อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 151 ใบประกาศนียบัตร + ตอนที่ 152 ชงมาอีกหนึ่งถ้วย
- Home
- อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด
- ตอนที่ 151 ใบประกาศนียบัตร + ตอนที่ 152 ชงมาอีกหนึ่งถ้วย
ตอนที่ 151 ใบประกาศนียบัตร
เขามองดูจนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถไป ใบหน้าของหยางหยางไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาแต่อย่างใด มีแค่กระดาษแผ่นบาง ๆหนึ่งแผ่นที่ปิดบังเอาไว้
เขาอยากที่จะเข้าไปฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งซะ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ ทำได้เพียงกำพวงมาลัยรถอย่างเงียบ ๆ และมองดูพวกเขาเดินจากไป
ในระหว่างขับรถกลับบ้าน หน่วนหน่วนโน้มตัวไปตรงหน้าหยางหยางและมองไปที่ตัวอักษรที่ไม่รู้จัก “พี่ชาย มีชื่อของแม่จ๋ากับลุงถังซั่วอยู่หรือเปล่า?”
“มี” พวกเขาได้รับประกาศนียบัตรรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันกิจกรรมสองคนสามขาในงานกีฬาสีเมื่อวานนี้
อันโหรวรู้สึกมีอาการแน่นที่หน้าอกและอึดอัดเล็กน้อย ตอนที่เธอเห็นชื่ออันอีหานกับถังซั่วในตอนนั้น เธอแทบอยากจะหักถ้วยรางวัลนั้นออกเป็นสองส่วนเสียให้ได้
“ว้าว! สุดยอดไปเลย!” หน่วนหน่วนโน้มตัวไปข้างหน้า “แม่จ๋าชอบลุงถังซั่วไหมคะ?”
เด็กน้อย ลูกไม่ได้อยู่ฝั่งลุงจิ่งเป่ยเฉินหรอกเหรอ? ทำไมจู่ ๆ ย้ายฝั่งแบบนี้? เพราะรางวัลนี่เหรอ?
อันโหรวอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ขณะที่เธอส่ายหน้าอยู่นั้น เสียงของหยางหยางที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “แม่จ๋ามีคนกำลังตามเรามา”
เธอสอดส่องสายตาไปที่กระจกมองหลังรถ พวกเขาไม่ได้ขับมาด้วยความเร็ว ดังนั้นรถคันหลังที่ขับตามกันมาจึงขับอย่างช้า ๆ ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าเป็นรถคันไหน
“คันสีน้ำเงินเข้ม เขาตามมาหลังจากที่พวกเราเลี้ยวไปหลายรอบ” หยางหยางไม่ได้หันกลับไปมองรถคันข้างหลัง แต่มองไปที่อันโหรวอย่างบริสุทธิ์ใจ
เหงื่อที่เริ่มไหลออกมาจากฝ่ามือ ทำไมพวกเขาถึงได้ตามมา ใครกันที่ตามพวกเขา?
