อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 306 เรี่ยวแรงที่ปรากฏขึ้นมา
ตอนที่ 306 เรี่ยวแรงที่ปรากฏขึ้นมา
เรี่ยวแรงที่ปรากฏขึ้นมา ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นบ่งบอกถึงอาการเจ็บปวด แรงของฉีเซิ่งเทียนนั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ
เธอคิดอยากจะออกไป แต่มือของเขาที่จับอยู่ทำให้เธอไม่สามารถหลบออกไปได้
“ผู้จัดการฉี ตอนนี้คุณไปที่ห้องน้ำและล้างมันออกด้วยตัวเองได้นะคะ” ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยแผ่นมาสก์หน้าเป็นจุด ๆ เต็มไปหมด มันคล้ายกับมีไฝอยู่บนหน้า
“เธอช่วยฉันสิ ฉันไม่คิดอยากจะแตะต้องมันเองหรอกนะ!” ฉีเซิ่งเทียนทำหน้ารังเกียจ ตอนนี้ที่ใบหน้าของเขาราวกับมีไฝเป็นจุด ๆ บนใบหน้า ทั้งยังดูขยุกขยิกตรงจุดพวกนั้นด้วย
“อุบ…….” หลินจือเซี๋ยวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
“มันน่าตลกขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉีเซิ่งเทียนรู้สึกสงสัย
“เปล่าเสียหน่อย!” หลินจือเซี๋ยวเม้มปากตัวเอง มันไม่ได้ดูตลกหรอกนะ แต่มันดูแปลกจนอดขำไม่ได้มากกว่า
ฉีเซิ่งเทียนเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ กระจกบานใหญ่บนผนังห้องน้ำสะท้อนใบหน้าของตัวเอง ที่ใบหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยจุด ๆ มันดูตลกจริง ๆ นั่นแหละ
“หลินจือเซี๋ยว รีบล้างเลย!” ฉีเซิ่งเทียนย่อตัวลง ใบหน้าหล่อเหลาเอนไปที่ข้างหน้าของเธอ
“ผู้จัดการฉี ของคุณนิดเดียว ให้ฉันล้างของฉันก่อนไหมคะ?” เธอพยายามจะฝืนกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ สิ่งที่เธอเห็นมันดูน่าตลกเกินไปแล้ว
ฉีเซิ่งเทียนเดินถอยออกไปอย่างไม่พอใจ พร้อมกับก้มมองไปที่หน้าของเธอที่กำลังล้างอยู่
เขาคงบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงวิ่งมาบ้านผู้หญิงดึกดื่นแบบนี้ ทั้งไม่ได้นอนหลับกับเธอ แต่กลับมาดูเธอล้างหน้าแบบนี้!
ถ้าเกิดเรื่องพวกนี้ถูกลือออกไปคงได้กลายเป็นเรื่องขบขันน่าดู!
ในตอนนี้เขาเหมือนกับหลิวเซี่ยฮุ่ยที่นั่งแล้วไม่ลงมืออะไร[1]จริง ๆ
หลินจือเซี๋ยวเริ่มทำความสะอาดใบหน้า เช็ดหน้าของตัวเองด้วยครีมโลชั่น ก่อนจะใช้มือเล็ก ๆ จับไปที่หน้าเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองฉีเซิ่งเทียนอย่างไม่ตั้งใจ
“ฉี……”
เธอพูดหลุดพูดออกมาคำหนึ่ง เมื่อครู่นี่เธอเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาโผล่เข้ามาที่ด้านหน้า เธอก็เลยหลุดพูดออกไป
“อืมมมม…..อึก……”
หลินจือเซี๋ยวรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ทำไมจู่ ๆ ถึงมาจูบเธออีกครั้งหนึ่ง หนำซ้ำนี่เป็นรอบที่สองแล้วที่ฉีเซิ่งเทียนจูบเธอ
แต่จูบครั้งนี้อ่อนโยนกว่าครั้งก่อนมาก ครั้งนี้เธอไม่รู้ตัวเลยว่าควรจะทำตัวยังไง เมื่อสายตาเหลือบมองที่หน้าอกของเขา มันกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ทำให้ตัวของเธอค่อย ๆ อ่อนแรงลงอย่างช้า ๆ
นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เธอต้องการเลยสักนิด!
