อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 292 แล้วเธอจะทำยังไง?
ถ้าหากว่าเกี่ยวข้องกับจิ่งเป่ยเฉินจริง ๆ
แล้วเธอจะทำยังไง?
หยางหยางกับหน่วนหน่วนจะทำยังไง?
จู่ ๆ ก็เกิดแรงกดดันมหาศาลที่หนักหน่วง ส่งผลให้ตัวเธอรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที
อันโหรวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ดูหิมะที่กำลังเริ่มลอยปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ดูเหมือนราวกับว่าโลกใบนี้กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
ถ้าหากจิตใจของมนุษย์นั้นบริสุทธิ์แบบนี้ โลกใบนี้จะเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า?
เธอก้มหน้าลงฟุบไปที่โต๊ะ ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่วิเวียนกับอวี๋กุ่ยห่าวออกจากห้องไป ภายในหัวของเธอมีเพียงแค่ประโยคเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว นั่นคือไม่อนุญาตให้แต่งงานกับจิ่งเป่ยเฉิน!
ไม่ใช่ห้าม แต่กลับเป็นไม่อนุญาต! เป็นประโยคคำสั่งที่ดูราบเรียบ
นั่นคือข้อความที่ได้รับจากแม่ของเธออย่างนั้นเหรอ…..?
ทันใดนั้นเองเธอก็ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเดินเข้ามา มันหนักแน่นดูเหมือนน่าจะไม่ใช่วิเวียนหรืออวี๋กุ่ยห่าว เมื่อเธอหันหน้าไปมองก็พบว่าเป็นจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังเดินมาทีละก้าวด้วยท่าทีที่เย็นชา
ใบหน้าเขาเคร่งขรึมเช่นเคย ก่อนหน้านี้เธอก็เคยเห็นมันเป็นประจำ ทั้งยังรู้จักมันดี หรือว่าห้าปีก่อนหน้านั้นเธอจะยังไม่รู้จักมันอย่างชัดเจนมากพอ ห้าปีหลังเลยทำให้สายตาของเธอมองผิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แต่เดิมทีเธอไม่เคยเอาเขามาในสายตามาก่อนเลยด้วยซ้ำ
จิ่งเป่ยเฉิน นี่นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า?
“โหรวโหรว…….”
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอที่ดูนิ่งสงบ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมโหรวโหรวของเขาถึงได้มองมาด้วยสายตาที่ดูห่างเหินและไม่แยแสแบบนี้
“นายหาฉันเจอได้ยังไง?” เธอไม่ได้รับโทรศัพท์ ส่วนวิเวียนกับอวี๋กุ่ยห่าวเองก็ไม่น่าจะขายเธอให้เขาแน่ ๆ
“ติดตั้ง GPS ไว้ในรถก็เจอแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เธอ ก่อนจะเอนตัวลง และเอามือไปแตะที่หน้าผากของเธอ
ช่วงขณะที่มือของเขาแตะหน้าผากของเธอ เธอก็เบือนหน้าหนีทันที คนปกติที่ไหนจะมานั่งติด GPS ไว้ในรถแบบนี้กัน?
“โหรวโหรว…….” เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?
“ฉันไม่เป็นไร มีเรื่องการออกแบบที่ฉันจำเป็นต้องปรึกษากับพี่สาวของฉันก่อน วันนี้อาจจะไม่กลับนะ” เธอต้องคิดเรื่องพวกนี้ให้ดี ๆ ก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นจิ่งเป่ยเฉินก็ก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา “งานสำคัญก็จริง แต่ร่างกายก็สำคัญเช่นกัน เธอเป็นเลขาของฉัน ไม่ใช่นักออกแบบเสียหน่อย”
“นายปล่อยฉันนะ!” มือเล็ก ๆ ของเธอพยายามจะตบตีตัวของเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด
ใบหน้าที่หล่อเหลาและดูเย็นชาของเขาในตอนนี้ดูน่าหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย เมื่อเธอนึกถึงประโยคนั้น จิตใจของเธอก็เริ่มสั่นสะท้านแปลก ๆ
“จิ่งเป่ยเฉิน นายปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” เธอยังไม่คิดอยากจะกลับไป ยังไม่คิดอยากจะเผชิญหน้ากับเขาเลยสักนิด
เธอไม่อยากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ
“เธอฝันไปเถอะ!” จิ่งเป่ยเฉินเดินลงบันไดพร้อมกับอุ้มเธอไปด้วยโดยไม่แม้แต่จะหรี่ตามองลงมา ทางด้านวิเวียนกับอวี๋กุ่ยห่าวก็ทำได้แค่มองดูพวกเขาเดินออกไป
“อาจารย์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” อวี๋กุ่ยห่าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอก” เรื่องพวกนั้นโหรวโหรวไม่มีทางพูดออกไปแน่ ส่วนเรื่องข้าวของที่เธอไม่ได้เอาไปด้วย ดูท่าพรุ่งนี้เห็นทีคงต้องเอาไปให้เธอซะแล้ว
ภายในรถที่ด้านนอก อันโหรวถูกจิ่งเป่ยเฉินขังไว้ในรถอย่างแน่นหนา ส่วนทางด้านเสี่ยวหยางก็รีบขับรถออกจากบ้านพักของวิเวียนทันทีที่พวกเขามาถึงที่รถ
“จิ่งเป่ยเฉิน นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ! ฉันบอกว่ามีเรื่องต้องทำไง!” เธอพยายามอย่างหนักที่จะสลัดให้หลุดพ้นจากที่เป็นอยู่ แต่ก็ถูกเขาจับไว้อย่างแน่นหนา ยากที่จะหลุดพ้นออกไปได้
“ของพวกนั้นพรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็ได้ คืนนี้คิดไม่อยากกลับบ้าน ใครให้อำนาจกับเธอกัน?” เธอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง ตอนที่โทรศัพท์ไปแล้วเธอไม่ยอมรับโทรศัพท์แบบนั้น
ถ้าหากเป็นปกติก็ว่าไปอย่าง แต่โหรวโหรวของเขาไม่ใช่พวกที่ทำเรื่องหุนหันพลันแล่นอะไรพวกนี้แน่ ๆ แค่เขามองไปที่ดวงตาของเธอเพียงแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าเธอนั้นมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ปิดบังเขาอยู่
“ฉันแต่งงานแล้วจะไม่มีอิสระอะไรบ้างเลยเหรอ? จิ่งเป่ยเฉิน มันจะมีแบบนายที่ไหนกัน? รู้หรือเปล่าในเมื่อแต่งงานแล้วแบบนี้ ฉันสามารถฟ้องหย่าในเรื่องที่นายบังคับให้ฉันแต่งงานยังได้เลยนะ!” เธอตะโกนเสียงดัง ถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังไปทั่วขนาดนั้น แต่ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินได้ยินคำว่าฟ้องหย่า เขาก็เอื้อมมือเข้าไปกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเอนตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของเธอและพูดเสียงต่ำว่า “เธอก็ลองดูสิ ทั่วทั้งเมือง A ใครจะกล้ารับคดีของเธอกัน!”
“ทั่วทั้งเมือง A อาจจะไม่มีคนกล้า แต่ไปที่ต่างประเทศก็ได้ ดูสิว่านายจะมีอำนาจล้นฟ้านอกเหนือประเทศอีกหรือเปล่า!”
“อันโหรว……..” เธอไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่ เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด แต่นี่เธอกลับเอ่ยคำว่าหย่าเสียใหญ่โตขนาดนี้ออกมา
อันโหรวที่ได้ยินเสียงของเขา ตัวของทั้งสองคนอยู่แนบชิดติดกันขนาดนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมรู้สึกได้ถึงหน้าอกของเขาที่สั่นไหวอย่างรุนแรง ความรู้สึกนี้มันทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
มันดูคล้ายราวกับมีเมฆหมอกมาปิดบังขวางกั้นไว้ที่ด้านหน้า ไม่ว่าเธอจะพยายามหนีออกไปแค่ไหนก็ไม่อาจจะหนีพ้น
“ฉันบอกไปแล้วว่ามีเรื่องต้องทำเล็กน้อย นายจำเป็นต้องเสียเวลามาหาฉันด้วยงั้นเหรอ ส่วนในรถที่มี GPS ติดอยู่ จิ่งเป่ยเฉิน นายคิดจะปกป้องฉันจากใครกัน?” เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังแอบรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย
“ปกป้องไม่ให้เธอหลงทางหายไป” จิ่งเป่ยเฉินกัดฟันพลางเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“คนอย่างฉันเนี่ยนะจะหลงทาง? จิ่งเป่ยเฉิน อย่ามาพูดจาชวนตลกจะดีกว่านะ” ตอนนี้ภายในจิตใจของเธอก็ยุ่งเหยิงมากพอแล้ว
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” จิ่งเป่ยเฉินรีบเอ่ยถามทันที
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายหรอก!” เธอตอบอย่างหงุดหงิดกลับไป