รถคันสีน้ำเงินเข้มห่างจากรถพวกเขาสองคันจึงมองไม่เห็นว่าคนขับนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ในใจของเธอกลับคิดว่าต้องเป็นจิ่งเป่ยเฉินแน่ ๆ
“หยางหยาง อย่าหันไปมอง ลูกทั้งสองนั่งลงดี ๆ” เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาตามพวกเธอได้ต่อไป อย่างมากก็แค่ไปกินข้าวมื้อเย็นในคืนนี้แล้วค่อยกลับบ้าน
หยางหยางรีบเอื้อมมือไปดึงหน่วนหน่วนลงมานั่งทันที ก่อนจะพูดปลอบด้วยเสียงเบา ๆ “ไม่เป็นไรนะหน่วนหน่วน แม่จ๋าแค่ขับรถเร็วขึ้นแค่นั้นเอง”
“หน่วนหน่วนไม่ต้องกลัวนะ มีแม่จ๋ากับพี่หยางหยางอยู่ ไม่ต้องกลัวนะ” เธอพูดเสียงหวานปนรอยยิ้ม มืออีกหนึ่งข้างก็ถือใบประกาศนียบัตรไว้แน่น
จิ่งเป่ยเฉินขับรถอย่างไม่เร่งรีบ แต่รถคันข้างหน้าจู่ ๆ กลับเร่งเครื่องอย่างกะทันหัน นี่คงไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีแน่นอน
อันโหรวขับไปตามสัญลักษณ์ตามทางและขับออกไปยังอีกเส้นทางด้วยความเร็ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก “มาดื่มกันหน่อยไหม”
จิ่งเป่ยเฉินมาถึงโรงแรมนั่วเทียนก่อนเวลา แต่เมื่อเขาเข้าไปในห้องรับรอง หมินลี่ก็อยู่ที่นั่นแล้ว
เขานั่งลงที่เก้าอี้ หมินลี่นั่งลงข้าง ๆ เขา “พี่เฉินช่วยแนะนำหน่อยสิ หลายปีที่ผ่านมานี้ถูกคุณป้าให้ไปนัดบอดและยังบังคับให้แต่งงานอีก นายต่อต้านด้วยวิธีไหนกัน?”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้จะดีกว่า” พอพูดถึงเรื่องนี้จิ่งเป่ยเฉินก็โกรธขึ้นมา การที่เขาตัดสินใจส่งคนไปสะกดรอยตามแอบดูหยางหยางแต่กลับไม่เห็น ทว่าขับตามไปดูด้วยตัวเองกลับถูกจับได้แบบนั้น
“นายไม่ได้วางแผนจะแต่งงานอยู่แล้วเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเพิกเฉยต่อเสียงของเขา หยิบขวดไวน์ขึ้นมาเพื่อรินไวน์ให้ตัวเอง
“เป็นแบบนั้นแหละ แต่อย่างว่านะ ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ชอบคู่ของฉันสักเท่าไร นายบอกว่าฉันต้องการเงิน ต้องการคนที่หน้าตาดี แต่ทำไมถึงไม่หาคนที่ตัวเองรักสักที การแต่งงานที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ในอนาคตฉันไม่อยากเห็นคนอื่นพูดว่าต้องพึ่งพาผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อร่วมธุรกิจ มันน่าขายหน้าชะมัด!” หมินลี่พูดด้วยน้ำเสียงโวยวาย ใบหน้าของเขามองไปยังจิ่งเป่ยเฉินหวังว่าเขาจะให้คำแนะนำได้
”งั้นก็ไปหาคนที่นายรักเถอะ“ ยังไงซะเขาเองก็ไม่อาจยอมรับการแต่งงานแบบนี้ได้
“ต้องแบบนี้สิ! ฉันรอนายพูดประโยคนี้ตั้งนาน ฉันจะกลับไปบอกที่บ้านว่าฉันต้องการเรียนกับพี่เฉิน!” หมินลี่อารมณ์ดีขึ้นมาทันที พร้อมกับรินไวน์ให้เขา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะวางแก้วไวน์ก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลของจิ่งเป่ยเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ฉันมีคนที่ฉันชอบ แล้วนายมีไหม?”
ทำไมถึงได้พูดคำพูดเจ็บแสบแบบนี้ หมายความว่ายังไง!
แต่คำพูดที่สร้างบาดแผลให้เขานี้กลับทำให้เขามองจิ่งเป่ยเฉินอย่างสงสัย “ใครเหรอ?”
“ใครกัน?” ประตูห้องรับรองถูกเปิดออก ถังซั่วและฉีเซิงเทียนทั้งสองคนกำลังเดินเข้ามา
คำพูดที่พูดขึ้นเมื่อครู่เป็นถังซั่วถามขึ้น
“พี่เฉินไง! เขาบอกว่ามีคนที่ชอบ” หมินลี่ตะโกนและชี้ไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ถังซั่วกำมือตัวเองอย่างใจเย็น คนที่เขาชอบไม่ใช่อันโหรวหรอกเหรอ?
“ฉันรู้ เลขาคนใหม่ของเขา อันอีหาน! คนที่พวกนายเห็น ผู้หญิงที่ดูแก่ดูน่าเกลียดคนนั้นไง ที่มีน้ำเสียงแหบ ๆ” ฉีเซิงเทียนลากเก้าอี้เข้ามานั่ง “พี่เฉิน วันนี้นายออกมาก่อนเวลานี่! ไหนบอกมาสิว่าไปทำอะไรมา?”
