อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 67 ความจริงแล้วเขาคือฮ่องเต้หรือ
ตอนพิเศษ 67 ความจริงแล้วเขาคือฮ่องเต้หรือ?
ตอนพิเศษ 67 ความจริงแล้วเขาคือฮ่องเต้หรือ?
หลานสุ่ยชิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางได้ติดต่อกับจอมยุทธ์อย่างหนานหนานมากเกินไปหรือเปล่า โสตประสาทของนางถึงได้ไวขึ้นมากตามไปด้วย
โดยเฉพาะความรู้สึกกดดันที่สัมผัสได้นี้ มันรุนแรงมากจนนางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
แม่นมปู้เดินเข้ามาถามนางด้วยความแปลกใจ “คุณหนู เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร” หลานสุ่ยชิงลูบหว่างคิ้วตัวเอง ก่อนถอนหายใจยาว แล้วหันไปพูดกับนางว่า “เตรียมรถม้าให้พร้อม”
พวกนางยังต้องรีบไปตำหนักอ๋องซิว
ไท่ฮูหยินกับรองเจ้ากรมหลานยืนอยู่ข้างนางตั้งแต่แรก มองดูนางอย่างมีความหวัง
หลานสุ่ยชิงแอบเบ้ปากเย้ยหยัน ก่อนจะหันกลับเข้าไปในรถม้า
ทว่าเมื่อม่านรถม้าปิดลง ก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้นไม่ไกลนัก
เมื่อรองเจ้ากรมหลานเห็นรถม้าที่ประดับประดาหรูหราแล่นมาแต่ไกล สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบก้าวเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม
ไท่ฮูหยินกับแม่นมซ่งมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ครู่ต่อมาพวกนางก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา จากนั้นรองเจ้ากรมหลานก็เข้าไปเปิดม่านรถม้าด้วยความเคารพ ไม่นานขันทีที่แต่งตัวดีมากก็เดินลงมา แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ฝูงชนด้วยท่าทางที่ค่อนข้างหยิ่งยโส และในที่สุดสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังรถม้าที่อยู่ข้างเขา
เสียงแหลมดังขึ้นตามมา “ไทเฮามีพระประสงค์ให้หลานสุ่ยชิง ลูกสาวของรองเจ้ากรมหลานประจำกรมราชทัณฑ์ เข้าไปเข้าเฝ้าในวังหลวง”
หลานสุ่ยชิงในรถม้าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และทันทีที่เยียนจือในรถม้าเปิดม่านออก ก็ได้ยินเสียงขันทีพูดกลั้วหัวเราะว่า “แม่นางไม่ต้องลงจากรถม้าหรอก เพียงแค่ตามเข้าไปในวังหลวงพร้อมเราเท่านั้น”
หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัว หรือตอบรับคำสั่งก่อน นี่จะไม่เป็นทางการมากเกินไปหรือ?
แม้ว่าหลานสุ่ยชิงจะคิดเช่นนั้นในใจ เขาก็ยังพยักหน้า ผ้าม่านถูกปิดอีกครั้ง
รองเจ้ากรมหลานกับไท่ฮูหยินลุกขึ้นจากพื้น ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง แม้จะมีความประหลาดใจและยินดีในดวงตา แต่พวกเขาก็กังวลเช่นกัน
ได้ยินมาว่าซิวหวางเฟยอยู่ในวังหลวงเมื่อวานนี้…
ทว่าอยู่ต่อหน้าคนรับใช้ข้างกายไทเฮา ทั้งสองคนจึงยากที่จะพูดอะไรได้ จึงได้แต่กระซิบกับหลานสุ่ยชิงในรถม้าได้เพียงสองสามคำ จากนั้นมองดูรถม้าทั้งสองคันแล่นจากไป
เยียนจือกระวนกระวายมาก นางนั่งอยู่บนรถม้าขณะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดตะกุกตะกัก “คุณ คุณหนูเจ้าคะ บอกข้าทีว่าเหตุใดไทเฮาจึงรับสั่งให้ท่านเข้าไปในวังหลวง?”
“… บางทีอาจต้องการเจอข้า” หลานสุ่ยชิงกล่าว มุมปากของนางกระตุกอย่างช่วยไม่ได้
ในที่สุดหลังจากได้พบกับป้าและน้าของหนานหนาน รวมทั้งญาติผู้ใหญ่คนอื่น ๆ แล้ว ไทเฮาก็เรียกนางมาพบเช่นกัน
นางอดไม่ได้ที่จะถูหว่างคิ้วอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับเยียนจือแล้ว อารมณ์ของนางดูสงบกว่ามาก
ถ้านางไม่ได้เจอหนานหนานเมื่อวานนี้ นางคงจะกระวนกระวายมาก เพราะกลัวว่าเรื่องจะยิ่งบานปลายกว่าเดิม
ตอนนี้นางรู้สึกสงบมาก
แม้ว่านางจะยังคงรู้สึกหงุดหงิดที่หนานหนานปกปิดตัวตน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่ได้พบเขาเมื่อวานนี้ นางกลับรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก…
เยียนจือยังคงตัวสั่น ยิ่งนางเข้าใกล้วังหลวงมากเท่าใด นางก็ยิ่งตัวสั่นมากขึ้นเท่านั้น
นั่นคือไทเฮา ไทเฮาผู้มีเกียรติสูงสุดในอาณาจักรเฟิงชาง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นไทเฮาในชีวิตนี้ แต่ แต่ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง? นางไม่เคยเรียนรู้มารยาทในราชสำนักเลย นางจะทำอย่างไรเมื่อเจอไทเฮา นางควรพูดว่าอะไร? จะหยาบคายหรือไม่? ไทเฮาจะส่งคนมาลากตัวนางออกไปสับเป็นชิ้น ๆ หรือไม่? คุณหนูของนางจะเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่?
