อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 157 สิบนิ้วต่อหัวใจ + ตอนที่ 158 ปลอมตัว
ตอนที่ 157 สิบนิ้วต่อหัวใจ
“คุณเคยได้ยินคำนี้มาก่อนไหม สิบนิ้วต่อหัวใจ[1]? แขนยิ่งไม่ต้องพูดถึง” เขาเอนหลังและถอยไปเล็กน้อยให้ห่างจากโต๊ะทำงาน ก่อนจะพูดว่า “ป้อนผมหน่อยสิ”
“นี่…..คุณ?” เธอขยับแว่นตากรอบดำบนจมูกของเธออย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตา
“คุณเป็นเลขาของผม นี่เป็นหน้าที่ของคุณ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผมบาดเจ็บหรอก” เขายกมือซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บและแขนของเขาก็พันด้วยผ้าพันแผลขึ้นมา
อันโหรวค่อย ๆ ขยับเท้าเข้ามา เธอเชื่อว่าจิ่งเป่ยเฉินสามารถกินข้าวด้วยมือข้างเดียวได้ แต่ตอนนี้เขาทำแบบนี้คงจงใจอย่างแน่นอน
ทำยังไงดี คิดจะสารภาพกับเขาตรง ๆ หรือจะดูแลเขาแบบฝืนทนไปก่อน แต่ต้องไม่ใช่การป้อนข้าวและดูแลเขาแบบนี้แน่ ๆ
เธออดทนเพื่อสถานการณ์ตรงหน้า เธอต้องอดทนและทำได้แค่ฝืนป้อนอาหารเขาไป ก่อนจะมองไปที่หน้าของเขาที่คล้ายกับหยางหยาง และคิดว่าตัวเองกำลังป้อนข้าวหยางหยางอยู่
เมื่อคิดแบบนี้ก็ค่อนข้างรู้สึกสบายใจขึ้นมา ใบหน้าที่ซีดเซียวค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้น เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาและป้อนอาหารให้กับเขา
จิ่งเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะยอมประนีประนอมเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นไม่ว่ายังไงเขาก็รู้ว่าเธอไม่มีทางยอมป้อนข้าวให้เขาแบบนี้แน่ ๆ
ดูท่าการบาดเจ็บครั้งนี้มันจะคุ้มค่าจริง ๆ ถึงแม้จะไล่ฉีเซิงเทียนไปไม่ได้ แต่ถ้าหากเขายังพูดจาไร้สาระกับแม่ของเขาอีกครั้งละก็ คงได้เห็นดีกันแน่
ที่เขาไม่แต่งงานก็เพราะว่ามีเหตุผล ซึ่งฉีเซิงเทียนก็ปล่อยเหตุผลมั่ว ๆ ไป
อันโหรวเห็นว่าจิ่งเป่ยเฉินให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในตอนป้อนข้าว แต่ดวงตาของเขาที่จับจ้องมาที่ตัวเธอ มองกี่ครั้งก็รู้สึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้จะรู้ว่าตลอดมาเขาชอบมองตาเธอ แต่พวกเขาก็ไม่เคยอยู่ใกล้ชิดแบบนี้มานานสักพักแล้ว จิ่งเป่ยเฉินกินข้าวอย่างมีความสุข ส่วนอันโหรวกลับอยากให้มันจบลงเร็ว ๆ
ทุกครั้งที่่เขามองตาเธอ เธอจะรู้สึกเสียใจทีหลังทุกครั้ง เพราะอย่างน้อยก็ควรสวมคอนแทกเลนส์เพื่อที่จะได้เปลี่ยนสีดวงตา เขาจะได้ไม่มองมันเหมือนตอนนี้
เมื่อกินข้าวเสร็จ เธอก็หยิบทิชชูมาให้ และรอจิ่งเป่ยเฉินเช็ดปากของเขาให้เรียบร้อย เขาเหลือบมองอันโหรวราวกับว่าไม่สามารถจับตะเกียบได้ และก็ไม่มีแรงจะเช็ดปากของตัวเองด้วย
เธอจำเป็นต้องอดทนต่อไป
มือที่ถือทิชชูสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเช็ดปัดมุมปากให้เขาและโยนทิชชูลงถังขยะ พลางพูดว่า “ประธานจิ่งคะ ฉันเตรียมยาไว้ให้คุณแล้ว”
“ผมจำได้ว่าผมเพิ่งกินยาไป อย่างน้อยก็ต้องสี่ชั่วโมงให้หลังถึงจะกินอีกเม็ด ไว้สี่ชั่วโมงต่อมาค่อยกินก็ได้” จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างสบาย ๆ ทันทีที่เธอหันหลังกลับ เขาก็เปิดปากพูดขึ้นอีกว่า “ตอนนั้นที่ผมถามคุณ คุณคิดว่ายังไง?”
