อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนพิเศษ 70 ชั่วร้ายสุดขีด
ตอนพิเศษ 70 ชั่วร้ายสุดขีด
ตอนพิเศษ 70 ชั่วร้ายสุดขีด
นางคลุมตัวด้วยผ้าคลุม อำพรางใบหน้าไว้ใต้หมวก ขณะเร่งฝีเท้า
หลังจากเลี้ยวสองสามโค้ง หลานสุ่ยชิงก็ยืนอยู่นอกเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง
หญิงผู้เฝ้าประตูดูเหมือนจะขี้เกียจ แลไปแล้วไม่เห็นใครเลยแม้เพียงครึ่งคน
หลานสุ่ยชิงจึงเข้าเรือนมาอย่างสบายๆ ไม่พบอุปสรรคเลยตลอดทาง ในที่สุดก็มายืนอยู่ที่ประตูเรือนหลังใหญ่ หลังมองซ้ายมองขวาแล้วก็เคาะประตูเบา ๆ สองครั้ง
เสียงเคาะประตูของนางเป็นจังหวะ ฟังดูเหมือนเป็นรหัสลับ
ไม่นานเสียงทุ้มก็ดังมาจากห้องมืด “ใคร?”
“ข้าเอง”
คนข้างในจำเสียงนางได้ และรีบเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนเงียบ ๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นใคร จึงปิดประตูด้วยความมั่นใจ
ทั้งสองเดินไปที่ข้างเชิงเทียน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นใบหน้ากันชัดเจน
คนที่พาหลานสุ่ยชิงเข้ามาในห้องคือลวี่หลัว สาวรับใช้คนสนิทของอนุหลัว
ลวี่หลัวกล่าวกับหลานสุ่ยชิงด้วยความเคารพว่า “แม่นางโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ”
หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้องชั้นในทันที
ไม่นานนักเสียงของลวี่หลัวก็ดังมาจากข้างใน “ท่านอนุ คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ”
เสียงกุกกักลอยมากระทบโสตประสาทของหลานสุ่ยชิง หลังจากนั้นไม่นาน สตรีร่างผอมบางก็รีบออกมา
เมื่อเห็นหลานสุ่ยชิง นางก็รีบก้าวเข้ามาจับมือ แล้วพูดว่า “ข้าวางแผนว่าจะรอให้ทุกคนหลับก่อน แล้วให้ลวี่หลัวไปหาท่าน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านจะเป็นฝ่ายมาก่อน”
อนุหลัวเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่นนัก แต่ดูแล้วสบายตามาก
ตั้งแต่นางแท้งลูก ร่างกายของนางก็ทรุดโทรมลงมาก แม้แต่ผิวพรรณก็หมองคล้ำ ทำให้นางดูแก่กว่าวัยยิ่งนัก
โชคดีที่หลังจากอนุฉีให้กำเนิดลูก นางก็มองว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของนางเอง และค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น รูปร่างของนางจึงค่อย ๆ กลับไปเป็นเหมือนเดิมช้า ๆ ทว่านางดูโทรมมาหลายปีแล้ว ตอนนี้รูปลักษณ์ของนางจึงเทียบไม่ได้กับจินซื่อและอนุฉี
หลานสุ่ยชิงพานางไปนั่งด้านข้าง แล้วถามนางด้วยเสียงเบา “ที่จะบอกให้ลวี่หลัวไปหาข้า มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“เฮ้อ” ก่อนจะเล่า อนุหลัวก็ถอนหายใจก่อน แล้วพูดว่า “หลังจากที่พี่ชายของจินซื่อมาเมื่อวานนี้ นายท่านก็ไปหาจินซื่อ และไม่ได้ไปค้างคืนที่ห้องของอนุฉีอีกเลย คืนนี้เขาก็ไปที่ห้องพระอีกครั้ง คุณหนูใหญ่ ตอนนี้จินซื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดท่านยังปล่อยให้นายท่านเป็นห่วงพวกนางอีก?”
หลานสุ่ยชิงเม้มพลางนึกเย้ยหยัน “ข้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
สีหน้าอนุหลัวสดใสขึ้น “คุณหนูใหญ่ ท่านมีความคิดหรือยัง?”
“อืม” หลานสุ่ยชิงหรี่ตาลง สีหน้าของนางเย็นชาขึ้น อนุหลัวมองแล้วก็รู้สึกว่าช่วงนี้คุณหนูใหญ่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป
ความเย็นชานี้ แม้แต่นางก็รู้สึกหนาวเหน็บเมื่อได้เห็น
“คุณหนูใหญ่บอกข้ามาเถิด หากต้องการให้ข้าช่วย เพียงแค่บอกมา”
หลานสุ่ยชิงหรี่ตาลงพลางขยับเข้าไปข้างหูของอนุหลัว กระซิบกระซาบสองสามประโยค
อนุหลัวพยักหน้าขณะฟัง แล้วก็หัวเราะ “คุณหนูใหญ่อย่าได้กังวล ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย” ทันใดนั้นเสียงผู้ชายทุ้ม ๆ ก็ดังขึ้นข้างหน้าต่าง
สีหน้าของอนุหลัวกับหลานสุ่ยชิงที่อยู่ในห้องพลันเปลี่ยนไป พวกนางหันหน้าไปมองทันที ก่อนเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานหนึ่ง เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและท่าทางเย่อหยิ่งเป็นอันมาก
รูม่านตาของอนุหลัวหดตัว นางอ้าปากแผดเสียงกรีดร้องดังลั่นทันที
หลานสุ่ยชิงตอบสนองด้วยการปิดปากอนุหลัวทันทีด้วยความตื่นตระหนก “อย่าร้อง ไม่ใช่คนร้ายเจ้าค่ะ”
อนุหลัวกะพริบตา ในเมื่อหลานสุ่ยชิงพูดเช่นนั้น เขาก็คงไม่ใช่คนร้ายแน่ แต่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร? บุรุษหรือ? คุณหนูใหญ่ไปคบหากับบุรุษร่างใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร…?
