อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 223 มีลูกกัน
ตอนที่ 223 มีลูกกัน
“อันที่จริงฉันก็คิดอยากจะมีลูกคนสองอยู่พอดี” เขาอุ้มเธอพลิกมาอีกด้าน ก่อนจะทำให้เธอนั้นสามารถเคลื่อนตัวได้ง่าย ๆ
เธอค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เริ่มรู้สึกอดไม่ไหวคล้ายกับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ อยากจะฉีกเม็ดกระดุมพวกนี้ทิ้ง ถ้าหากไม่ได้ไปต่อละก็ คงต้องบอกได้เลยว่าความสวยคงไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาแน่ ๆ
“ไม่แปลกใจเลยที่ชื่อเส้อเส้อ (เซ็กซ์)” เขาพยักหน้าอย่างรู้ทัน แต่เมื่อรู้ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็รับฟังมันอยู่ดี
จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไปว่า “ชื่อดี”
หลังจากนั้นก็พัวพันกันทั้งคืน………
เช้าวันรุ่งขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ตต่างมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างแพร่หลายไปในวงกว้าง อีกทั้งยังดูคึกคักเป็นพิเศษ ในตอนแรกก็ราวกับว่าเป็นชนวนที่รอการจุดระเบิด แต่หลังจากได้มีการแถลงข่าวเกิดขึ้นในภายหลัง ความหันเหด้านความสนใจก็เริ่มค่อย ๆ ลดน้อยลงกว่าเดิม
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตต่างก็รอคอยและเฝ้าดูเกี่ยวกับเหตุการณ์พวกนี้ เมื่อใดที่จิ่งเป่ยเฉินไม่ตอบสนองต่อข่าวคราวใด ๆ อีกทั้งยังค่อย ๆ เงียบหายไปแล้วละก็ ทางด้านทนายของกลุ่มจิ่งเทียนกรุ๊ปก็จะโพสต์ใบแจ้งการฟ้องคดีของศาลขึ้นมาแทน
ข้อหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับในโลกอินเทอร์เน็ตที่หลายรายการในเว่ยป๋อมีรายการที่มีตัววีใหญ่ขึ้นหน้าโพสต์ข่มเหงเกี่ยวกับจิ่งเป่ยเฉินว่าเขาเป็นผู้ข่มขู่และทำให้ฮั่วตงต้องเสียชีวิต
ซึ่งในเวลานั้นเอง หัวข้อสนทนาก็ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ทางด้านอันโหรวหลังออกมาจากห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินก็ได้เห็นหลินจือเซี๋ยวกำลังเดินเข้าไปในห้องทำงาน และกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่
“ยังไม่กินข้าวเช้าเหรอ?” เธอเดินเข้ามาหาและนั่งลง “เธอเดินมานี่ต้องการจะถามเรื่องอะไร?”