“คำถามอะไรเหรอคะ?” เธอมองเขาในขณะที่ถือกล่องอาหารกลางวันที่เหลืออยู่ ก่อนในหัวจะคิดถึงคำถามของเขาในวันนี้
หย่าเมื่อไหร่? นั่นเหรอคำถาม? เธอไม่ตอบคำถามนี้ได้หรือเปล่า?
คิ้วที่เหมือนดาบอันหล่อเหลาของเขายกขึ้น ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอและพูดว่า “คนรักลับ ๆ ของคุณเตรียมพร้อมเอกสารแล้ว”
“เกรงว่าคงไม่มีโอกาสนั้นหรอกค่ะ!” เธอตอบโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ายอมรับว่าพวกเราเป็นคนรักกันแล้วนะ” จิ่งเป่ยเฉินเผยดวงตาที่สว่าง ทันใดนั้นบรรยากาศของวันนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองที่บาดเจ็บท่าจะเป็นเรื่องดีเสียแล้ว
“ฉัน….ฉันบอกตอนไหนว่ายอมรับเหรอคะ ประธานจิ่งคุณคงเข้าใจผิดแล้ว” ต่อให้เขาเป็นเจ้านายหรือว่าอะไรก็ตาม ถ้าหากเขาพูดแบบนี้มันก็เหมือนกับปิดหนทางไปหมด
“เมื่อกี้”
“ประธานจิ่งคุณรู้ไหมคะ? ไม่กี่วันก่อนฉันรู้สึกเจ็บหัวใจเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เห็นคุณ ฉันก็คิดคำขอโทษกับการที่ทำกับสามีแบบนี้ แม้ว่าเวลาอยู่ที่ทำงานฉันจะทำงานหรืออะไรก็ตาม พวกเราก็ควรปฏิบัติตนให้เหมือนกับว่าเรื่องราวในวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ดีไหมคะ?” เธอมองเขาด้วยท่าทีที่เจ็บปวดและคาดหวัง
เมื่อมองเธอที่ป้อนอาหารกลางวันให้ แค่นี้ก็ควรปล่อยเธอไปได้หรือเปล่า?
เขาทำท่าเหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอ ก่อนจะเผยรอยยิ้มขึ้นมา “ที่แท้ไม่กี่วันก่อนคุณก็มีความรักนี่เอง”
“ประธานจิ่งคุณเข้าใจอะไรได้สุดยอดจริง ๆ ลูกน้องของคุณขอยอมรับเลย” เธอตัดสินว่าควรออกไปดีกว่านั่งเถียงกับเขา “ฉันยังไม่กินข้าว ประธานจิ่งถ้าหากคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว”
“ผมจำได้เมื่อครู่นี้เอ่ยถามคำถามกับคุณไปนะ” หลังจากพูดจบ เขาก็มองดูเธอที่กำลังจะออกจากห้องทำงานไป
เธอหันหลังกลับและออกไปทันที ทันทีที่ออกมาจากห้อง สายตาของเธอก็เหลือบมองไปยังห้องทำงาน ความรักบ้าบออะไรนั่น จริง ๆ เลย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะใบหน้าซีดเซียวของเธอ เธอก็คงทาบลัชออนลงบนใบหน้าของเธอแล้ว
สี่ชั่วโมงให้หลัง เธอก็หยิบยาออกมา ก่อนจะถือน้ำและเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขาอีกครั้ง แวบแรกที่เห็นมือขวาของเขาที่พลิกดูเอกสารไปมาอยู่นั้น เธอก็ฉุกคิดเรื่องเมื่อกลางวันว่าเขาทำท่าอ่อนแอแบบนั้นได้ยังไงกันนะ?