“งั้นฉันก็ยิ่งอยากรู้” ต่อให้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนอื่นก็ได้
อันโหรวเม้มริมฝีปาก ไม่คิดอยากจะพูดอะไร ทั้งยังคิดอยากจะนอนหลับ ตอนนี้รู้สึกได้แค่ว่าเหนื่อย คิดอยากจะนอนหลับให้สบาย ๆ เพื่อพักความคิด แต่ก็คงไม่มีทางที่จะนอนหลับในอ้อมแขนของเขาแน่ ๆ
“ช่วยปล่อยฉันก่อนจะได้ไหม?” เขากอดแน่นไปแล้วจริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินผ่อนคลายแรงลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย
ทางด้านอันโหรวก็พยายามฝืนรั้งไม่ให้ตัวเองนอนหลับ แต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านและได้เห็นหยางหยางกับหน่วนหน่วน เธอก็กลายเป็นเช่นปกติ ไม่มีอะไรเหมือนเมื่อครู่นี้เลยสักนิด ภายในบ้านมีเพียงแต่ตัวของจิ่งเป่ยเฉินเท่านั้นที่ยังดูคล้ายกับเครื่องทำความเย็น
เนื่องจากเขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโหรวโหรวกันแน่ เขาเลยเดินขึ้นไปที่ชั้นบนและโทรหาฉีเซิ่งเทียนเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ทันที
ผลจากการตรวจสอบก็บอกกับเขาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่มีผลลัพธ์ หลังจากที่กลับบ้านมาได้ไม่นานเขาก็ออกไปข้างนอก ซึ่งอันโหรวเองก็ออกไปเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นที่บ้านของวิเวียน ไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขาเท่านั้น
แต่วิเวียนกับอันโหรวคงไม่มีทางปริปากพูดแน่ ๆ
จิ่งเป่ยเฉินหลังจากที่ได้ฟังคำตอบ เขาก็หลับตาลง “ห้องทำงานของโหรวโหรว……เฝ้าระวังไว้ที”
“พี่เฉิน แน่ใจเหรอ? ตามอารมณ์ของพี่สะใภ้ ถ้าหากเธอรู้ว่าที่ห้องทำงานมีการเฝ้าระวังไว้ละก็ เธอคงจะ….”
“จะฟังเธอหรือฟังฉัน?”
“ฟังพี่สิ ฟังพี่อยู่แล้ว!” ฉีเซิ่งเทียนรีบวางสาย ก่อนจะเดินไปติดตั้งกล้องวงจรปิดด้วยตัวเองอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก เนื่องจากเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา คงไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้เรื่องนี้แน่ ๆ
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินลงมาจากห้องหนังสือก็พบกับคนที่สวยงดงามไม่ได้อยู่ภายในห้องโถง มีเพียงหยางหยางที่ยังนั่งกินข้าวอยู่ในห้องครัว
“แม่จ๋าไปไหน?” เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะอาหาร เห็นได้ชัดว่าอันโหรวกับหน่วนหน่วนกินข้าวเสร็จแล้ว
“แม่จ๋าพาน้องไปที่ห้องครับ” หยางหยางยังคงกินอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทีที่สุภาพ ก่อนจะเหลือบสายตามองไปที่เขา “พวกพ่อทะเลาะกันเหรอ?”
“เปล่าหรอก!” คำตอบสะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว
“พ่อทำให้แม่จ๋าโกรธนะ” หยางหยางวางมีดกับส้อมในมือลง ก่อนจะเอากระดาษทิชชูมาเช็ดที่ปาก “ดูแม่จ๋าจะไม่สนใจพ่อเลยตอนที่กลับมา”
“จิ่งอันหยาง!”
“พ่อจ๋าเรียกชื่อผมไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ลองกลับไปคิดดูดี ๆ นะ!” หยางหยางลงจากเก้าอี้ ปล่อยให้จิ่งเป่ยเฉินอยู่คนเดียว
จิ่งเป่ยเฉินตอนนี้ได้แต่เหม่อลอยมองไปที่โต๊ะอาหารตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่กันหมด แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังอยู่เพียงลำพัง!
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะกินเลยแม้แต่น้อย เขาจึงลุกขึ้นและเดินออกไป
เมื่อกลับมาที่ห้องหลังจากอาบน้ำเรียบร้อย จิ่งเป่ยเฉินก็นั่งอยู่ที่ข้างเตียงเพื่อรอโหรวโหรวกลับมา แต่สองชั่วโมงกว่าแล้วก็ยังคงมีแค่เขาที่อยู่ห้องที่ว่างเปล่านี้