ถังซั่วนั่งลงข้างฉีเซิงเทียน คนที่จิ่งเป่ยเฉินชอบคืออันอีหานงั้นเหรอ?
เป็นไปได้ยังไง?
“นายเปลี่ยนเลขาคนใหม่แล้วเหรอ? นายจำได้หรือเปล่าว่าคนไหนคือเลขาของนาย?” หมินลี่เผยสีหน้าที่ดูกังวล เขาคิดว่าคืนนี้จะมีคนฟังเขาบ่น แต่กลับไม่คิดว่าข่าวซุบซิบในค่ำคืนนี้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
จิ่งเป่ยเฉินชำเลืองมองพวกเขา “นายคิดว่าไง?”
“แน่นอน ประธานจิ่งของพวกเรา พี่เฉินสังเกตเธอตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน! ไม่สนใจว่าคนอื่นจะแต่งงานแล้ว หนำซ้ำยังมีลูกแฝดอีก เขาเรียกความหลงใหลว่าความรัก พวกเราควรจะเรียนรู้ไว้!” เมื่อฉีเซิงเทียนพูดจบก็ดีดนิ้วเรียกบริกรให้เข้ามา
ลูกแฝด? แต่งงานแล้วงั้นเหรอ? อันอีหาน อันโหรว………
ในใจของถังซั่วดูเหมือนจะมีคำตอบบางอย่างในใจ วันนั้นที่ต้องลงชื่อเข้าร่วมเล่นกิจกรรมสองคนสามขา ตอนนั้นเขาถูกหยางหยางลากไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อน พอกลับมาเธอก็ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
เมื่อลงทะเบียนไปแล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เขาจึงพลาดโอกาสที่จะรู้ความจริง
เธอคงไม่ใช่คนเดียวกันหรอกใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม หยางหยางก็ดูเหมือนจิ่งเป่ยเฉิน เมื่อห้าปีก่อนพวกเขาก็ไม่เคยเห็นอันโหรว เคยติดต่อกันแค่ไม่กี่ครั้ง
ผู้หญิงคนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนอยู่อย่างห่าง ๆ แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่าอันโหรวมีแฟนแล้ว ไม่คิดเลยว่าจิ่งเป่ยเฉินจะชอบอันโหรว
หากไม่ใช่เขาที่คอยตามหาเธออยู่ตลอด พวกเขาคงไม่คิดว่าเขาชอบอันโหรว
“พี่เฉิน พรุ่งนี้ฉันขอเข้าไปดูบริษัทนายหน่อยได้ไหม? บรรยากาศโรแมนติกในที่ทำงานจะเป็นยังไงนะ” หมินลี่ถามอย่างไม่กลัวตาย
นายลองดูสิ แล้วนายจะรู้ วันนี้พวกเขาก็เพิ่งไปทำงานด้วยกันมา และก็เป็นแค่ประชุมเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ว่าจะรู้สึกยังไง
พรุ่งนี้งั้นเหรอ! ตั้งหน้าตั้งตารอเลย
“แค่ไปดูนายไม่จำเป็นต้องไปหรอก!” ฉีเซิงเทียนเตือนอย่างหวังดี ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมให้ไปดูผู้หญิงของตัวเองหรอก แม้สุดท้ายจะใช่หรือไม่ก็ตาม
แต่จะดีกว่าถ้าไม่ไปที่บริษัท ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวาย ไม่มีใครออกมาต้อนรับหรอก ถึงไม่ยุ่งก็ไม่ออกมาต้อนรับ
“เข้าใจแล้ว ๆ งั้นพวกเราก็มาฉลองอวยพรให้พี่เฉินที่นี่ก่อนแล้วกัน ขอให้ผู้หญิงที่รักกลับมาไว ๆ” หมินลี่เป็นผู้นำในการยกแก้วขึ้นเพื่อชน
ถังซั่วกำลังนั่งเหม่อลอย จิ่งเป่ยเฉินเองก็อยู่ในสภาพเดียวกัน เขาสงสัยว่าวันนี้อันอีหานจะรู้หรือเปล่าว่าเขานั้นแอบตามเธอไป
วันรุ่งขึ้น ที่ห้องทำงานของประธาน บริษัทสกุลจิ่ง
………………………………………….
