อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 299 ฉันดีใจมากนะที่เธอหึงฉันขนาดนี้
ตอนที่ 299 ฉันดีใจมากนะที่เธอหึงฉันขนาดนี้
“ฉันดีใจมากนะที่เธอหึงฉันขนาดนี้” แต่เวลาหึงจำเป็นต้องทำท่าทางแบบนั้นใส่เขาด้วยงั้นเหรอ?
ตอนนั้นสายตาที่มองเขาในเวลาโกรธ มันดูเหมือนเธอจงใจมองเขาด้วยสายตาที่เมินเฉยและไม่แยแสมากกว่า……..
เมื่อเขาเห็นสายตาแบบนั้นเข้า ข้างในจิตใจของเขาก็อยู่ไม่เป็นสุข มันคล้ายว่าเธอกำลังคิดจะทิ้งเขาไปอีกครั้ง
“นายดีใจ แต่ฉันไม่ดีใจนะ!” เธอใช้ข้อศอกแตะไปที่เขาเบา ๆ “รีบพูดมาเร็ว!”
จิ่งเป่ยเฉินยังคงสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเธอไม่ยอมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ เขาก็จนปัญญา ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
ตอนนี้หยางหยางกับหน่วนหน่วนกำลังนอนอยู่บนเตียง และเธอเองคงไม่มีทางยอมออกไปไหนแน่ ๆ
บางทีเขาอาจจะดูผิดไปก็ได้
มันแค่อาจจะ……
“เหลียวเว่ย” เขาพูดออกมาแค่สองคำ ดวงตาสีดำเข้มของเขาที่ดูเฉียบคมปรากฏขึ้นทันที กล้าแตะต้องลูก ๆ ของเขา คงคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตมานานเพียงพอแล้วสินะ
เมื่อได้ยินสองคำนี้ อันโหรวก็เอนหลังพิงตัวเขาทันที ทำท่าราวกับหมดเรี่ยวแรง เธอคิดอยู่แล้วว่ามันอาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นความจริง
“มันน่าดูถูกจริง ๆ ………” เธอพูดด้วยคำพูดที่เย็นชา “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ฉีเซิ่งเทียนบอกว่าออกจากประเทศไปแล้ว ตอนนี้กำลังตามหาอยู่” ต่อให้ไปไกลสุดขอบฟ้า เขาก็จะจับตัวเธอกลับมาให้ได้
อันโหรวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปมาระหว่างสองเตียงผู้ป่วย เธอมองไปที่ใบหน้าของหยางหยางและหน่วนหน่วนที่กำลังหลับสนิท ภายในใจเธอก็รู้สึกราวมีเลือดไหลรินออกมา
ความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ มันรู้สึกเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บเสียอีก
เหลียวเว่ยนี่ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จิ่งเป่ยเฉินเดินมาข้างหลังของเธอ ก่อนจะโอบกอดเธอด้วยท่าทางที่เงียบสงบ ทุกอย่างล้วนแล้วเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ
อันโหรวคิดอยากจะทำอาหารด้วยตัวเองเพื่อให้หยางหยางกับหน่วนหน่วนได้กิน เธอกับจิ่งเป่ยเฉินจึงออกไปก่อน โดยมีหมอและพยาบาลคอยเฝ้า พร้อมกับบอดี้การ์ดที่อยู่เฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเขาจึงเบาใจขึ้นเยอะ
เมื่อออกจากแผนกผู้ป่วยในด้วยลิฟต์ไป ตัวของเธอก็ถูกจิ่งเป่ยเฉินจับเอาไว้แน่น ลมเย็น ๆ พัดผ่านไปเพราะหิมะเพิ่งตกกลับไม่ได้มีผลอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย
“โหรวโหรว!”
อันโหรวเงยหน้าขึ้นไปมอง ดวงตาของโอวหยางลี่ก็พลันส่องเป็นประกาย ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาหาพวกเขา ขณะที่เฉาลี่เฟยซึ่งไม่ได้เห็นหน้ามานานก็เดินเคียงข้างมาด้วยกัน
“ขอโทษด้วย พวกเราไม่มีอะไรต้องพูด!” อันโหรวไม่อยากจะมาเสียเวลากับเขาที่นี่ เธอคิดอยากจะให้หยางหยางกับหน่วนหน่วนที่ฟื้นมาได้กินอาหารที่เธอทำ
ดวงตาจิ่งเป่ยเฉินเผยไอเย็นออกมา ก่อนจะยิ้มจาง ๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา และพูดออกไปว่า “ประธานโอวหยางดูท่าคุณจะยังไม่รู้สินะว่าอะไรที่เรียกว่าความแตกต่างของสถานะกันและกัน คุณเรียกภรรยาของผมอย่างใกล้ชิดแบบนี้ แสดงว่าคุณคงไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลย?”