หลินจือเซี๋ยวเริ่มรู้สึกถึงทักษะการจูบของเขาที่ร้อนแรงมากขึ้น ร้อนแรงเสียจนไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้ ในไม่ช้าที่ปากของพวกเขาก็ค่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงน้ำลายที่เอ่อนองไปทั่วทั้งปาก
ฉีเซิ่งเทียนค่อย ๆ คลายกอด ก่อนจะพูดว่า “เธอควรหลับตาลงนะ”
เธอหอบหายใจด้วยปากอย่างหนักหน่วง ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อครู่ที่ล้างหน้า ทำให้ผมของเธอเปียกเล็กน้อย ดูไปแล้วน่าหลงใหลและมีเสน่ห์เสียจนน่ากินสำหรับตัวฉีเซิ่งเทียน
ทันใดนั้นเธอก็เอื้อมมือออกไปผลักเขาและพูดขึ้นว่า “คนบ้า! ออกไปนะ!”
“เป็นเธอที่ยั่วยวนฉันก่อนเองนะ” ฉีเซิ่งเทียนยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
เมื่อครู่นี้เขาแค่ทำตามจิตใต้สำนึกที่สั่งการไปเท่านั้น แต่เมื่อมองดูใบหน้าน้อย ๆ ที่กำลังลูบแก้มตัวเองแบบนั้น มันก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะจูบเธอ
“ฉันทำตอนไหน? ฉันแค่ล้างหน้าแค่นั้นเอง หรือว่าคุณไม่เคยเห็นผู้หญิงล้างหน้ามาก่อนหรือไง? ถึงจะไม่เคยเห็นผู้หญิงล้างหน้ามาก่อน แต่ผู้จัดการฉีก็น่าจะเคยเห็นตัวเองล้างหน้ามาบ้างนี่ ขอโทษด้วยนะ คำพูดที่คุณพูดมาทั้งหมดล้วนแก้ตัวทั้งนั้นเลย!” หลินจือเซี๋ยวที่ถูกเขาจูบอย่างกะทันหันแบบนั้น เนื้อตัวจึงเริ่มสั่นเทา
“นี่เธอกล้าพูดแบบนั้นอีกเหรอ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ไม่ยอมหยุดมันเอง” ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอที่สั่นเทาแบบนี้ ชวนให้เขาอยากจะเล่นให้สนุกมากขึ้น
“คุณ…….”
ดวงตาที่สวยงามของหลินจือเซี๋ยวจ้องมาที่เขา ทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้กลายเป็นคนไร้ยางอายแบบนี้กัน!
“ความสนุกเมื่อครู่นี้ก็อีกเรื่อง แต่ถ้าหากคุณจูบฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่าคุณทำผิด คุณมันเป็นคนบ้านิสัยไม่ดี”
“แล้วตอนนี้เธอจะยอมตกลงไหม?” ฉีเซิ่งเทียนก้มหน้ามองใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอที่กำลังโกรธอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปข้างหน้าราวกับจะทำอะไรต่อ
เห็นได้ชัดว่าตอนที่อยู่บริษัท ตัวเธอนั้นก็เหมือนน้องสาวทั่วไปที่ดูสงบเสงี่ยม แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่อยู่ที่บ้านแบบนี้กลับดูน่ารักและน่าหลงใหลราวกับเป็นหญิงงามที่ปรากฏตัวในตำนาน
มันน่ารักเกินไปจริง ๆ
“คุณจะล้อเล่นอะไรอีก? ออกไปเลยนะ!” เธอพูดจบก็เริ่มรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขากับเธออยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป เธอจึงรีบถอยหลังออกไปสองก้าว
ฉีเซิ่งเทียนเมื่อเห็นเธอเคลื่อนไหวแบบนั้นก็เดินไปข้างหน้าตามเธอสองสามก้าว เขาเดินไปหาเธออย่างไม่รีบร้อนพลางก้มหน้ามองไปที่ตัวเธอ “ตอนนี้เธอจะยอมรับแล้วหรือยัง?”
ปากสีชมพูที่ดูน่าหลงใหลแบบนั้น ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย กินแค่ครั้งเดียวย่อมไม่พอ คิดอยากจะกินมันอีก…………
หลินจือเซี๋ยวกัดริมฝีปากตัวเอง คิดมองหาสิ่งของมาใช้เป็นอาวุธ แต่มองดูแล้วกลับไม่มีอะไรเหมาะสมเลยสักนิด ก็คงจะมีเพียงหมัดของเธอเท่านั้นแหละที่ดูเหมาะสมที่สุด
เธอยกกำปั้นขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่เขา “อย่าเข้ามานะ ล้างหน้าของตัวเองไป แล้วออกจากบ้านของฉันไปซะ! ไม่อย่างนั้นละก็ ฉันจะต่อยคุณจริง ๆ ด้วย!”
“เธอรู้อะไรไหม นี่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ มันจะสบาย ไม่เจ็บอีกด้วย ทั้งลิ้มรสของมันดูอร่อย ไม่คิดอยากจะลองดูหน่อยเหรอ?” ฉีเซิ่งเทียนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะชื่นชอบไม้ประดับทั่ว ๆ ไปเสียแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอถูกคนอื่นเด็ดไปแน่ ๆ ทุกอย่างต้องเป็นของเขา เป็นประสบการณ์ให้เขาได้เชยชม
“จูบที่ไหนจะมาเจ็บ? คุณอย่ามาโกหก! ออกไปเลย!” เธอกำหมัด คิดอยากจะต่อยไปที่ใบหน้าของเขา
แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเขาแล้ว ไฝที่อยู่บนใบหน้าก็ชวนทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“มันเจ็บอยู่แล้ว ถ้าเธอลองเดี๋ยวก็รู้เอง” ฉีเซิ่งเทียนไม่ได้สนใจกำปั้นน้อย ๆ ของเธอเลยสักนิด เขาเอื้อมมือไปจับแขนของเธอไว้แล้วดึงเข้ามาแนบชิดติดกันอีกครั้งหนึ่ง
หลินจือเซี๋ยวเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา เมื่อคิดถึงจูบร้อนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอก็รีบทุบตีฉีเซิ่งเทียนที่หน้าอกทันที “คนบ้า คนผีทะเล ออกไปนะ ปล่อยฉันนะ!”
หลินจือเซี๋ยวมีเรี่ยวแรงคล้ายกับลูกแมวตัวน้อยที่ข่วนไปมาใส่เขา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เขามองใบหน้าของเธอที่ทำแบบนั้นโดยไม่โกรธเลยสักนิด
หลินจือเซี๋ยวรู้ว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงที่จะห้ามปราบเขาได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในตอนนี้เหมือนกับว่าตัวเธอถูกงูรัด ไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ เกาะติดแน่นเสียสนิท เธอโตมาขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับผู้ชายขนาดนี้มาก่อน
ใบหน้าของเธอค่อย ๆ ปรากฏรอยแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นสีแดงอมชมพูราวกับดอกกุหลาบอ่อน ๆ อีกทั้งภายในห้องน้ำที่มีแสงไฟดูอบอุ่น ทำให้ใบหน้าของเธอดูเย้ายวนมากยิ่งขึ้น
แต่ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วอยู่ในสายตาของฉีเซิ่งเทียน หลินจือเซี๋ยวตอนนี้คิดออกแค่วิธีเดียว จึงพูดไปว่า “ผู้จัดการฉี ที่นี่มีเจ้าที่เจ้าทางอยู่นะคะ คุณอย่ารังแกฉันนะ รีบออกไปเร็ว เข้าเร็ว!”