ตอนที่ 152 ชงมาอีกหนึ่งถ้วย
อันโหรวชงชามาวางไว้บนโต๊ะทำงาน พร้อมจัดเรียงเอกสารบนโต๊ะอย่างดี โดยไม่ลืมรดน้ำต้นไม้ที่หน้าต่าง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็เดินหันหลังจะกลับออกไป
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านนอก ดวงตาสีดำเข้มของจิ่งเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังมองมาที่เธอ
เธอก้มศีรษะลงทันที พลางเขยิบตัวออกไปด้านข้าง “อรุณสวัสดิ์ประธานจิ่งค่ะ!”
จิ่งเป่ยเฉินหยุดที่ประตูหน้าห้องทำงาน ก่อนจะปิดประตูและเดินเข้าไปหาเธอทีละก้าว พลางพูดว่า “อันอีหาน คำพูดของคุณหมายถึงสวัสดีตอนเช้ากับผม? แต่ตอนเที่ยงและตอนเย็นไม่ดีงั้นเหรอ?”
ทำไมจู่ ๆ ถึงต่อปากต่อคำขึ้นมาเนี่ย?
“ประธานจิ่งดีทุกช่วงเวลาค่ะ” เธอยื่นมือออกมาทำท่าทางขอร้อง “ประธานจิ่งคะ ฉันมีงานอย่างอื่นต้องทำอีก ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร ขอตัวก่อนนะคะ”
“มีสิ” จิ่งเป่ยเฉินพูดและมองไปที่โต๊ะทำงาน
เขาเดินไปยังโต๊ะทำงานอย่างเงียบ ๆ และยืนนิ่งเป็นเวลานาน เธอยืนรอคำสั่งของเขา แต่เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเขากำลังดื่มชาอย่างสบายใจด้วยท่าทางที่ดูสง่างาม สีหน้าท่าทางและคำพูดก็เช่นกัน ล้วนแสดงออกถึงความสบายใจ
นิ้วเรียวยาวที่ถือถ้วยชาวางลงตรงหน้าเธอ “ชงมาอีกหนึ่งถ้วย”
“ค่ะ ประธานจิ่งรอสักครู่นะคะ” เธอรีบยื่นมือไปหยิบถ้วยชานั้นมาทันที นิ้วมือของเธอแตะไปโดนนิ้วของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลเข้าทั่วร่างกายของเธอ เธอตกใจผงะมือออกทันที
เธอเหลือบมองจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะรีบดึงถ้วยชาออกจากมือเขามาอย่างรวดเร็ว
จิ่งเป่ยเฉินมองเธอจากด้านหลังพลางยกยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย เป็นวันที่..ดีจริงๆ!
อันโหรวเรียนรู้มาจากหลินจือเซี๋ยว เธอรู้ว่าภาระหน้าที่ของเลขาไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เธอจินตนาการ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเห่อ ทำให้ช่วงนี้เธอดูยุ่งเป็นพิเศษ ยุ่งมากจนเธอเวียนหัวและอ่อนเพลีย
และบ่ายนี้เธอจะต้องไปรับหน่วนหน่วนและหยางหยางตอนเลิกเรียน งานที่ไม่เสร็จในตอนบ่ายจึงทำได้แค่ทำงานล่วงเวลา แค่ช่วงเวลา 1 เดือนนี้เท่านั้น หลินจือเซี๋ยวกลับมาทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นปกติแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา อันโหรวก็ปรับตัวกับการทำงานกับจิ่งเป่ยเฉินได้อย่างเต็มรูปแบบ เวลาที่เขาดูสบายใจดูไม่ใช่มนุษย์ เวลาทำงานขึ้นมายิ่งดูไม่ใช่เช่นกัน
วันนี้เธอยืดเส้นยืดสาย หวังจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอก็รีบสวมบทบาทเลขาของจิ่งเป่ยเฉินทันที เธอยิ้มพลางรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ ห้องทำงานของประธานจิ่ง ต้องการคุยประธานจิ่งเรื่องอะไรคะ?”