“ประธานจิ่ง ถึงเวลาที่คุณต้องกินยาแล้ว” เธอวางแก้วน้ำลง ก่อนจะกางฝ่ามือออกไปให้เขา
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เขาทำแค่กางมือขวาออกมา และรู้สึกว่ามีเม็ดยาตกลงบนฝ่ามือของเขา ก่อนที่เขาจะกำมันแน่นและโยนมันเข้าปาก จากมุมสายตาของเขาตอนนี้เห็นแค่ตำแหน่งของแก้วน้ำ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบมาดื่มและนั่งดูเอกสารตรงหน้าของเขาต่อไป
อันโหรวไม่ได้ชักช้าอะไร เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็รีบออกไปทันที เพราะตอนนี้ดูเหมือนเขาน่าจะยุ่งกับงานอยู่
มันจะดีมากเลยถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ทุกครั้ง จิ่งเป่ยเฉินจะทำท่าไม่สนใจตัวเธอแบบนี้
……
ฉีเซิงเทียนคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทีที่ร้อนรน “โอเค โอเค โอเค ผมรู้แล้ว ผมไปก็ได้!”
เสียงวางสายโทรศัพท์ดังลั่นขึ้น หากเห็นด้วยตาละก็ เขาคงอยากจะถอดมันออกมาเป็นชิ้น ๆ
การแก้แค้นของจิ่งเป่ยเฉินเกิดขึ้นรวดเร็วมาก กลายเป็นจิ่งเป่ยเฉินบอกแม่ของเขาว่าเขาอยากแต่งงานเสียแล้ว
เขาไม่ได้อยากแต่งงานเสียหน่อย!
แน่นอนว่าจิ่งเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ไม่อาจยั่วยุได้ มันเหมือนกับว่าตัวเขากำลังถอนขนอยู่บนหัวเสือ และเป็นตัวเองที่เสยผมอะไรอย่างนั้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่หลายครั้ง เขาจึงจำต้องเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “เข้ามา”
“มีธุระอะไร?” ฉีเซิงเทียนมองไปยังอันโหรวที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจ
“ผู้จัดการฉีดูโกรธมากเลยนะคะ มีใครทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองหรือเปล่า?” เธอเดินเข้ามาพร้อมกับถุงยาในมือ
“จะมีใครได้อีก?“ นอกจากจิ่งเป่ยเฉินก็ไม่มีใครแล้ว
“ประธานจิ่งเป็นคนป่วย เป็นเรื่องปกติที่จะมีอารมณ์ร้าย” ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเขาอารมณ์ร้ายเมื่อไหร่ก็ใช่ว่าจะหายง่าย ๆ เพราะงั้นเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก
“ว่าแต่นี่มันยาของเขาเหรอ? เธอเอายามาให้ฉันทำไมกัน?” ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังถุงยาที่อยู่ในมือของเธอ ก็ยิ่งรู้สึกงุนงงเข้าไปใหญ่
“คือแบบนี้ค่ะ ประธานจิ่งดูเหมือนจะยุ่งมาก ส่วนฉันต้องไปรับลูกของฉันที่โรงเรียนแล้ว คงไม่อาจเข้าไปรบกวนเขาได้ เพราะงั้นยาพวกนี้คงต้องฝากคุณให้เขา และบอกให้เขาอย่าลืมกินยานะคะ” อันโหรววางยาไว้ที่โต๊ะทำงานของเขาและบอกว่า “ขอตัวก่อนนะคะ!!”