นางพยักหน้า หลานสุ่ยชิงจึงปล่อยมือ จากนั้นมองไปยังหนานหนานที่ขอบหน้าต่าง แล้วถามอย่างเสียไม่ได้ว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่วางใจเจ้า เลยกลับมา”
หลานสุ่ยชิงขมวดคิ้ว “ไม่วางใจข้าเรื่องอะไร?”
อนุหลัวตะลึงงัน บทสนทนาระหว่างทั้งสอง… คลุมเครือเกินไปจริง ๆ
คุณหนูใหญ่คงไม่ได้… เป็นอะไรกับชายคนนี้ใช่หรือไม่?
นางรีบดึงแขนเสื้อของหลานสุ่ยชิง แล้วเอนตัวไปกระซิบข้างหูว่า “คุณหนูใหญ่ คนผู้นี้คือ…”
“…” หลานสุ่ยชิงเม้มปาก ก่อนตอบอย่างไม่มีทางเลือก “เขาคือซื่อจื่อองค์โตแห่งตำหนักอ๋องซิวเจ้าค่ะ”
ตำหนักอ๋องซิว… ซื่อจื่อหรือ?
อนุหลัวอ้าปากค้างทันที และจ้องมองชายตรงหน้านางด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิวคือคู่หมั้นของคุณหนูใหญ่ไม่ใช่หรือ? เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้นคือพวกนางสองคนเพิ่งคุยกันเรื่องแผนการ แล้วเขาจะไม่ได้ยินหรือ? เขาจะไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนประเภทมีแรงจูงใจแอบแฝงใช่หรือไม่? เขาจะไปบอกนายท่านและถอนหมั้นหรือเปล่า?
จิตใจของอนุหลัวสับสน นางไม่รู้ว่าจะวางมือวางเท้าไว้ที่ไหนชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ นางก็สะดุ้งไปทั้งตัว ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบคำนับหนานหนาน “ถวาย ถวายบังคมซื่อจื่อเพคะ”
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก” หนานหนานลงจากขอบหน้าต่าง แล้วเดินไปหาหลานสุ่ยชิง
หลังจากเดินไปอยู่ข้างนางแล้ว เขาก็โน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วพูดซ้ำประโยคแรกที่เขาเพิ่งพูดไป “ความคิดของเจ้าตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก”
“เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ?”
“แน่นอน” หูของเขาไวเสมอ
ใบหน้าอนุหลัวซีดลงทันที แต่เมื่อเห็นว่าหลานสุ่ยชิงยังคงดูสงบอยู่ นางจึงรีบระงับความหวั่นวิตกในใจ แล้วก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร
หลานสุ่ยชิงเม้มปากแน่น “แล้วไม่ดีอย่างไร?”
“เจ้าคิดจะจัดการกับจินซื่อเท่านั้น แต่ปล่อยรองเจ้ากรมหลานไป” หนานหนานเลิกคิ้ว “หากจินซื่อเดือดร้อนก็จะหันมาร้องไห้สองสามครั้ง จากนั้นรองเจ้ากรมหลานก็จะรู้สึกสงสารอีกครั้ง และบางทีรองเจ้ากรมหลานก็อาจจะรักนางมากขึ้นอีก ดังนั้นจะดีกว่าหากทำให้ทั้งสองต้องทนทุกข์”
“ทำให้ทั้งสอง… ต้องทนทุกข์หรือ?” หลานสุ่ยชิงครุ่นคิด
นางไม่มีความรักความผูกพันแบบพ่อกับลูกสาวกับรองเจ้ากรมหลาน เพราะรองเจ้ากรมหลานเพิกเฉยต่อนางกับแม่มาเป็นเวลาหลายปี เขาทำทุกวิถีทางให้แม่ของนางต้องอับอายขายหน้า ทั้งยังเย็นชากับนางยิ่งนัก
ทำให้ทั้งสองต้องทุกข์พร้อมกันก็ดี แต่ใครเล่าจะทำให้พวกเขาทนทุกข์ได้?
หลานสุ่ยชิงนิ่งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที นางมองไปที่หนานหนานด้วยรอยยิ้ม “ไท่ฮูหยินหรือ?”
“ฉลาดจริงๆ” หนานหนานรู้สึกว่าเขากับนางเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขามองนางมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงคนนี้เหมาะที่จะแต่งงานกับเขาจริง ๆ
อนุหลัวเห็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก
เกิดอะไรขึ้น? ดูเหมือนว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิวจะไม่ได้มาขัดขวางแผนการ แต่กลับทำให้นางรู้สึกได้ถึง… การสมรู้ร่วมคิด
ภาพลวงตา ต้องเป็นภาพลวงตาแน่
ทันทีที่อนุหลัวถอนหายใจ นางก็เห็นหนานหนานหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ และคำพูดต่อมาของเขานั้นก็… ชั่วร้ายสุดขีด
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมกับเป็นว่าที่เจ้าสาวของหนานหนาน รู้ทันกันหมดทุกแผนทุกความคิด
ไหหม่า(海馬)