อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 271 งานเลี้ยงวันเกิด
ตอนที่ 271 งานเลี้ยงวันเกิด
ก่อนหน้านั้นแต่ไหนแต่ไรบิ๊กบอสไม่เคยจัดงานเลี้ยงวันเกิดเลยสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมปีนี้เขาถึงได้อยากจัดขึ้นมา
ถ้าหลินจือเซี๋ยวรับรู้ว่าการที่เธองานยุ่งมากกว่าเดิมนั้นก็เป็นเพราะอันโหรวไปพูดว่าสายตาของเธอนั้นเฉียบคม จึงให้เป็นคนวางแผนจัดงานทุกอย่าง ถ้าหากรู้ละก็เธอคงคิดอยากจะเข้าไปที่ห้องทำงานของอันโหรวและฆ่าให้ตายแน่ ๆ
ด้วยชื่อเสียงที่มีขนาดนี้ แน่นอนว่ามันทำให้เธอได้รับงานใหญ่!
เพียงแต่ว่าถ้าหากงานวันเกิดของบิ๊กบอสได้จัดการเรียบร้อยแล้ว และบิ๊กบอสเองก็มีความสุขมาก บางทีเธออาจจะได้หยุดพักผ่อนถึงเดือนหนึ่ง พร้อมเพิ่มอีกครึ่งเดือนของตรุษจีน นี่ก็นับว่าคุ้มค่าที่เธอจะยอมยุ่งแบบนี้
เพราะงั้นแล้วเรื่องวันเกิด ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการให้สมกับเป็นตัวเธอ
“ฉันควรจะเชื่อคำพูดของเธอไหม? เว้นเสียแต่เธอจะยอมบอกฉันว่าเธอทำอะไรอยู่?” ตลอดวันเล่นทำตัวลึกลับแบบนี้ มันจึงกระตุ้นให้เขาอยากรู้ใจจะขาดอยู่แล้ว
“ผู้จัดการฉี ถ้าหากคุณอยากจะรู้จริง ๆ ละก็ คุณได้โปรดออกจากประตู เดินเลี้ยวซ้าย และตรงไป จากนั้นก็ไปถามบิ๊กบอสนะคะ เขาน่าจะบอกคุณได้” ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรได้จริง ๆ เธอไม่อยากให้ความลับรั่วไหลออกมาจากปากของเธอ
“หลินจือเซี๋ยว เธอนี่กล้ามากจริง ๆ นะ!”
“เพื่อแบ่งความกังวลของบิ๊กบอสแล้วควรจะทำแบบนี้ค่ะ ดิฉันไม่ได้มีความกล้าหาเรื่องหรอกค่ะ แต่ว่าผู้จัดการฉีช่วยเตือนฉันแล้วจริง ๆ ว่าหลังจากนี้ควรปิดประตูห้องทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและจะได้ไม่ต้องถูกรบกวนอีก” เธอไม่อยากจะตื่นเช้าทุกวันแล้วมีผู้ชายมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอตรงประตูอีกครั้งหรอกนะ
“หลินจือเซี๋ยว เธอนี่มันน่าสนใจจริง ๆ นะ…….” ฉีเซิงเทียนเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็ค่อย ๆ หันหลังและเดินออกไป
หลินจือเซี๋ยวยืนค้างอยู่กับที่มองดูเขาเดินออกไป ก่อนจะกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
น้ำเสียงของฉีเซิงเทียนเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ทำไมถึงได้ฟังดูคล้ายกับบิ๊กบอสจัง!
เมื่อพูดแบบนั้น อีกทั้งยังเพิ่มเสียงต่ำที่แฝงไปด้วยอารมณ์ นั่นทำให้คนกลัวมากเลยนะ
หลินจือเซี๋ยวเหลือบมองสายตาไปที่ประตูห้อง ก่อนจะก้มหน้าลงและทำงานต่อ
งานวันเกิดของบิ๊กบอส……
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้จัดงานวันเกิดของบิ๊กบอส สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดหรอก แต่เป็นบางอย่างที่ควรกระทำในงานเลี้ยงวันเกิดต่างหาก
……
อันโหรวได้รับโทรศัพท์จากแผนกต้อนรับ เธอรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อยเมื่อปลายสายบอกว่าเห่อฮวาฮุยมาหาจิ่งเป่ยเฉิน
หรือว่าเขาหมดเงินแล้วจริง ๆ
หากใช้หมดไปแล้วก็คงไม่มีทางได้อีกครึ่งหนึ่งจากจิ่งเป่ยเฉินแน่ ๆ หรือว่าตระกูลเห่อจะมีปัญหา?