“เดี๋ยวก่อน ถ้าผมช่วยคุณแล้ว ผมจะได้อะไรจากการช่วยนี้?” เมื่อฉีเซิงเทียนได้ยินว่าเธอจะไปรับลูก ดวงตาของเขาก็พลันวูบไหว เหมือนกับว่าจะโยนภาระมาให้เขาจัดการอยู่ตรงหน้ายังงั้นแหละ?
ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ยาพวกนี้เลยด้วยซ้ำ เขาคิด
“ผู้จัดการฉีคุณคิดจะให้ฉันทำอะไรคะ?” อันที่จริงเธอก็คิดไม่ว่าออกว่าถ้าเขาช่วยแล้วเขาจะได้อะไร ถ้าหากเรื่องงานละก็ มันคงจะจัดการได้ง่ายกว่านี้
“ลูกเธอให้ฉันไปรับก็ได้ โอเคหรือเปล่า พอดีคืนนี้ฉันต้องไปนัดบอด และฉันก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้ด้วย ช่วยให้ลูกของเธอเรียกฉันว่าพ่อสักคำก็ได้ ช่วยแค่นี้ได้ไหม? ไม่อย่างนั้นฉันจะสลัดหลุดได้ยังไง ส่วนเรื่องพี่เฉินอะไรนั่นต่อให้เธอรบกวนอะไรละก็ ฉันจะไม่ปฏิเสธเลยจริง ๆ นะ” เมื่อเธอก็ได้ยินเขาพูดก็แอบถอนหายใจ พลางคิดว่าควรตอบรับเขาดีไหม
“ผู้จัดการฉีอัจฉริยะจริง ๆ นะคะ ถึงคิดวิธีพวกนี้ออกมาได้ ทำไมคุณไม่ไปหาผู้หญิงสักคน ถ้าหากใช้ลูกแอบอ้าง ถ้าเกิดพ่อแม่คุณได้ยินเข้า คุณจะเอาเด็กพวกนั้นกลับไปไหว้บรรพบุรุษเหรอคะ? เอาเป็นผู้หญิงคนอื่นจะสะดวกกว่าหรือเปล่า” เธอไม่ต้องการให้หยางหยางและหน่วนหน่วนได้พบกับฉีเซิงเทียนจริง ๆ
ส่วนเรื่องถังซั่วนั้นไม่ต้องพูดเธอก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าหากเป็นฉีเซิงเทียนที่อยู่ใกล้ชิดกับจิ่งเป่ยเฉินก็ว่าไปอย่าง เรื่องสกุลฉีที่เป็นผู้ช่วยของบริษัทจิ่งมาโดยตลอด เขาคงไม่มีทางปิดซ่อนมันจากจิ่งเป่ยเฉินอย่างแน่นอน
[1] สิบนิ้วต่อหัวใจ หมายถึง ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
……………………..
ตอนที่ 158 ปลอมตัว
“ที่คุณพูดมาก็พอมีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่นะ แต่ผมจะไปหาผู้หญิงที่ไหนตอนนี้กัน?” ฉีเซิงเทียนหยิบถุงยาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ก่อนจะมองและทำท่าครุ่นคิด
ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นไกล ๆ หู เขาเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นอันโหรวกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“กลับมานี่!” ฉีเซิงเทียนกวักมือเรียกเธอ “เร็วเข้า!”
“ผู้จัดการฉีมีอะไรจะสั่งอีกเหรอคะ?” อันโหรวมองเขาอย่างงงงวย แต่ฝีเท้าไม่ได้ขยับเดินไปหาเขา เพราะมีลางสังหรณ์แปลก ๆ ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ทำให้ใจของเธอนั้นโหวงเหวงเป็นพิเศษ
คนคนนี้คงไม่ใช่ว่าจะให้เธอปลอมตัวไปหรอกนะ? เธอต้องการมีชีวิตอยู่ยาวอีกหน่อยนะ!
