อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 267 ระวังหลานของฉันหน่อยสิ
ตอนที่ 267 ระวังหลานของฉันหน่อยสิ
โอวหยางลี่คุกเข่าลงอุ้มเหอเหมียวขึ้นมาและเดินออกไปด้านนอก เฉาลี่เฟยที่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็จ้องมองไปที่คนรับใช้อย่างโกรธเคือง “พวกแกเป็นอะไรกันไปหมด? ทำไมไม่รู้จักห้ามไว้? ไสหัวออกไปซะ!”
ทันทีที่เธอพูดจบก็เดินออกไป “ลี่เอ๋อร์! ระวังหลานของฉันหน่อยสิ!”
เหอเหมียวที่อยู่ในอ้อมแขนของโอวหยางลี่ได้ยินคำว่าหลาน มือเล็กๆ ก็กำไปที่เสื้อของโอวหยางลี่อย่างแน่น “พี่โอวหยาง ฉันไม่เป็นอะไรมาก แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่ต้องพูด ร่างกายเธอเป็นแผลลึกเลย ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของโอวหยางลี่เบาลงเล็กน้อย
เธออยู่กับเขามานาน เห็นเธอบาดเจ็บแบบนี้ในใจก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ความโกรธแค้นของเหลียวเว่ยนั้นถึงขีดสุดแล้ว
นิสัยของผู้หญิงคนนั้นอยู่กับเขาได้ยังไงกัน มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายผู้หญิงของเขา แม้แต่เส้นผมของโหรวโหรวก็เทียบไม่ได้
เธอบอกว่ามือของเธอเป็นฝีมือของอันโหรวที่ทำร้ายเธอ เขาไม่เชื่อเรื่องนี้หรอก!
เหอเหมียวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอเหนื่อยและง่วงเกินไป เธออยากนอนแล้ว
เธอค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ แต่ก็ยังจะพอได้ยินเสียงของเฉาลี่เฟยที่พูดขึ้นมาราง ๆ ปากของเธอพูดถึงหลานอยู่ตลอด จะทำยังไงดี
เธอไม่ได้ท้องตั้งแต่แรกนี่นา!
เหอเหมียวค่อย ๆ หมดสติไป กว่าเธอจะฟื้นได้สติก็เป็นช่วงเวลาดึกแล้ว เธอรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ เธอ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมา
“คุณหมอคะ ทำไมยังไม่ฟื้นอีก? เป็นอย่างนี้ต่อไปหลานของฉันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” น้ำเสียงที่ดูกังวลของเฉาลี่เฟยดังขึ้น
หลาน? หรือว่าโรงพยาบาลไม่ได้ตรวจเช็กร่างกายให้กับเธอ?
แย่เสียจริง ๆ!
“อืม….” เธอสะลึมสะลือ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความงุนงง
เมื่อเฉาลี่เฟยเห็นเธอฟื้นขึ้นมาก็ยิ้มออกมาทันที “หิวหรือเปล่า? แม่ตุ๋นซุปไก่ไว้ให้ ลุกขึ้นมาดื่มก่อนสิ”
เฉาลี่เฟยช่วยพยุงตัวเธอขึ้นมา ก่อนจะให้ดื่มซุปไก่จนหมดชาม คุณหมอที่เห็นเธอฟื้นขึ้นมาก็เดินออกไปอย่างหมดห่วง
สีหน้าของเฉาลี่เฟยเริ่มเปลี่ยนไป คนที่พาเธอมาส่งโรงพยาบาลไปแล้ว เธอจะไปหาเขาที่ไหน?
“เขามาแล้วก็เพิ่งจะออกไปเอง! หมอบอกว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว ลูกก็เหมือนกัน แต่หลังจากนี้ต้องระวังให้มากขึ้นนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเหลียวเว่ย แม่จะจัดการแทนเอง” เฉาลี่เฟยเอื้อมมือมาลูบท้องของเธอด้วยความเมตตา
“ลูกน้อยในท้องไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหมคะ? คุณแม่ไม่ได้หลอกฉันจริง ๆ นะ เมื่อเช้าพี่เขาถีบเข้ามาที่ท้องของฉันเต็ม ๆ เลย!” เหอเหมียวโต้กลับขึ้นมาทันที เธอคิดว่าตัวเองท้องจริง ๆ
ถือว่าเป็นโชคช่วยไว้หรือเปล่า!