อีกฝ่ายอึ้งไปเล็กน้อย ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ กลับมา อันโหรวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เห็น ๆ อยู่ว่ามีคนโทรมา!
เธอถามกลับอย่างไม่ละความพยายาม “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่า…..”
ซูรั่วหยาที่กำลังถือโทรศัพท์ได้ยินเสียงที่แหบแห้งของอันโหรวก็ตอบกลับมาว่า “นี่คุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
พออันโหรวได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ตอบกลับไป?
จะกังวลไปทำไมกัน?
“ขอโทษด้วยนะคะ นี่ไม่ใช่เรื่องงาน ไม่สามารถตอบคำถามนี้กับคุณได้” ถึงแม้จะเป็นผู้หญิง น้ำเสียงที่พูดก็ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ เธอจึงใช้สรรพนามว่า ‘คุณ’ แทน
“ฉันโทรมาหาลูกเฉิน! เธอโอนสายไปหาเขาเดี๋ยวนี้” ซูรั่วหยาพยายามสงบสติอารมณ์ แต่เธอก็ไม่สามารถใจเย็นลงได้
น้ำเสียงนั้นฟังดูแล้วเหมือนกับผู้ชาย เธอจำได้ว่าเลขาของจิ่งเป่ยเฉินเป็นผู้หญิง ทำไมถึงได้กลายเป็นผู้ชายไปได้?
ต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่นอน!
ลูกเฉิน? อันโหรวลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะตะโกนเข้าไปห้องทำงานด้านใน “ประธานจิ่ง คุณนายจิ่งโทรศัพท์มา รับโทรศัพท์หรือไม่คะ?”
“อืม”
เธอรีบโอนสายซูรั่วหยาไปยังห้องทำงานของเขาทันที ก่อนจะสวมวิญญาณภูตร้ายสิงเข้าร่างทันที เธอไม่ได้วางสายโทรศัพท์นั้นลง แต่เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ
“เฉินเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเลขาของลูก! เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่” หากซูรั่วหยาไม่ได้ถามด้วยตัวเองละก็ เธอคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ไม่มีวันไหนที่เธอไม่กลัว
“ผู้หญิง”
“ผู้หญิงงั้นเหรอ…..” ซูรั่วหยายังรู้สึกไม่เชื่อใจ “ใช่เลขาคนเดิมหรือเปล่า? เธอเจ็บคออยู่หรอกเหรอ?”
น้ำเสียงที่ไม่นิ่งเรียบของจิ่งเป่ยเฉินเอ่ยขึ้น “ถ้าแม่จะโทรมาเรื่องเดิม ผมวางนะ”
อันโหรวเบ้ปากเล็กน้อย ไม่มีมารยาทเลย หยาบคายกับแม่แบบนี้ได้ยังไงกัน?
จิ่งเป่ยเฉินนายนี่มันเหลือเกินจริง ๆ!
“เปล่า วันนี้มีเวลาว่างไหม? แม่นัดหมอเอาไว้ให้ ไปดูหน่อยเถอะ!” ซูรั่วหยาไม่กล้าบอกเขาตรง ๆ ว่าหมอที่นัดเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเพศชายโดยเฉพาะ
หมองั้นเหรอ? จิ่งเป่ยเฉินป่วยเหรอ? เป็นโรคอะไร?
เป็นครั้งแรกที่อันโหรวรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม?
“คืออะไร?” จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ในที่สุดเขาก็ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าและเหลือบมองถ้วยชา “เลขาอัน รินชาที”
อันโหรววางสายโทรศัพท์อย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านในห้องทำงานของเขา
ทันทีที่เธอเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงาน จิ่งเป่ยเฉินที่ถือโทรศัพท์อยู่มองเธอพลางหัวเราะ “มุมกำแพงตรงนั้นฟังถนัดดีไหม?”
เธอเพิ่งรู้ว่าโทรศัพท์ของจิ่งเป่ยเฉินมีจอแสดงผล เขารู้ว่าเธอแอบฟังเขาอยู่?