“สามีคุณอยู่ต่างประเทศสินะ! งั้นก็ไม่มีทางที่จะจับได้แน่! คุณมากับผมหน่อยละกัน! หลังจากนี้ผมจะช่วยพูดเรื่องคุณแบบดี ๆ ต่อหน้าประธานจิ่ง ให้เขาเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้เลย” ฉีเซิงเทียนสบตาเธอพลางทำท่าทางหล่อเหลานิดหน่อย
แต่ถ้าหากเธอตายก็คงใช่ว่าจะเห็นด้วย
“ผู้จัดการฉี ฉันคิดว่าพนักงานหญิงในบริษัทของเรามีตั้งเยอะแยะที่จะยอมช่วยคุณ ฉันต้องไปรับลูกแล้ว คงไม่ว่างไปช่วยคุณแน่ ๆ!” เมื่อพูดจบเธอก็ยิ้มและหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของเขาไป
ถ้าหากเป็นเพื่อนกับจิ่งเป่ยเฉินยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรคลุกคลีหรือเข้าไปยุ่ง เพราะดูเหมือนว่าหลังจากนี้ฉีเซิงเทียนคงจับตามองแน่ ๆ เธอจะไม่ยอมให้เขาคิดถึงเรื่องลูกของเธอเป็นอันขาด
“ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดก้าวหน้าเลยจริง ๆ เลื่อนตำแหน่งพร้อมกับเลื่อนเงินเดือนก็ไม่เอา” ฉีเซิงเทียนมองยาในมือแล้วคิ้วขมวดขึ้น ต่อไปคงไม่กล้าพูดจามั่ว ๆ กับคุณป้าจิ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ถูกจิ่งเป่ยเฉินเอามีดแทงจริง ๆ แน่
ช่างเถอะ จิ่งเป่ยเฉินผู้มีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องนัดบอดหญิงเยอะแบบนั้น อย่างน้อยเขาก็ควรไปถามความเห็นจากเขาถึงจะดีที่สุด
ฉีเซิงเทียนนั่งในห้องทำงานสักพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองไปยังนาฬิกา เป็นเวลาสี่โมงห้าสิบนาทีแล้ว เขาถือถุงยาในมือก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน
เมื่อผลักประตูเข้าห้องไปก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ทำท่าทางจริงจังอย่างมาก
“ดูท่าจะเจอปัญหาที่ยากลำบากแล้วสินะ?” ฉีเซิงเทียนนั่งลงตรงข้ามกับเขา ก่อนจะวางยาเหล่านั้นไว้ที่มือของเขา
จิ่งเป่ยเฉินเหลือบสายตามองไปยังยาพวกนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาแวบหนึ่งและพูดว่า “อันอีหานไปแล้วเหรอ?”
“ไม่ไปแล้วจะให้ฉันมาได้ไงเล่า?” ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าเขาและพูดว่า “พี่เฉิน ผมที่ดูแลพี่แบบนี้ วันนี้น้องชายต้องไปนัดบอด ช่วยบอกผมหน่อยเถอะว่าจะปฏิเสธยังไงดี”
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้ได้ยังไง พี่ผ่านศึกแบบนี้มาตั้งหลายร้อยรอบ ทำไมจะไม่รู้?” ฉีเซิงเทียนย้ายเอกสารตรงหน้าของเขาออกไปและพูดว่า “ผมผิดไปแล้ว พี่เฉินพี่ช่วยผมหน่อยเถอะนะ นะ นะ”
“ฉันยังไม่เคยไปสักครั้ง จะรู้ได้ยังไง?” เขาเผยใบหน้าที่สงบ ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่คนตรงหน้า
ฉีเซิงเทียนย้ายเอกสารที่เพิ่งถูกย้ายไปกลับมาวางที่เดิมตรงหน้าเขาอีกครั้ง
ภายในห้องทำงานเต็มไปด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ คิ้วทั้งสองข้างของฉีเซิงเทียนก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน “แม้ว่าผมจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่ผมก็ไม่คิดเรื่องแต่งงานหรือกลับบ้านเลยสักครั้ง! ผมไม่ได้เป็นพวกไม้ป่าเดียวกันด้วย!”