เป็นเพราะพระเจ้าช่วยเธอไว้แน่ ๆ
ใบหน้าของเฉาลี่เฟยพลันเย็นชาขึ้นมา “ไม่ต้องพูดถึงเธอหรอก เดิมทีเธอก็ไม่สามารถท้องได้ เธอก็เลยอิจฉาเท่านั้นเอง!”
“แต่พี่เขาไม่ได้บอกว่าพี่เขาแท้งหรอกเหรอคะ? เห็นว่าเป็นฝีมือของอันอีหานหรืออันโหรวนั่น” ใบหน้าของเหอเหมียวในตอนนี้ซีดเล็กน้อย มองแล้วรู้สึกสงสารและเจ็บใจแทนจริง ๆ
“ไม่ต้องพูดถึงชื่อผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ฉันไม่ชอบทั้งสองคนนั้น เคยคิดว่าเหลียวเว่ยนั้นจะง่าย เธอบอกว่าท้องแต่ฉันไม่เชื่อเธอหรอก!” เฉาลี่เฟยหัวเราะพลางยิ้มเยาะ “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เธอดูแลตัวเองดี ๆ เถอะ ลี่เอ๋อร์เป็นของเธอ ตำแหน่งคุณนายตระกูลโอวหยางก็เป็นของเธอ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณแม่ ฉันจะดูแลพี่โอวหยางเองค่ะ และจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของคุณแม่ด้วย” เหอเหมียวยิ้มหวานและชื่นชมเฉาลี่เฟยอย่างลึกซึ้ง
“เด็กดี ดื่มเยอะ ๆ นะ ดูแลร่างกายหน่อย เธอผอมเกินไปแล้ว” เฉาลี่เฟยไม่ได้ดูแลใครสักคนแบบนี้มานานมากแล้ว
……
ที่โรงแรมจิ่งเทียน
อันโหรวนั่งลงข้าง ๆ จิ่งเป่ยเฉิน เธอก้มหน้าลงกินข้าวอย่างตั้งใจ
เขาบอกว่าจะออกมากินข้าว แต่กลับไม่ได้บอกว่าพวกพี่น้องจะมากินข้าวด้วยกัน การรวมตัวแบบนี้ก็ควรบอกเธอล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ?
หมินลี่เหลือบสายตามองดูเธออยู่หลายครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังออกมา “พี่สะใภ้ดูคุ้นหูคุ้นตานะ”
“แน่นอนต้องคุ้นสิ ก่อนหน้านั้นเธอเป็นแฟนเก่าของโอวหยางลี่ อันโหรวไง!” ถังซือเถียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถังซั่วเตือนสติตัวเขา
เมื่อเธอรู้ว่าถังซั่วจะออกมา เธอจึงขอติดตามมาด้วย เธออยากจะรู้ว่าสิ่งที่โลกอินเทอร์เน็ตกำลังพูดถึงเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
แต่ตอนนี้ความเป็นจริงกลับอยู่ที่ตรงหน้าของเธอแล้ว เธอยอมรับไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านั้นเธอได้เอารูปของอันโหรวให้อันโหรวตัวจริงดู แต่ทว่าตอนนี้เธอแทบทนไม่ไหว อยากจะทุบโทรศัพท์ทิ้งเสียจริง ๆ
“เปล่า ฉันเคยเห็นเธอมาก่อนหน้านั้นอีกนะ!” หมินลี่เริ่มหวนนึกคิด ครั้งก่อนเขาเคยพูดว่าเขาเคยเห็นผู้หญิงที่เขารักตั้งแต่แรกพบ แต่ทว่าผู้หญิงคนนั้นกลับกลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาแทนเสียได้
โชคดีที่ถูกจิ่งเป่ยเฉินเปิดเผยไปก่อน ไม่งั้นความลับพวกนี้คงต้องเน่าตายอยู่ในห้องแน่ ๆ และเขาจะไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนมารับรู้ถึงความลับพวกนี้แน่ ๆ
“คนสวย ๆ คุณมักจะเห็นจนเคยชินแล้ว” อันโหรวเอ่ยอย่างเย็นชาออกไป
“ฮะฮะ นี่แหละท่าทีของคนสวย ๆ” หมินลี่ยิ้มอย่างเขินอายออกมา “ดื่ม ๆ กินข้าวกันเถอะ!”