เมื่อเยียนจือนึกถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหดคอ
แต่เห็นได้ชัดว่านาง… คิดมากเกินไปจริง ๆ
ก่อนถึงตำหนักของไทเฮา นางก็ถูกขวางไว้ให้อยู่ข้างนอก
เยียนจือมองคุณหนูของนางด้วยความงุนงงและกระวนกระวาย หลานสุ่ยชิงตบไหล่นางแล้วพูดว่า “อย่าวิ่งไปมา อย่าพูดเหลวไหล รอข้าอยู่ที่นี่เงียบ ๆ”
“… โอ้.”
หลานสุ่ยชิงยิ้มปลอบโยนนาง จากนั้นแอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินตามสาวใช้ที่นำทางไปยังตำหนักไทเฮา
ทันทีที่ทุกคนเข้าไปในประตู ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาแต่ไกล
เสียงหนึ่งที่นางคุ้นเคย ดูเหมือนว่าจะเป็น… ซิวหวางเฟย
มุมปากของหลานสุ่ยชิงเผลอยกยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ นางรู้สึก… สบายใจขึ้น
แน่นอนว่าทันทีที่นางเข้าประตูไป อวี้ชิงลั่วกับสวีโหรวที่กำลังคุยกันอยู่ก็หันหน้ามามองนาง
หลานสุ่ยชิงคุกเข่าลงคำนับด้วยความเคารพทันที
สวีโหรวมองแล้วหัวเราะ ก่อนจะกวักมือเรียกนาง “ไม่จำเป็นต้องสุภาพ มามามา ให้ข้าดูชัด ๆ หน่อยได้หรือไม่?”
หลานสุ่ยชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่คาดคิดว่าไทเฮาจะเข้าถึงง่ายขนาดนี้ นางไม่มีท่าทางเสแสร้งใด ๆ ขณะคุยกับนางเลย ทั้งยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ด้วย
นางยืนขึ้นอย่างแช่มช้า แล้วเดินเข้าไปหาสวีโหรว
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นซิวหวางเฟยมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้มอ่อน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางหน้าแดงอย่างไม่มีเหตุผล และก้มหน้าลงอีกครั้ง
เสียงเจ้าเล่ห์ของอวี้ชิงลั่วดังขึ้นทันที “เมื่อวานเจ้าได้พบกับหนานหนานหรือไม่?”
“…” หลานสุ่ยชิงชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความขุ่นเคือง “… พระชายาทราบอยู่แล้ว อืม ทราบว่าพวกเรา…”
“เอ๊ะ? รู้อะไร? ข้าไม่รู้อะไรเลย” อวี้ชิงลั่วทำหน้าตาใสซื่อ หลังจากนั้นไม่นานก็พูดเศร้าๆ ว่า “ข้าไม่ชินกับความร้ายกาจของหนานหนานเสียที ข้าทนเห็นเขาหลอกลวงเจ้าไม่ได้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้เจ้า ดังนั้นสุ่ยชิง ต่อไปเราจะยืนหยัดอยู่ข้างเดียวกัน”
“…” หลานสุ่ยชิงไม่ค่อยเข้าใจ นิสัยของซิวหวางเฟย…ช่างแปลกจริง ๆ
สวีโหรวที่อยู่ด้านข้างเม้มปากแล้วยกยิ้ม ก่อนพูดกับหลานสุ่ยชิงว่า “อย่าไปฟังนาง นางเป็นคนร้ายกาจที่สุดในตำหนักอ๋องซิวแล้ว หนานหนานเป็นคนมีเหตุผลมาก เมื่อเจ้าแต่งงานกับเขาในอนาคต เจ้าอย่าไปรังแกเขาเพราะฟังคำพูดของซิวหวางเฟยเลย”
“…” แล้วตอนนี้นางควรจะฟังใครดี?
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เสียงแหลมสูงก็ดังมาจากข้างนอก “ฮ่องเต้เสด็จ”
ฮ่องเต้หรือ? หลานสุ่ยชิงถอยหลังไปสองสามก้าวทันที ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
จนกระทั่งนางได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเข้าใกล้ นางกำนัลและขันทีทุกคนในวังคุกเข่าลง นางจึงปฏิบัติตาม
เย่หลานเฉิงเหลือบมองนาง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด”
หลานสุ่ยชิงยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงและไม่กล้ามองไปรอบ ๆ
แต่เย่หลานเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนั้น “เราเคยพบกันมาก่อน ดังนั้นไม่ต้องสั่นสะทกสะท้านมากนักหรอก ที่นี่ไม่มีคนนอก หากเจ้าจะเป็นภรรยาของหนานหนาน ต่อไปเจ้าก็จะเป็นครอบครัวเดียวกับเราแล้ว”
หลานสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม พวกเขาเคยพบกันมาก่อนหรือ? นางเคยเจอฮ่องเต้หรือ? เมื่อใดกัน?
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลานสุ่ยชิงก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เม้มปากและมองไปที่เย่หลานเฉิง
วินาทีต่อมา รูม่านตาก็หดลง
นางจำได้ว่าตนเองพบกับอวี้ฉิงหนานตอนที่นางถูกปล้น นอกจากอวี้ฉิงหนานแล้ว มีอีกคนหนึ่งที่ช่วยนางไว้
คาดไม่ถึงเลยว่า…จะเป็นเขาหรือ? ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรือ?
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รังสีแปลกๆ ในห้องสุ่ยชิงมาจากไหนกันนะ
ซิวหวางเฟยนี่ตัวตึงวังหลวงเลยนะ
ไหหม่า(海馬)