“อา…” จิ่งเป่ยเฉินเค้นเสียงอย่างเย็นชาโดยไม่คิดตอบเป็นคำพูด
“พี่เฉิน อย่าเป็นแบบนี้สิ ผมเครียดนะ” เขาได้รับบทลงโทษแล้ว สายตาแบบนี้มองยังไงก็ต้องให้เขาไปนัดบอดแน่ ๆ ซึ่งนั่นมันจะวุ่นวายสำหรับตัวเขาจริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้สนใจตัวเขาเท่าไร ขณะที่มือก็แตะไปยังแป้นพิมพ์อยู่ตลอดเวลา ดวงตาสีดำของเขาจ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ฉีเซิงเทียนที่นั่งนิ่ง ๆ เป็นเวลานานอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น เหลือบมองไปดูว่ามีอะไรอยู่บนหน้าจอกันแน่
“เค้กวันเกิด? วันเกิดใคร?” ฉีเซิงเทียนถามอย่างงุนงงกับจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะค่อย ๆ ดูตามภาพที่จิ่งเป่ยเฉินเลื่อนไปมา
“วันชาติจีน”
“อะไรนะ?” ฉีเซิงเทียนเริ่มสงสัยอย่างจริงจังว่าเขาฟังผิดไปหรือเปล่า กระทั่งเหลือบไปเห็นเวลาที่แสดงบนคอมพิวเตอร์โดยบังเอิญ วันนี้เป็นวันที่ 27 กันยายน ไม่ใช่วันชาติจีนถูกจัดขึ้นวันที่ 1 เดือนตุลาคมหรอกเหรอ?
ดูเหมือนสมเหตุสมผลนะ
“พี่เฉิน พี่ไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้างเลยเหรอ?” ตั้งแต่ตอนไหนกันที่เขาคิดจะจัดฉลองวันชาติจีนแบบนี้ ปกติเขามักจะเบื่อและไม่สนใจมันด้วยซ้ำ
เมื่อเขาเอ่ยถาม หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นรูปภาพดอกไม้นานาชนิด ก่อนที่ครั้งนี้จะมองมันจริงจังมากขึ้น
“เลือกดอกไม้พี่ต้องถามผมแล้ว! ดอกกุหลาบเป็นเซนติโฟเลีย เป็นดอกกุหลาบที่ขึ้นชื่อ เป็นของชั้นดีที่เหมาะสมกับการมอบให้ในวันชาติจีน กุหลาบชนิดนี้เหมาะสมและตรงกับบุคลิกของพี่เฉินมาก!” ฉีเซิงเทียนเอ่ยอย่างมีความสุข
แต่เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินค้นหาแบบนั้น เขาก็รู้ได้ว่าวันชาติจีนอะไรนั่นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น
สงสัยคงเป็นวันเกิดของผู้หญิงคนไหนสักคนแน่ ๆ!
หรือว่าจะเป็นอันอีหาน? ถ้าหากเป็นเธอจริง ๆ คงสนุกน่าดู!