โอวหยางลี่มองไปที่ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินอย่างเย็นชา ก่อนจะหยุดก้าวเท้าและมองดูอันโหรว เขาไม่เคยได้มองโหรวโหรวในช่วงที่เธออ่อนโยนเลยสักครั้ง
คนตรงหน้ายังคงเป็นประธานจิ่งที่มีทั้งขั้วขาวและขั้วดำ ความแข็งแกร่งของเขานั้น ตัวของเขาเองเทียบไม่ติดเลยสักนิด แต่สำหรับตัวเขากับโหรวโหรวที่เป็นคู่รักตั้งแต่วัยเด็กมาตั้งสิบปี คนตรงหน้ามีหรือจะมาเทียบกับเขาได้?
พวกเขาต่างหากที่เป็นคู่ครองที่ดีที่สุด
“โหรวโหรว เธอไม่สบายเหรอถึงได้มาอยู่ที่นี่?” โอวหยางลี่ไม่กล้าเดินเข้าไปข้างหน้า ทำเพียงส่งสายตาที่ห่วงใยไปที่โหรวโหรวแทน ราวกับว่าเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายหรอก! ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ช่วยอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีกละกัน ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รับรองนะว่าจะทำอะไรที่รุนแรงหรือเปล่า อีกอย่างมีจิ่งเป่ยเฉินอยู่ข้างฉันแบบนี้ นายลองดูหน่อยก็ได้ ถ้าหากคิดทำอะไรขึ้นมาละก็ ไม่ต้องคิดเรื่องกลุ่มโอวหยางกรุ๊ปจะหายไปจากเมือง A หรอก มันจะถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์เลยต่างหาก เพราะงั้นอยู่ให้ห่างฉันซะ!” เธอแค่อยากจะกลับไปบ้านเพื่อทำอาหารและซุปร้อน ๆ เธอไม่คิดอยากจะมาเจอคนคนนี้เลยด้วยซ้ำ
“โหรวโหรว เธอพูดจาใหญ่โตเกินไปแล้วนะ พวกเรากลุ่มโอวหยางล้วนแล้วอยู่เมือง A มาตั้งหลายปี ไม่มีทางทำได้หรอก!” เฉาลี่เฟยเห็นพวกเขาสองคนก็ทำท่ารังเกียจขึ้นมาทันที
ดูท่าเธอจะคิดถูกแล้วที่ไม่ให้อันโหรวกับลูกชายของตนแต่งงานกัน ไม่แน่บางทีพอถึงตอนนั้น หลังจากแต่งงานกันไปแล้วมีหวังเธอได้เป็นดาบสองคมแน่ ๆ
“จะลองดูไหม?” จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบนิ่ง ไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ๆ
แต่เมื่อเขาเอ่ยปากพูดแบบนั้น แน่นอนว่าสามารถทำให้ผู้คนเชื่อถือได้
เฉาลี่เฟยเองก็มั่นใจ ถ้าหากตัวเองพูดอะไรออกไป มีหวังพรุ่งนี้ที่เมือง A กลุ่มโอวหยางไม่แน่อาจจะกลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และคงจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไปแน่ ๆ
“เร็ว ๆ นี้ผมเองก็มีระเบิดอยู่เต็มมือไปหมด คิดกำลังจะหาที่ทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ตัวนี้พอดี คิดไม่ถึงเลยว่าประธานโอวหยางจะเก่งขนาดนี้ ถึงขนาดส่งมันมาที่หน้าประตู คืนนี้ดูท่าคงต้องส่งคนไปจัดแจงหน่อยเสียแล้ว ประธานโอวหยางจะได้มีเวลาไปนั่งดูการล่มสลายของกลุ่มโอวหยางกรุ๊ปได้” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่อันโหรวก่อนจะพูดว่า “โหรวโหรว เธอคิดว่าแบบนี้ดีไหม?”
“ฉันก็คิดว่าดีเหมือนกันนะ แต่ทำร้ายคนไม่ดีเท่าไรหรอก อย่าลืมให้คนที่อยู่ข้างในออกมาก่อนละกัน” อันโหรวตอนนี้ไม่ได้รู้สึกใด ๆ กับพวกเขาอีกต่อไป
หยางหยางกับหน่วนหน่วนที่เกิดเรื่องขึ้นก็ทำให้เธอทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว
โอวหยางลี่ที่ได้ฟังคำพูดของเธอก็ยืนอึ้งอยู่เงียบ ๆ
โหรวโหรวของเขากลายเป็นคนที่โหดร้ายกับเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีทาง!
เฉาลี่เฟยเองก็เหมือนกัน ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงนี้ราวกับคนที่โง่เขลา มีคนพูดถึงเรื่องระเบิดอยู่ตรงหน้าเธอออกมาโต้ง ๆ แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย
นี่มันไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด!