เธอรีบติดต่อกับจิ่งเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันคาดคิด พวกเขาก็พบกันซะแล้ว
เธอจึงรีบพาเห่อฮวาฮุยไปยังห้องรับแขก วางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “รอสักครู่นะคะ อีกเดี๋ยวประธานจิ่งจะเข้ามาหา”
สายตาของเห่อฮวาฮุยหยุดอยู่ที่ตัวของเธอ “เธอคือเลขาที่แต่งหน้ามาก่อนหน้านี้ใช่ไหม? ดูเหมือนสายตาของฉันจะไม่เลว! ร้ายกาจจริง ๆ สามารถมองทะลุผ่านว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ได้!”
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินหันหลังออกไป
“อย่าเพิ่งไปสิ! รอฉันไปด้วย!” เห่อฮวาฮุยตะโกนเรียกให้เธอหยุด ก่อนจะเห็นเธอเลิกคิ้วขึ้นและหันกลับมามอง “ประธานจิ่งสายตาเฉียบแหลม เพียงแต่ว่าพวกเราก่อนหน้านั้นเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ว่าคุณรู้แต่แรกแล้วเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างส่ง ๆ ออกไป
ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยเจอกันมาก่อน แต่ไม่ได้พูดกันสักคำ เพราะก่อนหน้านั้นเห่อฮวาฮุยก็เหมือนจะสนใจเธอ แต่ทว่าในช่วงนั้นเธอเป็นแฟนของโอวหยางลี่และไม่ได้สนใจผู้ชายคนอื่นเลย
ส่วนจิ่งเป่ยเฉินทุกครั้งที่ได้เจอหน้าก็ต้องทะเลาะกันตลอด จึงไม่ต้องพูดถึงเขาเลย
“น้องโหรวโหรวยังเฉียบแหลมเหมือนเดิมเลยนะ ไม่แปลกใจเลยที่โอวหยางลี่ไม่ได้แต่งงานกับเธอ ไม่ใช่ว่าเธอเจ็บใจหนักถึงขนาดไปหาจิ่งเป่ยเฉินหรอกเหรอ?”
“งั้นเจ็บใจหนักแล้วควรไปหาคุณเหรอคะ? ประธานจิ่งเป็นผู้ชายที่ถือว่าฉันเลือกมาอย่างดี เป็นผู้ชายที่ควรเหมาะกับการเป็นลูกเขยชั้นเลิศ แต่คุณชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกมั้งคะ” เธอรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดที่ว่าเจ็บใจหนักถึงขนาดไปหาจิ่งเป่ยเฉิน
แม้ว่าตอนนั้นเธอจะถูกวางยา แต่ถ้าหากไม่ใช่จิ่งเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้นมาละก็ เธอคงกระโดดลงทะเลเพื่อหนีเรื่องพวกนี้แล้วใช่ไหม?
เมื่อครู่จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังจะเดินเข้ามาได้ยินชื่อของเขาจากปากของเธอก็เผลอยิ้มมุมปากขึ้นมา สมกับเป็นโหรวโหรวของเขาจริง ๆ ดีมาก
“เลขาน้อยช่างพูดเก่งจริง ๆ นะ ถึงขนาดพูดคำเยินยอได้ชัดเจนเสียขนาดนี้ ประธานจิ่งให้ประโยชน์อะไรกับเธอกันแน่?” เห่อฮวาฮุยเหลือบมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน “ถ้าหากวันหนึ่งเธอเบื่อเขาแล้วละก็ พี่ชายคนนี้พร้อมต้อนรับเธอเข้ามาในอ้อมกอดของพี่ชายนะ ตอนนี้ก็สามารถมาได้ รับรองว่าต้องอบอุ่นอย่างแน่นอน อยากลองดูไหม?”
อันโหรวยิ้มอย่างเย็นชา “วันนี้คุณคิดอยากจะถูกตีท้ายครัวหรือยังไงถึงได้มาที่นี่?”
เห่อฮวาฮุยหัวเราะพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังเดินเข้ามา “ประธานจิ่ง เลขาของคุณนี่น่าสนใจจริง ๆ ผมยืม…แค่กแค่ก ผมเองก็ไม่คิดจะพูดอะไรทั้งนั้น”
อันโหรวเห็นจิ่งเป่ยเฉินตั้งนานแล้ว ตัวตนที่เขายืนอยู่ล้วนไม่เคยถูกมองข้าม
เพียงแต่คำพูดพวกนี้ล้วนมาจากใจจริง เพราะเขาก็ถือว่าเป็นคนดีจริง ๆ นั่นแหละ!
“ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ” จิ่งเป่ยเฉินเดินมานั่งลงตรงข้ามกับเขา แต่สายตากลับมองไปที่อันโหรวและพูดขึ้นว่า “มานี่”
เขาคงไม่คิดจะทำอะไรใช่ไหม ทำไมการประชุมพวกนี้ถึงต้องให้เธออยู่ด้วย?
หรือคิดจะแสดงความรักต่อกันอย่างนั้นเหรอ?