“ฉันแค่อยากจะถามเรื่องหนึ่ง เรื่องของฮั่วตงคงไม่เกี่ยวข้องกับบิ๊กบอสจริง ๆ ใช่ไหม? ฉันรู้สึกว่าเหมือนเป็นฝีมือของบิ๊กบอสทำจริง ๆ นะ!” ครั้งที่แล้วเหมือนเธอจะเคยบอกว่าเขานั้นเป็นคนที่โกรธและทำเพื่อหญิงที่ตนรักจริง ๆ
บิ๊กบอสของเธอดูอย่างไรแล้วก็ไม่เหมือนกับเป็นผู้ชายที่กล้าทำเรื่องใหญ่โตแบบนั้นได้แน่
“ไม่ใช่” เธอรู้ว่าไม่ใช่เขา เพราะถึงอย่างไรเธอก็เชื่อมั่นในตัวจิ่งเป่ยเฉินพอสมควร
ถ้าหากเป็นฝีมือของเขาทำขึ้นมาจริง ๆ ก็คงยอมรับมันไปตั้งแต่แรกแล้ว
หลินจือเซี๋ยวกัดขนมปังคำสุดท้าย ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นและคิดจะดื่มมันตามลงไป
“อะ เขาดื่มมันมาก่อนนะ”
หลินจือเซี๋ยวเหลือบมองไปยังแก้วน้ำที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางมันลงที่เดิม ภายในใจก็เอามือตบไปที่หน้าอกของตัวเองพลางลอบถอนหายใจ “โชคดีหน่อยที่เมื่อครู่นี้แค่เกือบจะดื่ม”
“เอาเถอะ เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก” เอกสารในมือของเธอถูกส่งไปที่ด้านหน้า “เอกสารพวกนี้เธอจัดเรียงเอาไว้แล้วมอบไปให้หัวหน้าแผนกต่าง ๆ ส่งตอนบ่ายนะ จากนั้นค่อยส่งสำเนามาให้กับฉันและประธานจิ่งก็พอ”
“แล้วบ่ายนี้เธอจะไปไหน?” หลินจือเซี๋ยวมองไปที่เธอด้วยท่าทีสงสัย
“มีธุระ ถ้าหากบิ๊กบอสถามหาละก็ เธอก็บอกว่าฉันไปที่กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปก็พอ” เธอยืนขึ้นและผลักหลังของเธอเบา ๆ “ไป รีบไปทำธุระได้แล้ว!”
หลังจากที่หลินจือเซี๋ยวออกไป เธอก็เหลือบมองไปยังเวลา ก่อนจะเห็นกองงานบนโต๊ะพลางคิดว่าต้องทำให้เสร็จไปเลยทีเดียว
ในช่วงเที่ยงจิ่งเป่ยเฉินออกไปกินข้าวกับลูกค้า เธอจึงจะใช้จังหวะโอกาสนี้แอบหนีออกไปทันที
ช่วงบ่ายสองสิบนาที เธอสวมชุดที่คล้ายกับพนักงานของที่นี่มาก ๆ เพียงแต่การแต่งหน้าของเธอนั้นดูขัดกับการแต่งตัวค่อนข้างมาก ครั้งนี้เธอปรากฏตัวที่เทศกาลลานดอกไม้
เทศกาลลานดอกไม้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากในเมือง A และการที่เธอมายังที่แห่งนี้ก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น
ตามที่เธอได้รับข่าวมานั้น ในปีนั้นตระกูลอันที่ล่มสลายไปก็ลือกันว่าจะมีพ่อค้ายาเสพติดที่ชื่อหานเซียวมาปรากฏตัวที่นี่และเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลอันเลยก็ว่าได้
เธอถือไวน์สองแก้วไว้ในมือก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับรองหนึ่งห้าศูนย์ห้า เมื่อผลักประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์อย่างรุนแรง ก่อนเธอจะวางแก้วลงบนโต๊ะทีละแก้วอย่างสุภาพและพูดขึ้นว่า “ไวน์ของคุณมาแล้วค่ะ”
ชายร่างท้วมคนหนึ่งที่กำลังโอบหญิงสาวคนหนึ่งอยู่เหลือบสายตามองไปที่เธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา พลางชิมมันหนึ่งอึก และอ้วกออกมาทันที!
อันโหรวที่เดินไปที่ประตูได้ยินเสียงข้างหลังเอะอะโวยวาย ทำให้เธอหยุดเดินชั่วครู่ก่อนจะหันหน้าไปมองและฟังคนที่พูดอยู่ด้านหลัง “ไวน์นี่ไม่เห็นจะอร่อยเลยสักนิด ไวน์ของพี่อันอร่อยกว่าเยอะเลย!”
