อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 279 ครอบครัวผู้เสียชีวิตยังคงสร้างปัญหา
ตอนที่ 279 ครอบครัวผู้เสียชีวิตยังคงสร้างปัญหา
สำหรับเรื่องโรงงาน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังคงสร้างปัญหา
เมื่อวานที่จิ่งเป่ยเฉินได้บอกไปแล้วว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าชดเชยตามนั้น แต่แม้ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะสร้างปัญหาอยู่ตลอดเขาก็ไม่สนใจกับปัญหามากมายเหล่านั้น
เนื่องจากช่วงเป็นประจำเดือนจึงทำให้อันโหรวนั้นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ตอนนี้เธอนั่งลงบนเตียงและมองผู้ชายที่กำลังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ “นี่นายยังไม่โอนเงินเข้าบัญชีอีกเหรอ?”
จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่ข้างเตียงไม่ได้หันมาตอบเธอ “อย่างน้อยเงินประกันของบริษัทก็ควรจะจ่ายไปก่อน”
“พูดถึงที่ยังไม่ได้โอนเงินเข้า นาย……ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรอกใช่ไหม?” รอให้เรื่องนี้มันใหญ่โตสถานการณ์ของบริษัทจิ่งตอนนี้ดูไม่เป็นผลดีอะไรเลย ไม่มีใครต้องการเป็นข่าวเชิงลบทั้งนั้น
แต่ถ้าหากว่าลองคิดกลับกัน ก็ถือว่าเป็นการตบหน้าโอวหยางลี่
“โหรวโหรวฉลาดเป็นกรด” จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะยื่นมือมาดึงผ้าห่มขึ้นไปห่มที่บริเวณท้องของเธอ
“มือนาย?” เธอไม่ได้เจ็บและไม่ได้ต้องการมือของเขามาวางอยู่บริเวณท้องของเธอ การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะเคลื่อนมาส่วนบน
อันโหรวดึงมือออกมาจากผ้าห่มและกุมไปที่มือของเขา “อย่าขึ้นมานะ!”
จิ่งเป่ยเฉินดึงมือของเธอมาและประสานนิ้วมือเข้าหากัน “รู้สึกว่านิ้วของเธอดูโล่ง ๆ เหมือนมีบางอย่างขาดหายไปนะ”
“นายหมายถึงแหวนที่นายให้งั้นเหรอ? เหมือนว่าจะอยู่สักมุมไหนมุมหนึ่ง!” ตั้งแต่ที่เธอถอดมันก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาใส่อีกเลย
กระเป๋าเดินทางของเธอก็เป็นหลินจือเซี๋ยวที่เก็บมาให้ เธอเลยไม่รู้ว่าหลินจือเซี๋ยวเอาแหวนไปไว้ที่ไหน
“อืม เธอนอนพักผ่อนเถอะ” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอและดึงมือกลับมาอย่างไม่เต็มใจ
ทั้งสองต้องเข้าบริษัทด้วยกันในวันจันทร์ ด้านนอกบริษัทจิ่งไม่เพียงแต่มีนักข่าวที่รออยู่ แต่ยังมีเสียงสุนัขเห่าอยู่ตลอดด้วย
เสี่ยวหยางจอดรถและลงมาเปิดประตูรถทันทีโดยไม่สนใจพวกนักข่าวที่ยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าเลยสักนิด ทันทีที่ลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นบน อันโหรวก็เหลือบไปมองเขาหนึ่งที “บิ๊กบอส คุณให้คนมาพาสุนัขออกไปได้ไหม? ดูไม่ดีเลยจริง ๆ”
จิ่งเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่เธอ “ได้สิ”
ทันทีที่อันโหรวเดินไปถึงห้องทำงานก็เจอกับหลินจือเซี๋ยว เธอรีบเดินตรงเข้ามาหาทันที
“โหรวโหรว!” หลินจือเซี๋ยวเดินมารั้งแขนเธอไว้ “เรื่องงานเลี้ยงวันเกิดบิ๊กบอส ฉันมีคำถามอยากถามเธอ”
“งานเลี้ยงวันเกิดเขา?” อันโหรวมองเธออย่างสงสัย ในความรู้สึกของเธอการปรากฏตัวขึ้นของเขาในงานเลี้ยงเพียงไม่กี่นาทีก็ถือว่าไว้หน้ากันสุด ๆ แล้ว
งานเลี้ยงของเฉาลี่เฟยครั้งก่อนนั้นเพราะมีจุดประสงค์ถึงได้ไป แต่นี่งานเลี้ยงของบริษัทตัวเองคงจะไม่เหมือนกัน
และจากที่เธอรู้จักกับจิ่งเป่ยเฉินมานานก็ไม่เคยเห็นเขาจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตัวเองเลย
“มีอะไร เธอน่าจะไปถามเขามากกว่าไหม?” หากมีความคิดเห็นอะไรไปถามเขาน่าจะตอบได้ตรงกว่า
“ฉันไม่กล้า!” หลินจือเซี๋ยวหัวเราะขึ้นเล็กน้อย “ถามเธอก็เหมือนกันนั่นแหละ เธอเป็นคนตัดสินใจเรื่องแขกที่จะเชิญเข้าร่วมงาน ต้องเชิญโอวหยางลี่ด้วยหรือเปล่า?”