จิ่งเป่ยเฉินเป็นปีศาจ! เป็นปีศาจที่ไม่อาจแตะต้องได้!
“โหรวโหรว ฉันรู้ว่าเธอกำลังล้อเล่น เธอมีนิสัยอ่อนโยนและจิตใจดีขนาดนั้นคงไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่ ๆ ฉันจะให้เธอไปก็ได้ เธอมีธุระสินะ ไปทำธุระของเธอก่อนก็ได้” โอวหยางลี่รีบเดินถอยไปด้านข้างทันที เมื่อครู่ที่พูดไปแบบนี้ จิ่งเป่ยเฉินคงไม่คิดจะทำอะไรแน่ ๆ
อันโหรวขี้เกียจเกินไปที่จะมองพวกเขา ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับจิ่งเป่ยเฉิน
หลังจากที่พวกเขาสองคนเดินออกไป เฉาลี่เฟยก็เดินมาถลึงตาใส่เขา “ฉันบอกแกแต่แรกแล้วนะว่าอันโหรวมันไม่เหมาะกับแกเลยสักนิดเดียว แต่แกกลับไม่ฟังที่ฉันพูดเลยสักคำ ผู้ชายที่อยู่ในใจเธอคนนั้นไม่ใช่แกอีกแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อห้าปีก่อนหน้านั้น พวกเขาอาจจะคบหากันมาก่อนหน้านั้นด้วยก็ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมีลูกด้วยกันถึงสองคนได้ยังไง แกมันจิตใจดีเกินไป ถึงได้ถูกเธอคนนั้นปิดบังและหลอกลวงแบบนี้”
โอวหยางลี่ไม่ได้ตอบกลับอะไรสักคำ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน วันนี้เขาถูกเฉาลี่เฟยดึงดันที่จะให้เขามาเยี่ยมเหอเหมียว
แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าการมาเยี่ยมคนจะทำให้ได้เจอสิ่งที่เขาปรารถนา นั่นคือโหรวโหรวเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ดูท่าคงต้องตรวจสอบหน่อยเสียแล้วว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม
ภายในลิฟต์ เฉาลี่เฟยก็ยังคงสั่งสอนเขาต่อ
“ลี่เอ๋อร์ ลูกฟังแม่ดี ๆ นะ ถึงเหอเหมียวจะมีศักดิ์ไม่เทียบเท่ากับตัวลูก แต่เธอก็อุ้มลูกของลูกอยู่นะ ในท้องของเธอมีเชื้อสายของพวกเราตระกูลโอวหยาง ลูกคงไม่คิดจะปล่อยให้เชื้อสายของลูกต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกใช่ไหม? ลูกคิดอยากจะไปหาคนไหนที่ด้านนอกก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยทะเบียนสมรสต้องมีนะ ต่อให้ถึงตอนนั้นจริง ๆ เมื่อแต่งไปแล้วค่อยหย่าก็ได้! อย่างน้อยหลานก็ต้องมีหน้ามีตาบ้าง!”
“หลานแบบนั้นถ้าแม่อยากได้ก็เก็บไว้เถอะ แต่เรื่องแต่งงานผมให้ไม่ได้!” เขาเพิ่งจะหย่ามาด้วยซ้ำ แล้วจะให้หย่าเร็ว ๆ นี้อีกคงไม่มีทางแน่ ๆ
“ลี่เอ๋อร์!” เฉาลี่เฟยตะโกนออกมา “ฉันบอกแกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าไม่อนุญาตให้แต่งงานกับคนแซ่อันเป็นอันขาด”
“ผมรู้แล้ว แต่แล้วยังไง?” โอวหยางลี่มองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่สนใจ “เป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านั้นที่เกิดขึ้นกับตระกูลอัน เลยทำให้โหรวโหรวทำกับผมแบบนี้ หลังจากนี้ผมจะทำดีกับเธอ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ชดเชยความผิดพลาดที่พวกเราทำกับตระกูลอันไว้!”
“จะดีกว่านี้ถ้าแกไม่ทำ!!” เฉาลี่เฟยถลึงตาใส่เขา “อย่าคิดว่าตอนนี้แกเป็นประธานแล้วฉันจะไม่มีปัญญาจัดการอะไรนะ!”
“แม่ ก่อนหน้านี้แม่จัดการกับคนอื่นก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้แม่คิดจะมาใช้กลอุบายอะไรกับผมอีก กลุ่มโอวหยางตอนนี้ยังไม่เพียงพออีกเหรอ?” ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ายืนอยู่ยอดใจกลางของพายุไปแล้วแท้ ๆ ทั้งยังไม่เคยได้ร่วงหล่นเลยสักครั้งหนึ่ง
“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ แม่ไม่มีทางทำร้ายแกแน่ ๆ” เฉาลี่เฟยเตือนเขา ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
โอวหยางลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง