อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 289 ทำท่าทางเหมือนกับคุณตา
ตอนที่ 289 ทำท่าทางเหมือนกับคุณตา
หลินจือเซี๋ยวดึงผ้าห่มออกจากร่างกายเขา ก่อนจะวางรองเท้าแตะไว้ที่ข้างเตียง “ผู้จัดการฉี!?”
“ประคองฉันด้วย” ฉีเซิ่งเทียนมองเธออย่างเหม่อลอย ทำท่าทางเหมือนกับคุณตา
ได้ เธอจะช่วยประคองก็พอ!
แค่ช่วยเขาประคองตัวขึ้นและก็พาเข้าไปที่ห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ ที่ด้านนอก แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว “ผู้จัดการฉี งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ……..”
หลังจากที่หลินจือเซี๋ยวกลับหลังหันเดินไปสองก้าว จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกเขาดึงเอาไว้อีกแล้ว แถมแรงก็ยังเยอะอีก คิดอยากจะให้เธอช่วยพยุงทั้งหมดเลยหรือยังไงกัน?
“ฉันยังไม่เสร็จเลย เธอคิดจะไปไหน?” ฉีเซิ่งเทียนพยายามใช้แรงนิดหน่อย หลินจือเซี๋ยวตอนนี้ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นลูกเจี๊ยบ เขาเลยต้องจับตัวเธอกลับมาก่อน
ปัญหาที่ต้องให้ช่วยนี่มันเป็นปัญหาส่วนตัวของเขาไม่ใช่หรือยังไง
ยังจะคิดให้เธอช่วยประคองอีกเหรอ!?
มันมีอะไรผิดปกติบ้างไหม เธอเป็นสาวโสดที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยังจะมาคิดให้เธอประคองมันอีกเหรอ?
หลินจือเซี๋ยวหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ แม้ใบหน้าจะแดง แต่ไม่ว่าตอนนี้อะไรจะผ่านเข้ามาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณใบหน้าไปยันใบหูของเธอนั้นแดงก่ำไปหมดแล้ว
คิดอยากจะหนีออกจากที่นี่จริง ๆ
“ผู้จัดการฉี ฉันขอตัวออกไปก่อนได้ไหมคะ คุณจับฉันแรงแบบนี้ คงไม่จำเป็นต้องให้ฉันช่วยประคองแล้วมั้งคะ” เธอไม่มีความคิดอยากจะประคองมันสักนิด
“ฉันมีแรงจะจับเธอ แต่แรงประคองไม่มี” ฉีเซิ่งเทียนบีบข้อมือของเธอด้วยแรงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “หันหลังกลับมานี่!”
ตัวเธอสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยด้วยเสียงอันเบา “ผู้จัดการฉีได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะค่ะ…….”
หลินจือเซี๋ยวไม่มีทางคิดจะหันหลังกลับไปแน่ และก็ไม่คิดจะประคองด้วย
“หลินจือเซี๋ยว เธอนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ” ฉีเซิ่งเทียนหันหน้าไปมองเธอ ก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ ดูท่าทางเธอแบบนี้ช่างดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เสียจริง ๆ……..
ฉีเซิ่งเทียนเริ่มหวนความคิดตัวเองว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงได้ทำให้เธอตกใจแบบนี้
ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอออก “ฉันยังกินไม่อิ่มเลยนะ”
“ที่โต๊ะยังมีเหลืออยู่ค่ะ อีกเดี๋ยวค่อยเอามาให้คุณอีกที” ตราบใดที่เขาไม่กินเธอ ไม่ว่าอะไรก็ตามเธอย่อมให้ได้
เมื่อเธอรู้สึกถึงมือที่คลายออกแล้ว เธอก็รีบชักมือกลับ ก่อนจะรีบหนีออกจากตรงนั้นทันที เมื่อออกไปแล้วเธอก็รีบปิดประตูด้วยความรวดเร็ว
ฉีเซิ่งเทียนเมื่อออกไปได้สักพักก็พบว่าหลินจือเซี๋ยวกำลังถือผ้าห่มที่สะอาดสะอ้านอยู่บนเตียง ส่วนตอนนี้ผ้าห่มที่เลอะก็ถูกโยนทิ้งไว้บนโซฟาด้วยสภาพที่น่าสังเวช
หลินจือเซี๋ยวตอนนี้ไม่มีทางมองหน้าเขาแบบตรง ๆ ได้ แต่เธอก็ยังแสร้งทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา “มีข้าวต้มฟักทอง ขนมปังไส้หมูหย็อง ขนมปังปิ้ง แล้วก็นม คุณคิดอยากจะกินอะไรคะ?”
ฉีเซิ่งเทียนเดินไปตรงหน้าเธอ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เตียงและเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ฉันอยากกินทั้งหมดนั่นแหละ”
รวมถึงเธอด้วยนะ……..
ที่ตอนนี้ทำได้แค่มอง แต่กินไม่ได้!
“ได้ค่ะ! แต่กินอะไรก่อนดีคะ?”
กินเธอก่อนนั่นแหละ!
“อะไรก็ได้!” ฉีเซิ่งเทียนพูดด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเล็กน้อย
หลินจือเซี๋ยวรู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีทางจบสิ้นแน่ ๆ ก่อนจะรีบยกข้าวต้มไปตรงหน้าเขา ก่อนจะเอนตัวทำท่าทางจะป้อนเขา ดูท่าทางแบบนี้มันเหมือนกับคนตรงหน้ากลายเป็นคนพิการเสียจริง ๆ
“ฉันกินแล้ว เธอก็กินบ้าง ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอกินแล้วจะได้มีแรงช่วยดูแลฉันได้” ฉีเซิ่งเทียนพยายามจะหยิบชามมาจากมือของเธอ ก่อนจะก้มลงกินอย่างจริง ๆ จัง ๆ พลางหันหน้าไปหยุดมองที่เธอ
ฉีเซิ่งเทียนเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?
แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม เธอก็รู้สึกหิวขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ
เมื่อคิดได้สักพักหนึ่งก็หยิบขนมไส้หมูหย็องมากัดคำหนึ่ง ความเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้าเพิ่งจะได้หยุดพักลงเมื่อครู่นี้เอง
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ฉีเซิ่งเทียนก็ได้กินยาต่อ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินลงไปที่ชั้นล่างด้วยกัน
อันโหรวจูงมือหยางหยางกับหน่วนหน่วนกลับมาจากการปั้นหิมะเล่นที่ด้านนอก เมื่อเข้ามาด้านในก็ได้เห็นฉีเซิ่งเทียนที่พันผ้าพันแผลไปทั่วหัว ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองยังหลินจือเซี๋ยว สายตาล้วนแฝงไปด้วยคำถามอย่างเห็นได้ชัด
หลินจือเซี๋ยวเมื่อเห็นเธอก็เหมือนกับเห็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เธอแทบจะพุ่งตัวเข้าไปหาอันโหรวทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าว เธอก็ไม่อาจขยับเขยื้อนออกจากจุดนั้นได้
เพราะฉีเซิ่งเทียนคว้าเสื้อของเธอไว้และพูดขึ้นว่า “คิดจะไปไหน?”
เธอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะมองไปที่หยางหยางและหน่วนหน่วนและพูดว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับหยางหยางและหน่วนหน่วน ตอนนี้คุณไม่เป็นอะไรแล้วนี่”
ตั้งแต่เช้าเธอก็รับใช้เขามาตลอดเลยนะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพักผ่อนสักหน่อย
“น้าจือเซี๋ยว พวกน้า….” หน่วนหน่วนเดินก้าวเท้าน้อย ๆ ไปหา ก่อนจะมองขึ้นไปยังฉีเซิ่งเทียนด้วยท่าทางสงสัยที่ตอนนี้กำลังจับเสื้อของหลินจือเซี๋ยวเอาไว้ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณลุงฉีรังแกคุณน้าจือเซี๋ยวเหรอคะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กน้อย ฉีเซิ่งเทียนก็รีบปล่อยมือทันที ก่อนจะยิ้มและมองไปที่เธอ “หน่วนหน่วนตัวน้อย คุณลุงไม่ได้รังแกนะ”
แค่ตอนเช้าเกือบจะได้แกล้งแล้วเท่านั้นเอง!
หลินจือเซี๋ยวรับรู้ดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ารังแกหรอก แต่เรียกว่าทาสรับใช้ต่างหาก!
“อ้อ…..” หน่วนหน่วนเอ่ยเสียงอย่างดูชาญฉลาด ก่อนจะดึงหยางหยางให้เข้ามาหาและมองหาจิ่งเป่ยเฉิน
ส่วนทางด้านฉีเซิ่งเทียนที่อยู่ทิศเดียวกับเขาก็ทำท่าทางเดียวกัน ก่อนที่จะปล่อยให้หลินจือเซี๋ยวกับอันโหรวมองหน้ากันและกัน
“โหรวโหรว วันนี้เธอเห็นโอวหยางลี่หรือเปล่า?” เธอจำได้แม่นเลยว่าเมื่อคืนห้องของเธอถูกเคาะประตูอย่างหนัก ส่วนตอนเช้าเธอก็มีเรื่องยุ่ง ๆ ต้องจัดการเลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้
“เมื่อคืนถูกส่งตัวกลับออกไปแล้ว!” หมิ่นลี่ที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรจู่ ๆ ก็เอ่ยตอบพวกเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” อันโหรวจู่ ๆ ก็มองไปยังฉีเซิ่งเทียนที่ถูกผ้าพันแบบนั้น
หลินจือเซี๋ยวแค่เอ่ยอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ากับฉีเซิ่งเทียนเธอไม่ได้อธิบายอะไรออกไป เพราะคิดว่าโหรวโหรวไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
“หลินจือเซี๋ยว มานี่ที!” อันโหรวยังไม่ทันได้เอ่ยแสดงความคิดเห็นก็ได้ยินเสียงของสามีดังขึ้น
“โหรวโหรว เธอจะทิ้งฉันเหรอ?” หลินจือเซี๋ยวดึงแขนของอันโหรวไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหา
ส่วนทางด้านฉีเซิ่งเทียนที่ตอนนี้กำลังเอนหลังนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าของเขานั้นดูซีดเซียว แต่ช่วงเวลานั้นจู่ ๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ทำให้หลินจือเซี๋ยวแอบคิดว่าพายุกำลังจะเข้าถล่มอาคารแน่ ๆ
หน่วนหน่วนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนตักของจิ่งเป่ยเฉิน ใบหน้าน้อย ๆ ยิ้มอย่างมีความสุขล้น ขณะที่ดวงตาของเขากำลังเหลือบมองเธอ อันโหรวก็กะพริบตาและโบกไม้โบกมือให้กับคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
“เธอใช้แจกันทุบที่หัวของฉีเซิ่งเทียนเหรอ…..” จิ่งเป่ยเฉินหยุดพูดสักพัก ก่อนจะพูดตรง ๆ ไปว่า “จะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตดี?”
“ประธานจิ่ง ฉันขอถามได้ไหมว่าเท่าไรคะ?” จะเงินสดหรือบัตรเครดิตอะไรก็ได้ ตอนนี้เธอยอมจ่ายหมดนั่นแหละ
เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินทำท่าจะขยับปาก อันโหรวก็ปล่อยแขนของหลินจือเซี๋ยวทันที ก่อนจะเดินไปหาเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ที่รัก แจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นช่างมันเถอะนะ……………”
“พี่สะใภ้ นั่นไม่ใช่แจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ มันเป็นลายดอกไม้ที่มีมูลค่ามาก ป้าจิ่งเองก็ชอบมากด้วย” ฉีเซิ่งเทียนเอ่ยเสริมและพูดว่า “อีกอย่างหัวผมปวดจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็จ่ายมันแทนละกัน! แจกันนั้นโดนที่หัวคุณจนแตกเองนี่” อันโหรวเหลือบสายตามองที่เขา รู้ดีว่าพูดต่อไปคงไม่ได้ต่อรองแน่ ๆ
“ผมถูกตีเข้าที่หัว และผมก็ต้องจ่ายด้วย? พี่สะใภ้ไม่ใช่แบบนี้นะ!” ฉีเซิ่งเทียนชี้ไปยังผ้าพันแผลที่หัว “เห็นหรือเปล่า เส้นผมของผมก็ต้องถูกตัดไปเนี่ย!”
“อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดของฉันเอง ถ้าหากปีนี้ไม่เกิดเรื่องขึ้น ฉันก็คง…..” เธอสื่อถึงเรื่องงานที่ได้รับเยอะกว่าเก่า อีกทั้งยังรู้สึกถึงแรงกดดันของชายที่อยู่ข้าง ๆ ด้วย มันทำให้เธอดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
หลินจือเซี๋ยวมองไปที่อันโหรวด้วยท่าทางที่คาดหวัง แต่เธอก็เอ่ยคำพูดต่อไปว่า “ในเมื่อเป็นสิ่งที่แม่สามีชอบ งั้นพวกเธอก็จ่ายมาคนละครึ่งละกัน!”
คนละครึ่งแบบนี้เธอก็จ่ายไม่ไหวหรอกนะ!
“ให้พี่เฉินแยกเก็บไปเลยละกัน เอาแบบนี้! ผมจะจ่ายให้ก่อนละกัน ส่วนหลินจือเซี๋ยว เธอเป็นหนี้ฉันนะ นับตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นเจ้าหนี้เธอเอง เธอรู้ใช่ไหม?” ฉีเซิ่งเทียนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนที่จะรู้สึกว่าที่หัวตัวเองไม่เจ็บแล้ว หนำซ้ำร่างกายยังรู้สึกได้ถึงกำลังวังชาที่เริ่มกลับมาแล้ว
หลินจือเซี๋ยวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับว่าตกหลุมพรางยังไงไม่รู้….
ถึงแม้จะถูกฉีเซิ่งเทียนรังแกก็ช่าง แต่โหรวโหรวไม่คิดที่จะช่วยเลยสักนิด น่าสงสารที่ตัวเธอนั้นเป็นเลขาตัวน้อย ๆ ที่ไม่อำนาจมากพอที่จะต่อกรกับพวกเขาได้เลยสักนิด ทำได้เพียงกลายเป็นเหยื่อให้พวกเขาจัดการ