“จือเซี๋ยว คำถามนี้ยังต้องถามให้ยุ่งยากด้วยเหรอ? ไม่ต้องเชิญ งานฉลองวันเกิดของเขาก็ต้องมีความสุขสิ จะให้โอวหยางลี่มาทำลายบรรยากาศเหรอ?” ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้เธอยังคิดไม่ออกว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญจิ่งเป่ยเฉินดี
“ที่เธอพูดก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่ งั้นก็ไม่ส่งไปเชิญแล้วกัน! ยังไงสุดท้ายก็ต้องส่งรายชื่อแขกในงานให้บิ๊กบอสดูอยู่แล้ว” หลินจือเซี๋ยวหมุนตัวจะเดินออกไป แต่เมื่อเธอก้าวขาจะเดินออกไปจากห้อง อันโหรวก็รั้งเธอไว้
“เธอคิดว่าให้ของขวัญเป็นอะไรดี?” อันโหรวมองหน้าเธออย่างจริงจัง สายตาจ้องมองร้องขอความช่วยเหลือ
“โหรวโหรว…..” หลินจือเซี๋ยวมองเธอขึ้นลงไปมา เธอสวยมากขนาดนี้ “เธอก็มอบตัวเธอให้เขาสิ!”
ทันทีที่อันโหรวได้ยินแบบนั้นก็รีบปล่อยมือของเธอออกทันที “ความคิดหื่นมาก”
“หึหึหึหึ โหรวโหรวความคิดนี้ฉันกล้าพูดได้เลยว่าบิ๊กบอสต้องมีความสุขที่สุดแน่นอน หรือว่าจะให้ฉันคิดวิธีอื่นให้?” หลินจือเซี๋ยวขยับเข้าไปใกล้เธอพลางมองด้วยสายตาอย่างลึกลับ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูของเธอ พร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ใบหน้าที่ขาวผ่องของอันโหรวกลับแดงขึ้นมา ก่อนจะผลักหลินจือเซี๋ยวออก “เธอออกไปทำงานเดี๋ยวนี้เลย!”
“อย่า! โหรวโหรวเธอบอกสิว่าความคิดฉันเป็นยังไง เลือดของสัตว์ร้ายเดือดพล่านไหม?” หลินจือเซี๋ยวมองเธออย่างตั้งตาคอย ก่อนจะพบว่าใบหน้าของเธอแดงก่ำและยิ้มอย่างไม่สนใจ
“เลือดสัตว์ร้ายนั่นเป็นเขาที่มี ไม่ใช่ฉันสักหน่อย” เธอจะทำตามที่หลินจือเซี๋ยวบอกได้ยังไง
อันโหรวมองไปที่เธอพลางยิ้มอย่างอวดดี จู่ ๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากนั้นก็กระตุกขึ้น “ฉันจำได้ว่าเธอดูไร้เดียงสา แต่ช่วงนี้เป็นเพราะฉีเซิ่งเทียนมาใกล้เธอเกินไปหรือเปล่านะถึงได้มีด้านมืดแบบนี้?”
เมื่อเธอได้ยินชื่อฉีเซิ่งเทียนขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินจือเซี๋ยวก็หายไป “ฉันกับเขาไม่ได้อยู่กันใกล้ นอกจากเวลางาน”
“เธอคิดว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร? หรือว่าพวกเธอแอบ…..”
“เปล่าสักหน่อย ขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ช่วงนี้ฉันยุ่งจนหัวหมุนไปหมด จะมีเวลาไปสนใจเขาได้ยังไง!” หลินจือเซี๋ยวค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกไปเพราะเธอต้องไปทำงานต่อจริง ๆ
“งั้นก็หมายความว่ารอให้เธอว่างแล้วถึงจะค่อย ๆ สนใจเขางั้นใช่ไหม?” อันโหรวเริ่มพูดจี้ปมเธอไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่เหลือบมองมาเลยสักนิด
“โหรวโหรว! ฉันยุ่งจริง ๆ นะ นอกจากนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้จัดการฉีด้วย! ใครจะชอบม้าพ่อพันธุ์อย่างเขา สมองของฉันไม่ได้เหมือนลาที่ถูกเตะนะ!” หลินจือเซี๋ยวพูดจบก็หมุนตัวกลับไป เธอที่เพิ่งถอยเท้าก้าวไป เวลานี้ก็ต้องถอยอีกครั้ง
แต่คราวนี้ถอยไปที่อันโหรว พวกเธอยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ไหม? ทำไมถึงไม่เตือนว่าฉีเซิ่งเทียนนั้นอยู่ด้านนอก แล้วยังปล่อยให้เธอพูดถึงเขาออกมาแบบนั้นอีก
ม้าพ่อพันธุ์ที่ว่า….
เขาคงไม่ได้ยินหรอกใช่ไหม!
แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่มืดมนของฉีเซิ่งเทียน หลินจือเซี๋ยวก็คิดอยากจะย้อนเวลากลับไป เธอจะไม่พูดไปแบบนั้นเด็ดขาด
ครั้งนี้เธอถูกโหรวโหรวทำลายจนน่าเวทนา!
“เลขาหลิน คุณรู้ไหมว่าที่เมือง A มีลาอยู่ที่ไหน?” ฉีเซิ่งเทียนมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอพลางยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
“ไม่มีหรอก! ตอนนี้จะมีลาที่ไหนกัน น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วด้วยซ้ำ!” หลินจือเซี๋ยวมองไปที่อันโหรวอย่างจริงจัง “โหรวโหรวมันสูญพันธุ์ไปแล้วใช่หรือเปล่า?”
“ฉันไม่ได้รอบรู้เรื่องสัตว์นะ แต่ฉีเซิ่งเทียนน่าจะเข้าใจดีแน่ ๆ เธอออกไปคุยกับเขาข้างนอกต่อก็ได้นะ! ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะเลย” อันโหรวผลักหลินจือเซี๋ยวจากด้านหลัง “พวกเธอค่อย ๆ คุยกันนะ”
“พี่สะใภ้นี่ช่างมีน้ำใจเสียจริง ฉลาดและใจกว้างมาก!” ฉีเซิ่งเทียนมองดูหลินจือเซี๋ยวที่ก้าวเดินเหมือนเต่า ครั้งก่อนก็ลากเธอไป เธอเดินออกมาจากห้องทำงานของอันโหรว
“ผู้จัดการฉี ผู้จัดการฉีคะ ฉันขอถอนคำพูด คุณไม่ใช่ม้าพ่อพันธุ์หรอก ไม่ใช่จริง ๆ นะ! คุณปล่อยฉันจะได้ไหม?” หลินจือเซี๋ยวก้มหน้าลงมองมือของเขาที่จับเธออยู่ เธอคือคนที่กำลังยุ่งอยู่นะ!
คำนั้นเธอไม่คิดว่าจะพูดออกมาต่อหน้าเขา!
ปัง! เสียงปิดประตูห้องทำงานของหลินจือเซี๋ยวดังขึ้น ฉีเซิ่งเทียนผลักเธอไปที่ประตูทันทีที่เธอหันกลับมา
หลินจือเซี๋ยวเงยหน้ามองไปที่มือซ้ายของฉีเซิ่งเทียน ก่อนจะหันกลับมามองที่มือขวาของฉีเซิ่งเทียนอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา “ผู้จัดการฉี ฉันขอโทษจริง ๆ คุณปล่อยฉันก่อนได้ไหม?”
“ปล่อยเธอไป?” ฉีเซิ่งเทียนขยับเข้าไปใกล้เธอและมองอย่างช้า ๆ เมื่อก่อนไม่เคยมองเธออย่างละเอียด จนวันนี้ได้มองเธอในระยะประชิดแบบนี้ก็พบว่าเธอดูสวย ผิวพรรณดูสุขภาพดี ขาวและดูอ่อนโยน ริมฝีปากบาง ๆ ทาลิปสติกสีชมพูระเรื่อ และเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นพีชจาง ๆ จากเธอด้วย