“เธอเป็นหนี้ฉันอยู่นะ……”
หลินจือเซี๋ยวเริ่มทำหน้าบูดบึ้ง “ผู้จัดการฉี คุณไม่ได้ยินประโยคนั้นเหรอ? เขาบอกปีนี้หากได้เงินจากหลานก็ถือว่าเป็นหนี้พ่อปู่แล้วนะคะ!”
“อ้อ……” ฉีเซิ่งเทียนเอ่ยตอบกลับไปอย่างติดตลก “พ่อปู่หลิน ช่วยยกตัวเองมาให้ทีจะได้ไหม?”
พ่อปู่หลิน?
ยกตัวเอง ยกเธอให้เขางั้นเหรอ?
หลินจือเซี๋ยวเบิกตากว้าง “ไม่ได้! ปล่อยฉันก่อนจะได้ไหม? ฉันเป็นผู้หญิงถูกผู้ชายจับแบบนี้ ข่าวแพร่ออกไปมันจะไม่ดีนะ”
“ชื่อเสียงแล้วไง ผลลัพธ์แล้วยังไง เลขาหลินเธอ……”
“พูดอะไร? จะบอกว่าฉันไม่มีชื่อเสียงบ้างเลยงั้นเหรอ?” เธอเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้เธอไม่ขยับไหวติงใด ๆ รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในกรงขัง ส่วนฉีเซิ่งเทียนก็เป็นกรงขังที่แข็งแรง ไม่ยอมปล่อยให้เธอขยับออกไปไหนตลอดชั่วชีวิต
“มีสิ มี” ฉีเซิ่งเทียนยอมปล่อยเธอออกอย่างไม่เต็มใจ หากคืนนี้เขาทำอะไรลงไปละก็ บางทีเขาคงไม่มีทางยกโทษให้ตัวเองแน่ ๆ
หลินจือเซี๋ยวที่ถูกปล่อยออกแบบนั้นก็ค่อย ๆ โล่งอก ก่อนจะก้าวถอยหลังสองก้าว พลางจ้องมองไปที่เขาด้วยใบหน้าแดง ๆ ของเธอ สายตามองไปที่เขาอย่างระวังตัว
“เตรียมห้องรับแขกให้ที คืนนี้ฉันจะพักที่นี่ วันนี้ฉันไม่มีที่ไป” วันนี้แค่เขาทำเรื่องเล็กน้อยไปแบบนั้นก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
“คุณไม่มีที่ไปงั้นเหรอ?” โกหกชัด ๆ
“ถ้าเธอไม่จัดแจง ฉันจะถือว่าเธอยอมรับให้ฉันทำเรื่องแบบนั้นกับเธอนะ….” ฉีเซิ่งเทียนเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับยกมุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
“เดี๋ยวฉันไปเลย!” หลินจือเซี๋ยวรีบออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ฉีเซิ่งเทียนทำหน้าบานเป็นกระด้ง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามองไปที่แว่นตาของเธอด้วยท่าทีสงสัย เมื่อครู่นี้ที่เธอพูดเหมือนเป็นคำสาปแช่งยังไงไม่รู้
หลินจือเซี๋ยวเริ่มเก็บกวาดห้องที่หยางหยางเคยนอน ก่อนจะลงไปนอนที่ด้านล่าง เมื่อกลับมาที่ห้องก็ล็อกประตูห้องของตัวเองไว้ ก่อนจะมุ่งไปที่โซฟาตัวเดียวที่หลังประตู
[1] ความหมายของประโยคนี้หมายถึง ผู้ที่มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ ไม่ไหวติง อ้างอิงมาจากชุนชุนจ้านกั๋วในหลู่ก๊ก หลิวเซี่ยฮุ่ยสวมกอดลูกสาวของอ้ายต้ง แต่ก็ไม่ได้ล่วงเกินหรือแสดงกิริยาลวนลามอะไรออกมา