“สรุปจะไปนัดบอดหรือเปล่า?” จิ่งเป่ยเฉินในที่สุดก็ตอบเขากลับ
“ผมไม่อยากไป ผมมีผู้หญิงมากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมถ้าหากต้องพาพวกเธอไปที่แบบนั้น สู้ไม่ไปดีกว่า” ฉีเซิงเทียนไม่เคยหวาดกลัว ที่เขาคิดจะไม่สืบทอดธุรกิจต่อจากครอบครัว แต่กลับต้องมาสนใจงานนัดบอดเหล่านี้
“เพียงแต่ว่าแอบตลกอยู่หน่อย ๆ นะ แต่เดิมทีฉันไม่คิดว่าจะถูกคนในบ้านสั่งให้ไปนัดบอดแบบนี้ พี่เองก็โดนแบบนี้มาเหมือนกัน พวกเราสี่พี่น้องนี่สมกับเป็นพี่น้องกันจริง ๆ เอะอะก็ถูกจับให้ไปแต่งงาน พี่เฉินพี่คิดว่าในหมู่พวกเราใครจะแต่งงานก่อนกัน?” ฉีเซิงเทียนรู้สึกสดชื่นมากขึ้น เพราะว่าตัวเองจะไม่ไปนัดบอดแล้ว
อารมณ์แบบถ้าจิ่งเป่ยเฉินไม่โกรธเขาแล้ว เช่นนี้น้ำเสียงของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นปกติ
จิ่งเป่ยเฉินพ่นออกมาคำเดียว คำสั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า “ฉัน”
“พี่เฉินอย่ามาทำให้ผมตกใจเลย พี่แต่งงานก่อนคงไม่แปลก แต่ใครกันจะแต่งงานกับพี่?” เขาคงไม่ได้คิดจะแต่งงานกับอันอีหานหรอกนะ?
ไม่ต้องพูดเรื่องหน้าตาของเธอเลย แถมยังมีลูกสองคนแบบนี้ คิดจะให้ประธานบริษัทจิ่งกลายเป็นพ่อเลี้ยงเหรอ พอคิดดูแล้วเรื่องนี้มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อ ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรเลย
“พี่กับอันอีหานเล่นสนุกกันได้ แต่อย่าคิดจริงจังเชียว! ต่อให้ป้าจิ่งคิดอยากกอดหลานก็เถอะ แต่คงไม่คิดอยากจะเอาหลานของคนอื่นมากอดมาอุ้มหรอก!” เพราะว่าป้าจิ่งคิดอยากจะอุ้มหลานจริง ๆ หลานแท้ ๆ ของเธอต่างหาก
ฉีเซิงเทียนมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้นิ่งเงียบไป เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา แม้ในใจจะขอบคุณอันอีหานที่ช่วยปลดทุกข์ของเขาไปอยู่บ้างก็ตาม แต่ดูเหมือนครั้งนี้คำพูดของเขาจะรุนแรงไปหน่อยแล้ว!
จิ่งเป่ยเฉินค่อย ๆ เอนหลัง ก่อนจะมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “เดิมพันกัน”
“เดิมพันอะไร?” ฉีเซิงเทียนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาคิดจะแต่งงานกับอันอีหานจริง ๆ ต่อให้เขาเห็นด้วย แต่เป็นไปไม่ได้แน่ที่อันอีหานจะเห็นด้วย
และยิ่งไปกว่านั้น พ่อแม่พี่เฉินเองก็คงไม่เห็นด้วยแน่ ๆ ยิ่งคุณป้าจิ่งนะไม่มีทางยอมรับแน่นอน ต่อให้เธอคิดอยากจะอุ้มหลานมากแค่ไหน แต่อันอีหานให้กำเนิดลูกมาถึงสองคนแบบนี้ ไม่มีทางที่จะยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่มีทางแน่ ๆ
แต่ความจริงขอแค่พวกเขามีความสุข เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่อันอีหานจะอยู่กับเขาได้จริง ๆ เหรอ?
“นายมีปัญหาอะไรกันแน่?” จิ่งเป่ยเฉินถามอย่างเกียจคร้าน
“พี่เฉิน พี่คิดผิดแล้วนะ” ต่อให้เขาจะเหมือนกับจิ่งเป่ยเฉินในบางมุม แต่เดิมพันอะไรนั่นมันคืออะไรกันแน่!
“กลับบ้านไปรับช่วงต่อสกุลฉี?” จิ่งเป่ยเฉินเมินเฉยต่อคำพูดของเขา ก่อนจะพูดอย่างไม่แยแส
ฉีเซิงเทียนถึงกับผงะและโบกมืออย่างไม่แยแส “ไม่เดิมพัน! ไม่เอา!”
“นายไม่กล้า?” น้ำเสียงที่มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมถูกเอ่ยออกมา