หมินลี่หยิบแก้วไวน์แล้วส่งไปให้ถังซั่ว คืนนี้เขารู้สึกได้ว่าสีหน้าของถังซั่วนั้นดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก!
ถึงแม้จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้พูดว่ามีอะไรผิดปกติ คืนนี้คงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่ดูผิดปกติขนาดนี้
“พี่ต้องขับรถ ดื่มเยอะไม่ได้ นายไปให้ฉีเซิงเทียนเถอะ!” ถังซือเถียนเอ่ยเสียงดังห้ามเขา เธอเองก็รู้สึกได้ว่าวันนี้พี่ชายของตนนั้นดูไม่มีความสุข
เพียงแต่ว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้มีความสุขเช่นกัน พวกเขาควรใส่ใจเธอมากกว่านี้สิ!
ฉีเซิงเทียนที่กำลังถือแก้วไวน์อยู่จึงยื่นแก้วไปชนกับแก้วตรงหน้าของเขาและพูดว่า “ชน!”
อันโหรวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาจิ่งเป่ยเฉินและพูดว่า “ฉันอดคิดไม่ได้ ทำไมนายถึงได้จริงจังขนาดนี้ ทำไม?”
ใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินที่เย็นชาตลอดทั้งคืนในที่สุดก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ เพราะเธอได้เข้ามาใกล้เขา ก่อนจะยิ้มตอบกลับเธอไป “ที่เธอพูดมา แน่นอนว่าต้องทำให้จบ”
“แปลกนะที่นายดูเชื่อฟังขนาดนี้” ตอนอยู่บนเตียงเธอพูดอะไรไป เขาก็แทบไม่เห็นจะสนใจเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าถ้าหากไม่ใช่ผู้ชายที่เชื่อฟังแต่แรกก็ย่อมเป็นคนที่แสร้งทำเพื่อหลอกลวงเพื่อนฝูง
“พี่เฉิน นี่พี่ยังไม่ทันแต่งงานก็ทำเหมือนกับว่าแต่งงานซะแล้วเหรอ หลังจากแต่งงานแล้วจะขนาดไหนกันเนี่ย” หมินลี่ที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อคำพูดขึ้น
“แต่งแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินพูดขณะมองดูพวกเขาไปด้วย “ตอนนี้คงให้ซองแดงได้แล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ภายในห้องรับรองส่วนตัวต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนตะลึงกันยกใหญ่ ก่อนจะมองไปที่พวกเขาอย่างงุนงง
ฉีเซิงเทียนวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะและเอ่ยถามออกไปทันที “พี่เฉิน เกินไปหน่อยแล้วนะ! ผมอยู่กับพี่ทุกวัน พี่จะเอาเวลาไหนไปแต่ง ทำไมผมถึงไม่รู้?”
เขามีหน้ามีตาขนาดไหนในบริษัทจิ่ง ถ้าหากข่าวนี้ไม่รู้ เขาก็ไม่ใช่คนของบริษัทจิ่งแล้ว!
“ฉีเซิงเทียน ขนาดนายยังไม่รู้เหรอ?” หมินลี่ตะโกนเสียงดัง “พี่เฉิน พี่ไม่ไว้หน้าพี่น้องกันบ้างเลยเหรอ!”
แม้ว่าจิ่งเป่ยเฉินจะปิดหูของอันโหรวอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ยังคงได้ยินเสียงที่ตะโกนออกมาอย่างชัดเจนอยู่ดี ก็เสียงของหมินลี่ดังขนาดนั้น ต่อไปใครจะมาอยู่กับเขาได้กันนะ?
“พวกนายน่าจะรู้ก่อนคนอื่น ๆ ไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะไม่ไว้หน้าได้ยังไง?” มือของจิ่งเป่ยเฉินยังคงปิดอยู่ที่หูของอันโหรวโดยไม่คิดจะปล่อยออก เพราะกลัวว่าเสียงของหมินลี่จะดังขึ้นอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นหูของอันโหรวอาจจะรับไว้ไม่ไหว
“นายเบาเสียงลงหน่อย” ถังซั่วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเอ่ยเสียงของเขาออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านมา
หมินลี่ปิดปากเงียบลงทันที ทำเพียงมองดูพวกเขาโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงอะไร ก่อนจะพูดเบา ๆ ไปว่า “พี่เฉิน พวกพี่แต่งงานกันตั้งแต่ตอนไหน?”