ถ้าหากเธอจำไม่ผิดแล้วละก็ ผู้ที่จัดหาไวน์ของลานเทศกาลดอกไม้คือบริษัทจิ่ง
ถ้ามีคนพูดแบบนี้เข้าจริง ๆ ละก็ เธอเองก็อยากจะรู้นักว่าไวน์นี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ หรือเขาจงใจพูดออกมาอย่างโต้ง ๆ เพื่อสร้างปัญหากันแน่
เธอหันหลังยิ้มและเดินกลับไป ในมุมห้องที่ค่อนข้างมืดสลัว เธอเห็นคนที่เอ่ยปากพูดว่าพี่อัน คนคนนั้นนั่งอยู่ในกลุ่มอย่างเงียบ ๆ ที่มุม ไม่มีผู้หญิงคนไหนข้างกาย ดูแล้วไม่เข้ากับบรรยากาศที่พวกเขาอยู่เลยจริง ๆ
ภายในห้องมีแสงไฟที่เปลี่ยนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งที่หน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนจากสีแดงไปส้ม ส้มไปเหลือง และไปเขียว จึงไม่อาจเห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนมากนัก
“คุณผู้ชายคะ ถ้าหากคุณไม่พอใจเกี่ยวกับไวน์ของเราแล้วละก็ สามารถเปลี่ยนใหม่ได้นะคะ” เธอเดินไปหาชายคนนั้น พลางยืนและยิ้มอย่างสุภาพตามที่เธอคิดไว้
เมื่อชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอ แก้วไวน์ก็ถูกส่งมาตรงหน้า “คงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรอก คุณลองดื่มไวน์แก้วนี้ดูก็แล้วกัน ลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่อร่อย”
เธอเองก็มีความคิดนี้เหมือนกัน แต่เธอไม่คิดจะรับมันมาจากมือของเขาหรอก เธอหยิบแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และชิมมันเพียงนิดเดียว รสชาติของมันนั้นก็รู้สึกได้ถึงความกลมกล่อม
“รสชาติก็ไม่เลวนะคะ คุณผู้ชายฉันขอแนะนำให้คุณลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดูไหมคะ ไม่แน่ว่าต่อมรับรสชาติของคุณอาจจะมีปัญหาก็ได้ค่ะ” เธอวางแก้วไวน์ของเธอลง ก่อนจะมองไปที่ชายคนนั้นอย่างสุภาพ “ฉันดื่มไวน์แก้วนี้ไปแล้ว คงไม่ต้องให้เงินฉันหรอกนะคะ เดี๋ยวฉันจะนำไวน์อีกแก้วมาให้คุณใหม่ก็แล้วกันนะคะ”
เธอพูดจบก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก ชายอีกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ ใบหน้าของเขานั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย พนักงานเสิร์ฟเมื่อครู่กลายเป็นคนที่ไม่มีแววแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไม่เพียงแต่จะไม่พูดโกหก แต่กลับพูดให้เขานั้นไปที่โรงพยาบาลอีก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขาคนนั้นอยู่ที่นี่ละก็ เขาคงได้ระเบิดอารมณ์ไปแล้ว
“รสนิยมของแต่ละคนล้วนแล้วแตกต่าง ปรับให้เข้ากันนั้นยากอยู่แล้ว” เขาเอนตัวไปข้างหน้าก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นและดื่มมันเข้าปากไปหนึ่งคำเพื่อลิ้มรส
รสชาติของมันดีจริง ๆ นั่นแหละ
ภายในห้องส่วนตัวรับรองของพวกเขาถูกเปิดออกอีกครั้ง และคนที่เข้ามาอีกครั้งก็ไม่ใช่อันโหรว แต่เป็นพนักงานอีกคน
อารมณ์ของชายร่างท้วมตอนนี้เริ่มที่จะโกรธเคือง อยากจะบีบรัดคอให้ตายไปเลยเสียจริง ๆ
และในขณะนั้นเอง อันโหรวก็กำลังถือน้ำมะม่วงคั้นสดหนึ่งแก้วขึ้นไปที่ชั้นบน เป้าหมายของเธอคือห้องที่คิดอยากจะไปแต่แรกอยู่แล้ว
หานเซียวและคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นพวกที่ชอบลงมือรุนแรง อีกทั้งภายใต้การทำงานก็มักทำอย่างดุดัน เป็นชื่อเสียงที่ถูกลือไปทั่วท้องถนน ถ้าหากว่าเรื่องในปีนั้นเกี่ยวข้องกับเขาจริง ๆ เรื่องนี้ก็ชักจะยุ่งยากขึ้นทุกที
ในตอนนั้นความผิดของอันเจิ้งตงได้ไปเกี่ยวข้องกับพ่อค้ายาอย่างชัดเจนเข้า ในปีนั้นหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ถึงความผิดทุกอย่างเรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องคดี เธอจึงคิดอยากจะตรวจสอบพวกเขาทีละคน แต่เนื่องจากหานเซียวปรากฏตัวขึ้น เธอจึงคิดว่าไม่ควรที่จะพลาดโอกาสครึ่งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ตรวจสอบเขา
ภายในห้องสามแปดศูนย์เจ็ด ที่ด้านนอกมีบอดี้การ์ดที่ดูกำยำสวมชุดสีดำสองคนกำลังยืนอยู่ทางซ้ายและขวา เมื่อเธอเดินไปถึงตรงหน้าประตูก็ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู
คนที่อยู่ทางขวาเหลือบสายตามองไปที่เสื้อผ้าบาง ๆ ของเธอก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูห้องส่วนตัวออกทันที
โชคดีที่ไม่ค้นตัว ไม่อย่างงั้นเธอคงอดไม่ได้ที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ ๆ
ภายในห้องมีแสงสีน้ำเงินเข้มสาดส่องไปทั่ว มีชายและหญิงรวมแล้วราว ๆ เจ็ดถึงแปดคน ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางตอนนี้กำลังสูบซิการ์ เขาคือหานเซียวที่ว่านั่นเอง
“ลานเทศกาลดอกไม้พนักงานเสิร์ฟมักมีส่วนสูงมาตรฐาน สัดส่วนความงามก็นับว่าไม่เลว คนสวย เธอมีชื่อว่าอะไร?” ชายที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้านขวาซึ่งถือแก้วไวน์ด้วยมือเดียวเอ่ยถาม ส่วนชายอีกคนที่ถือไพ่อยู่ในมืออีกข้างก็มองเธอด้วยสายตาที่ยิ้มเยาะ
“หานเสี่ยวค่ะ” เธอวางน้ำผลไม้ลงบนโต๊ะสีดำและวางถาดผลไม้ลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะหยิบแก้วเปล่าของหานเซียวที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเก็บและนำน้ำผลไม้เข้าไปเสิร์ฟแทนที่
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพ่อค้ายาตัวใหญ่ขนาดนี้จะชื่นชอบการดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มสุรา
“หานเสี่ยว? ชื่อนี่ดี!” ชายร่างผอมที่อยู่ทางด้านซ้ายโน้มตัวเข้ามาหาเธอ ก่อนที่จะปล่อยผู้หญิงข้าง ๆ ออก ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาหันหน้ามามองเธออย่างไม่พอใจทันที
“ชื่อนี้ตั้งโดยพ่อแม่ของฉัน ฉันเองก็คิดว่าดีเหมือนกันค่ะ” เธอวางแก้วน้ำผลไม้ลงที่เดิม ก่อนจะยิ้มและหยิบถาดขึ้นมา “ดื่มช้า ๆ นะคะ”
แต่ทันใดนั้นเองหานเซียวก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “รู้วิธีเล่นไพ่หรือเปล่า?”
ตรงปลายซิการ์เกิดแสงไฟที่ถูกจุดขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ลง ควันก็ถูกพ่นออกมาจากปากของเขา ทำให้ใบหน้าที่ดูคมคายนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันที่ดูแล้วชวนสับสนไม่น้อย