เอาเถอะ เธอจะยอมหลับหูหลับตาทำไปก่อนก็ได้
อันโหรวนั่งลงข้าง ๆ เขา ทันทีที่นั่งลงก็ถูกมือของจิ่งเป่ยเฉินโอบมาที่เอวของเธอเสียแล้ว มันช่างแสดงความรักต่อกันดีจริง ๆ
“ประธานจิ่งทำแบบนี้ไม่ถูกนะ เห็นได้ชัดว่าผมไม่มีผู้หญิงสวยอยู่ในอ้อมแขนแบบนี้ ถ้าคุณคิดจะทำแบบนี้กับผมก็เท่ากับว่าคุณพูดคุยอย่างมีความสุขคนเดียวสิ” เห่อฮวาฮุยมองไปที่เขา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
จิ่งเป่ยเฉินเองก็ส่ายหน้าเบา ๆ เช่นกัน “ถ้าทนไม่ได้ก็ออกไปเลี้ยวซ้ายเลยครับ”
“อย่าทำแบบนี้สิ!” เห่อฮวาฮุยยิ้มออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาจิบอย่างช้า ๆ
อันโหรวมองดูท่าทีของเขา ก่อนจะหันมามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาคนนี้ดูไม่รีบร้อนอะไรเลย เธอเองก็ควรไม่รีบร้อนบ้างเช่นกัน
แต่ว่าตัวเธอเองก็อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเห่อฮวาฮุยมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่
“อันที่จริงมีบางอย่างที่ผมลืมบอกคุณก่อนหน้านี้ไป ผมคิดว่าเร็ว ๆ นี้บริษัทจิ่งช่างร้อนแรงมากนัก ถึงเพิ่งจะมานึกออก! ประธานจิ่งคงไม่ถือโทษที่ผมสะท้อนมุมมองกลับใช่หรือเปล่า?” เห่อฮวาฮุยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มือที่ถือถ้วยกาแฟสั่นเบา ๆ
“ไม่หรอก” เขาคิดอยากจะฟังคำพูด เขาเลยพูดอะไรไปนิดหน่อย
“ครั้งสุดท้ายที่คุณไปโรงงานผลิตภัณฑ์หยก คุณจำกลิ่นไวน์ได้ใช่หรือเปล่า? ทางผมเองไม่ได้ใส่ไวน์ลงไปแน่ ๆ แต่ก่อนที่คุณจะไป อันจวิ๋นเซวียนได้ไปที่นั่น อีกทั้งยังเอ่ยคำพูดว่าอยากจะเปลี่ยนโรงงานผลิตภัณฑ์หยกพวกนี้ให้กลายเป็นโรงงานกลั่นไวน์องุ่น คุณคิดว่ายังไง ทำเลที่ตั้งดีเสียขนาดนี้ แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการผลิตไวน์เลยสักนิดเดียว ซึ่งในส่วนนี้คุณน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว!” เห่อฮวาฮุยยังคงจิบกาแฟต่อหลังจากพูดจบ
อันโหรวรู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหูมากนัก หลังจากคิดอยู่สักพักก็จำได้ว่าเป็นใคร
อุตสาหกรรมไวน์ของอันจวิ๋นเซวียนและอุตสาหกรรมไวน์ของบริษัทจิ่งถือว่าเป็นคู่แข่งทางด้านการตลาดกันเสมอ หากอันจวิ๋นเซวียนและโอวหยางลี่ร่วมมือกันในครั้งนี้ แน่นอนว่าอาจจะปราบบริษัทจิ่งได้ เพราะนี่ถือเป็นการรวมตัวของสองบริษัท สถานการณ์นี้มองในแง่ดีไม่ได้จริง ๆ
อุตสาหกรรมไวน์ของบริษัทจิ่งถือเป็นระดับสูงไม่น้อยในเมืองนี้ รองลงมาก็เป็นทางด้านสกุลอัน แต่ทว่าตอนนี้บริษัทจิ่งได้มุ่งเน้นส่งออกไปยังต่างประเทศ ครั้งที่แล้วเธอก็ได้เห็นลีออนมาที่งานวันเกิดของเธอเหมือนกัน เขาก็ถือเป็นส่วนหนึ่งทางด้านการค้าต่างประเทศ
หรือว่าอันจวิ๋นเซวียนจะใช้ประโยชน์ในช่วงเวลานี้บีบบังคับส่วนแบ่งของบริษัทจิ่งภายในประเทศออกไป และคิดจะกลายเป็นผู้ที่ผลิตไวน์รายใหญ่ที่สุดในประเทศอย่างนั้นหรือเปล่า?
“ฮวงจุ้ยนับว่าไม่เลวจริง ๆ แต่เหมาะสำหรับการสร้างสุสานมากกว่า ถ้าได้สร้างคงเป็นที่นิยมไม่ใช่น้อย” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยคำพูดอย่างเย็นชาออกไป