าจะให้ข้าไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้ อย่างที่สอง ต่อให้เป็นการเลือกฮองเฮาให้แก่ฝ่าบาทจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเลือกได้เพียงดูจากหน้าตาเท่านั้น อย่างที่สาม เจ้านี่นะ ได้พบคนไม่กี่คนกลับกล้าพูดว่าคุณหนูอย่างข้างดงามเสียจนมีคนมาถูกตาต้องใจแล้วหรือ? เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า บุตรสาวตระกูลร่ำรวยต่างก็กำลังเบ่งบาน สาวงามมีตั้งมากมาย”
เยียนจือฟังจบ สีหน้าก็ย่ำแย่ลงเล็กน้อย เห็นคุณหนูก้มหน้าลงคัดลายมืออีกครั้งก็รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย กล่าวพึมพำ “แต่ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร คุณหนู ท่านก็ช่างงดงามกว่าคุณหนูรองและคุณหนูสามนักเจ้าค่ะ ถึงแม้เยียนจือจะไม่ได้พบคนมากเท่าไร แต่ดูจากในจวนหลานของเรานี้ ก็ไม่มีใครงดงามเท่าคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ”
หลานสุ่ยชิงรู้สึกขำขันกับนางนัก แต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉย “คนในจวนหลานมีเพียงไม่กี่คน เจ้ากลับกล้าพูดไร้สาระเช่นนี้แล้วหรือ? อีกอย่าง เข้าวังไปเป็นฮองเฮา ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตที่ดีนะ ในวังหลวงนั้นช่างซับซ้อน ข้าน่ะ ตอนนี้อยากปกป้องท่านแม่ ปกป้องพวกเจ้าให้มีชีวิตดีๆ ก็พอ คุณหนูของเจ้าไม่ได้มีความทะเยอทะยาน คอยปกป้องพื้นที่เล็กๆ นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“มีใครที่ไหนบ้างบอกว่าตนเองไม่ทะเยอทะยานเล่าเจ้าคะ?” เยียนจือเหลือบมองคุณหนูแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็คิดว่าไม่ควรทิ้งโอกาสนี้ไป จึงเดินไปข้างกายนาง ฝนหมึกพลางกล่าว “แต่คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าซิวหวางเฟยคือหมอปีศาจ ฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก ต่อให้คุณหนูไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ก็ควรคิดถึงฮูหยินด้วยนะเจ้าคะ ตอนนี้ฮูหยินยังป่วยอยู่ คุณหนูไปงานเลี้ยงชมดอกบัว ไม่แน่ว่าจะได้พบหวางเฟยผู้นั้น และได้เชิญนางมาตรวจอาการฮูหยินก็เป็นได้นะเจ้าคะ?”
มือของหลานสุ่ยชิงชะงักไป หมึกหยดหนึ่งร่วงหล่นลง กลายเป็นรอยเปื้อนบนตัวอักษรที่คัดเสร็จแล้ว…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยังไงดีนะ จะไปงานเลี้ยงหรือไม่ไปดีคุณหนูหลาน สาวใช้ประจำตัวบิ้วท์ขนาดนี้แล้ว
ไหหม่า(海馬)