“ฉันไปชงชาให้ค่ะ” เธอหยิบถ้วยชาแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเมื่อครู่
จิ่งเป่ยเฉินมองแผ่นหลังของเธอที่เดินออกไปและคลายมือออก ไม่รู้ว่าซูรั่วหยาพูดไปถึงไหนแล้ว สุดท้ายก็คือกำชับให้เขาไปโรงพยาบาล ไปหาคนที่นัดไว้
ไม่เพียงแต่อันโหรวงุนงงและสับสน จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่รู้ว่าที่ซูรั่วหยาพูดนั้นหมายความว่ายังไง
หลังจากที่ฟังมาสักพัก เขาหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนจะพูดขึ้นว่า “แม่ครับ เหมือนผมไม่เคยบอกว่าผมไม่สบายนะ”
“ผมสบายดี ทำไมต้องไปโรงพยาบาล?”
อันโหรวที่เดินมาได้ยินประโยคนี้เข้า หมายความว่ายังไงที่เขาไม่สบาย หรือตอนที่เขาไม่สบายก็ไม่บอกคนอื่น อดทนอยู่เงียบ ๆ แบบนั้นเหรอ?
เธอวางถ้วยชาลงด้วยมือสองข้างอย่างเหมาะสม สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้าบึ้งตึงของเขา คิดว่าเขาคงไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร!
ดูแล้วเขาก็ไม่เหมือนคนป่วยหนักสักเท่าไร เต็มไปด้วยพลัง ท่าทางก็ดูกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวา
“ไม่ไป ผมไม่ว่าง” จิ่งเป่ยเฉินวางสายโทรศัพท์ ก่อนจะเงยหน้ามองอันโหรวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชา พลางถามอย่างเบา ๆ ว่า “งานคุณไม่ยุ่งเหรอ?”
“ยุ่งมากค่ะ!” เธอรีบหันหลังกลับและเดินออกไป แต่หลังจากที่เธอเดินไปได้สองก้าว เธอก็ถอยกลับมาอีกครั้ง
จิ่งเป่ยเฉินถือถ้วยชาและค่อย ๆ เป่าควันร้อนจากชา ควันที่ลอยขึ้นมาจาง ๆ ทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าของเขาเบลอและขมุกขมัว มองคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด
เหมือนว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่ใบหน้าของอันอีหาน แต่เป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์และรอยยิ้มที่สวยงามของอันโหรว
ถ้วยชาที่ยกขึ้นมาร้อนลวกมือของเขา เขาจึงถือโอกาสวางถ้วยชาลง และมองไปที่เธอ “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้ เป็นใบ้หรือยังไง?”
ให้ตายเถอะ เป็นห่วงเขาก็ผิดด้วยเหรอ?
“ประธานจิ่งคะ สุภาษิตเขาว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณรู้สึกร่างกายไม่สบายก็รีบไปหาหมอเถอะค่ะ!” เธอแนะนำเขาด้วยเสียงเบา ๆ
จากที่ได้ยินที่เขาตอบกลับเมื่อครู่ เหมือนว่าเขาไม่อยากไปโรงพยาบาล แม้ว่าเธอจะไม่ชอบ แต่หากป่วยแล้วก็ต้องไป
“นี่คุณเป็นห่วงผมอย่างนั้นเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกพอใจที่ได้ฟังคำพูดของอันโหรว มุมปากของเขาที่โค้งในตอนแรก ตอนนี้กลับยิ้มอย่างสวยงาม แสดงถึงความอารมณ์ดีของเขา
Comments for chapter "ตอนที่ 151 ใบประกาศนียบัตร + ตอนที่ 152 ชงมาอีกหนึ่งถ้วย"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Hunnea!
นางเอกคือหลายรอบละ ไล่พระเอกออกไปห่างๆ แต่ก็ชอบไปถามไถ่ แสดงความเป็นห่วงเป็นใย มันเหมือนให้ความหวังอ่ะ เรื่องแบบนี้ใช้ข้ออ้างว่าพระเอกเป็นเจ้านาย หรือเพราะนางเอกยังมีจิตสำนึกอยู่ไม่ได้นะ คนเราถ้าไม่ได้ชอบจะสนใจเรื่องของเขาขนาดนั้นเลยหรอ หรือเราเย็นชาไป ถ้าเป็นเราคือไม่ถามแน่ๆ เรื่องของใครของมัน ต่างคนต่างอยู่