อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 315 ปวดใจกับไอคิวของนายจริง ๆ
ตอนที่ 315 ปวดใจกับไอคิวของนายจริง ๆ
อันโหรวมองไปที่ใบหน้าของเขาที่กำลังดูบูดบึ้ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่สงบออกไป “ปวดใจกับไอคิวของนายจริง ๆ”
เธอหยิบกระเป๋าและลุกขึ้นเดินออกไป
“โหรวโหรว!” โอวหยางลี่รีบลุกขึ้นเดินตามเธอไป เขายังพูดไม่จบเลยด้วยซ้ำ ทำไมเธอถึงได้รีบไปขนาดนี้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมา เธอก็ก้าวเท้าโดยไม่หยุดเดินแม้แต่น้อย “ประธานโอวหยางคะ เรื่องที่เกิดในอดีตฉันไม่อยากจะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ทำไมคุณถึงได้เอาแต่คอยเตือนเรื่องอดีตที่โง่เขลาของฉัน เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทุกอย่างมันจบแล้วค่ะ พวกเราเลิกกันไปนานแล้ว ทุกอย่างมัน over หมดแล้วค่ะ!”
โอวหยางลี่พลันยืนแข็งทื่อเป็นตอไม้ มือที่คิดจะเอื้อมไปข้างหน้ากลับว่างเปล่า จับอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว
ท่ามกลางสายตาของเขา ตัวเธอที่ยืนอยู่ข้างหน้าค่อย ๆ เดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ผู้หญิงที่เขารักหมดหัวใจ ในตอนนี้ได้หายไปจากโลกนี้แล้ว และจากนี้ไปเธอไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
พวกเราจบกันแล้ว
ทุกอย่างมัน over หมดแล้ว
ปัง!
มือขวาของเขาทุบไปที่ประตูร้านกาแฟ ความเจ็บปวดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ช่วยเตือนสติเขาไม่ใช่น้อย หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา
ลูกห้าขวบแล้ว…
“อันโหรว เธอนอกใจก่อนนะ เธอทิ้งฉันก่อนนะ! เป็นเพราะเธอ!”
เขาไม่ผิด ทุกอย่างเป็นความผิดของเธอ เธอทิ้งเขาไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะไปอยู่กับจิ่งเป่ยเฉินได้ยังไง
ตอนที่กลับมา เธอคงไปหาเขาเป็นคนแรก ไม่ใช่กลับมาเพื่อทำเรื่องของตัวเองแน่ ๆ
ผู้หญิงอย่างเธอมันสมบูรณ์แบบเกินไป ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตำหนิเขาเลยสักนิด ไม่มี!
อันโหรวเดินกลับไปที่บริษัททันที ช่วงเช้านี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี แต่กลับถูกโอวหยางลี่ทำลายบรรยากาศดี ๆ จนหมดสิ้น นั่นทำให้เธอรู้สึกหดหู่หัวใจเล็กน้อย
“โหรวโหรว บิ๊กบอสไม่อยู่แบบนี้ รู้สึกเงียบเหงาไปหน่อยไหม? ตอนเที่ยงพวกเราไปหาข้าวกินกันเถอะ!” ช่วงที่เธอกำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ หลินจือเซี๋ยวก็ได้เดินเข้ามาหา
“เงียบเหงา? คงเป็นเธอมากกว่ามั้ง” เพราะตัวเธอนั้นไม่ได้รู้สึกเงียบเหงาเลยสักนิด เพียงแค่แอบคิดถึงเขาอยู่หน่อย ๆ เท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ส่งข้อความมาหาเธอ ดูท่างานของเขาน่าจะยุ่งจริง ๆ
หลินจือเซี๋ยวกลับทำท่าทีร้อนรน “โหรวโหรว ฉันขอสาบานเลยนะว่าฉันกับผู้จัดการฉีไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเราทั้งนั้น”
พวกเขาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด มีแค่เกือบ ๆ จะมีเรื่องอย่างว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ฉันว่าฉันยังไม่ได้พูดเรื่องเธอกับผู้จัดการฉีเลยนะ……” อันโหรวเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย “เรื่องความรู้สึกพวกนี้ เดิมทีก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว ฉีเซิ่งเทียนเขา………”
“ไม่เอา ฉันไม่อยากจะคิดกับเขาแบบนั้นจริง ๆ นะ!” หลินจือเซี๋ยวส่ายหน้าไปมา “ฉันขออยู่เป็นโสดดีกว่า ผู้จัดการฉี ผู้ชายแบบเขาไม่คู่ควรกับฉันหรอก!”
ในที่สุดอันโหรวก็รู้แล้วว่าทำไมฉีเซิ่งเทียนถึงได้ชอบตั้งคำถามกับเธอนัก แต่ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ฉีเซิ่งเทียนดูท่าคงไม่อาจขยับความสัมพันธ์ได้แน่ชั่วชีวิตนี้
“เธอเอาจริงเหรอ?” เธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อย จือเซี๋ยวบางทีตัวเธออาจจะไม่ยอมรับความคิดของตัวเองก็ได้
“จริงจังมาก ๆ จริงจังแบบสุด ๆ เลยด้วย” ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้จักตระกูลฉี แต่ตัวเธอนั้นไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจริง ๆ
“เอาเถอะ! ตอนเที่ยงไปหาข้าวกินกัน สถานที่เธอจองนะ” อันโหรวทำท่าทาง OK ก่อนจะลุยทำงานต่อ
ที่บ้านพักสุดหรู
หลินจือเซี๋ยวและอันโหรว พวกเขาสองคนต่างก็มานั่งรับประทานที่ร้านอาหาร โดยเลือกนั่งตรงบริเวณริมหน้าต่าง
“เธอรู้หรือเปล่าว่าครั้งนี้บิ๊กบอสออกไปทำงานข้างนอกเรื่องอะไร?” หลินจือเซี๋ยวจู่ ๆ ก็เอ่ยคำถามออกมา
“เรื่องพวกนี้แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้มากเท่าไร อาจจะเกี่ยวกับเรื่องไวน์“ เธอเองก็ไม่ได้ถามเขาเช่นกัน จิ่งเป่ยเฉินในตอนนั้นท่าทางของเขาดูเหมือนไม่คิดอยากจะพูดอะไร
ด้วยเหตุนี้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ ไม่ว่าบิ๊กบอสจะทำอะไรก็คงตัดสินใจทำทุกอย่างได้แน่!” หลินจือเซี๋ยวเชื่อว่าพวกเขาคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก อีกอย่างไม่มีอะไรที่จิ่งเป่ยเฉินทำไม่ได้แน่ ๆ
ทั้งสองคนกินข้าวไปพลางคุยกันไปอย่างมีความสุข
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาคนนั้นยืนบังแสงที่สาดส่องลงมา
ลูซี่มองไปที่อันโหรวที่อยู่ตรงข้ามกับหลินจือเซี๋ยว เมื่อครู่นี้เธอกินข้าวอยู่ที่ไกล ๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมองเห็นหลินจือเซี๋ยว เธอก็คงไม่เชื่อแน่ว่าผู้หญิงคนนี้คืออันอีหาน คนที่เคยแสร้งเป็นคนแก่และขี้เหร่คนนั้น
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาช่างดูสวยงามยิ่งนัก ตอนที่เห็นครั้งแรกในโลกอินเทอร์เน็ต เธอคิดว่าเป็นคนอื่นเสียอีก รู้สึกว่ามันเหมือนภาพลวงตา ตอนนี้เมื่อได้มองใกล้ ๆ ก็พบว่าเธอนั้นเป็นอันโหรวที่ดูสวยและงดงามยิ่งกว่าภาพและวิดีโอที่เผยแพร่อยู่ในโลกออนไลน์เสียอีก
เธอไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะอันโหรวที่ทำให้เธอถูกขวางกั้นไม่ให้พบกับจิ่งเป่ยเฉิน
“บังเอิญอะไรขนาดนี้ ถึงได้เจอพวกคุณที่นี่ ฉันควรจะเรียกคุณว่าอันอีหานหรืออันโหรวดี?”
“เรียกฉันคุณนายจิ่งก็ได้ค่ะ” อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองเธอ แม้จะไม่ได้พบหน้ากันนาน แต่เธอก็ยังคงดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
“คุณนายจิ่ง เฉินเพิ่งขอคุณแต่งงานไปก็จริง แต่ยังไม่ได้จัดงานแต่งเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงให้เรียกว่าคุณนายจิ่งแล้ว ช่างเป็นคนที่คิดจะโอ้อวดความยิ่งใหญ่จริง ๆ นะ!” ในดวงตาของเธอลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ ผู้หญิงคนนี้มีคุณสมบัติอะไรถึงได้มายืนอยู่ข้าง ๆ เฉินของเธอ
จำเป็นที่จะต้องแต่งงานและเอาทะเบียนสมรสมาวางไว้ตรงหน้าเธอหรือเปล่านะ?
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่อันโหรวก็ไม่ใช่คนที่คิดจะยอมแพ้เรื่องพวกนี้แน่ ๆ
ลูซี่ที่กำลังโกรธจ้องมองอันโหรวอย่างไม่ละสายตา “ในปีนั้นตระกูลอันเกิดใหญ่โตขนาดนั้น แต่คุณก็ยังกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีก แถมยังปรากฏตัวต่อหน้าเฉินแบบนี้ด้วย! ทำไม? คุณคิดจะให้ตระกูลจิ่งเดินตามรอยตระกูลอันไปหรือยังไง?”
“ดูท่าความคิดของคุณจะไปไกลมากแล้วนะ ถึงได้ดูถูกจิ่งเป่ยเฉินแบบนั้น” อันโหรวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เธอไม่อยากเกี่ยวข้องหรือเสวนากับลูซี่เลยสักนิด
แต่ตัวเธอนั้นดูท่าคงคิดอยากจะเกาะจิ่งเป่ยเฉินและปีนป่ายเสียมากกว่า บางทีตอนนี้เผลอ ๆ เขาอาจจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าลูซี่นั้นมีท่าทีแบบไหน มีหน้าตาเป็นยังไง
หลินจือเซี๋ยวมองไปที่ลูซี่เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เจอเธอคนนี้นานมากแล้ว แต่เธอก็รู้ดีว่าคุณสมบัติแบบลูซี่ไม่เหมาะกับการเป็นโฆษกผลิตภัณฑ์ของตระกูลจิ่งในตอนนั้นจริง ๆ
“นี่เธอ…..” ลูซี่เริ่มโมโห ผู้หญิงคนนี้ยังคงมีปากเสีย ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ปากที่ร้ายกาจแบบนี้ ร้ายกาจเสียจนดูเหมือนเธอจะไม่หวาดกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังคงปากเสียเหมือนเช่นเคย
“คุณลูซี่ มีบางคนที่ไม่ใช่ของคุณอยู่นะ ต่อให้เก็บเรื่องนี้มาคิดไว้นาน ๆ ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มันไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้คุณใช้ชีวิตปกติไม่ดีกว่าเหรอ? ถ้าคุณคิดว่าการดุด่าฉันแล้วจะทำให้คุณมีความสุขก็เชิญตามสบายเถอะ แต่ตอนนี้ช่วยอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีกจะได้ไหมคะ มันเกะกะ” วันนี้เธอออกมาข้างนอกไม่ใช่ออกเพื่อเจอเรื่องแบบนี้หรอกนะ
ตอนเช้าก็เจอโอวหยางลี่ไปแล้ว ตอนเที่ยงยังต้องมาเจอลูซี่อีก แล้วตอนเย็นจะต้องเจอใครอีกไหม?
ดูท่าคงต้องเริ่มเตรียมคำอธิบายไว้ล่วงหน้าบ้างซะแล้ว
“เธอโอ้อวดได้ไม่นานหรอกอันโหรว!” ลูซี่มองค้อนไปที่เธอหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีที่หงุดหงิด
เมื่อลูซี่เดินออกไป หลินจือเซี๋ยวก็หยิบมีดกับส้อมขึ้นมาจากโต๊ะ เมื่อครู่นี้ตอนที่ลูซี่ปรากฏตัวขึ้น เธอก็แทบไม่อยากจะกินข้าวเลยสักนิดเดียว “หน้าอกยัยนั่นช่วยเล็กลงหน่อยจะได้ไหมนะ?”
“จือเซี๋ยว ทำไมเธอถึงได้สนใจอะไรที่มันดูไม่สมเหตุสมผลแบบนี้” อันโหรวยิ้มออกมา เมื่อครู่นี้เจอคนมายั่วยุถึงที่ แต่เพื่อนสนิทของตนกลับไม่พูดจาเลยสักคำ หนำซ้ำยังมองไปที่จุดอื่นแทนเสียได้
“ฉันก็แค่เหลือบมองเฉย ๆ เท่านั้นเอง เธอก็รู้ว่ายัยคนนั้นมักจะมาที่บริษัทบ่อย ๆ หุ่นนางแบบของเธอก็พอจะคาดเดาได้อยู่ อย่างน้อยฉีเซิ่งเทียนก็ต้องจำได้แม่นกว่าฉันแน่ ๆ”
เขาน่าจะเรียกลูซี่ว่ายัยหน้าอกใหญ่ที่มีเอวบาง
ผอมแห้ง!
ไร้เหตุผล!
ดูบ้ากามจริง ๆ
“นางแบบต่างชาติจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าหน้าอกจะใหญ่เสมอไปหรอกนะ” อันโหรวตอบกลับไปเบา ๆ
“กินข้าวเถอะ อย่าไปพูดถึงเธอเลย เดี๋ยวอาหารจะไม่อร่อยพอดี”
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสองก็กลับไปที่บริษัทเพื่อทำงานต่อ ช่วงเลิกงานอันโหรวเองก็ไม่คิดอยากจะบังเอิญเจอใครทั้งนั้น จึงได้รีบกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ช่วงตกเย็นจนค่ำ เธอนอนเล่นอยู่บนเตียงเพียงลำพัง และช่วงที่กำลังจะหลับนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากจิ่งเป่ยเฉิน
เธอรีบเปิดโคมไฟข้างเตียงทันที ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนโซฟา “นายนี่ร้ายกาจมากเลยนะ! ออกไปตั้งนานเพิ่งจะโทรมาเป็นสายแรกตอนนี้เนี่ย!”
แล้วใครกันนะที่บอกว่าคิดถึงเธอเป็นประจำ!
ในช่วงขณะที่จิ่งเป่ยเฉินกำลังยืนคุยโทรศัพท์มันเป็นช่วงเวลากลางวัน แสงแดดที่สาดส่องลอดเข้ามาที่หน้าต่างเผยให้เห็นตัวเขาที่สูงและดูหล่อเหลากำลังยิ้มให้กับเธอ