อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 331 เยี่ยมจริง ๆ เขายังมีชีวิตอยู่
ตอนที่ 331 เยี่ยมจริง ๆ เขายังมีชีวิตอยู่
แต่น้ำตาของเธอก็ได้ไหลออกมาไม่มีท่าทีที่จะหยุด เยี่ยมจริง ๆ เขายังมีชีวิตอยู่
“โหรวโหรว เธอจะยอมตามฉันไปหรือเปล่า?” เสียงของโอวหยางลี่ดังขึ้นมาในหูของเธอ
เธอส่ายหน้า ส่ายหน้าแบบไม่คิดชีวิต
“เธอเห็นเขาแล้ว เธอก็ไม่คิดอยากจะไปกับฉันสินะ ทั้งหมดเป็นเพราะมันใช่ไหม เมื่อคืนเธอก็ยอมเต็มใจไปกับฉันแล้วนี่!” โอวหยางลี่เกือบตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว
เธอรู้สึกว่าหูของตัวเองจะหนวกเพราะเสียงของเขา แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดเดียว
เธอยังคงมองดูจิ่งเป่ยเฉินอยู่ตลอดเวลา ตัวของเขาค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้เข้าไปอีก
แต่แล้วในช่วงเวลานี้เอง เขาก็ถูกพวกบอดี้การ์ดที่มีร่างกายกำยำขวางไว้
แต่ที่ด้านหลังของเขาเองก็มีคนจำนวนมากที่เดินตามมา ทันใดนั้นเธอก็เห็นปืนที่อยู่ในมือของจิ่งเป่นเฉินถูกยกขึ้นมา
ครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล เธอก็ได้รู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินมีปืนพกติดตัวเอาไว้ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหยิบมาใช้จริง ๆ เมื่อมองดูคนพวกนั้นถือปืนติดตัวไว้ หัวใจของเธอก็รู้สึกเจ็บปวด
เธอไม่คิดอยากจะให้เรื่องของเธอทำให้ใครต้องมาเจ็บตัวกับเหตุการณ์นี้
“โหรวโหรว ฉันจะไปจัดการเขาเอง เธอจะได้ตามฉันไป โอเคไหม?” โอวหยางลี่โน้มตัวเข้ามาใกล้ตัวเธอ ก่อนจะจูบไปที่ใบหน้าของอันโหรวและเปิดประตูลงจากรถไป
ขณะที่ลงจากรถก็ยังเหลือคนอีกสามคนที่ยังคงนั่งอยู่ หนึ่งคนนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ส่วนอีกคนนั่งอยู่เบาะด้านข้างคนขับ และคนสุดท้ายกำลังจับตัวเธอไว้ ไม่ให้เธอขยับเขยื้อนไปไหน
เธอพยายามที่จะใช้เท้าถีบไปที่ประตูรถ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สำเร็จ ราวกับว่าประตูรถนั้นถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา
“อื้ออ อื้ออ อื้อ…….” เธอพยายามเตะไปที่ตำแหน่งคนขับรถด้วยสองเท้า
แต่ทว่าคนคนนั้นกลับไม่ตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับเป็นหุ่นนิ่งที่ประดับฉากเอาไว้เท่านั้น
หรือว่าคนพวกนี้คิดอยากจะตายไปด้วยกันงั้นเหรอ?
อยากจะเห็นพวกพี่น้องของตนตายจากไปจริง ๆ ใช่ไหม?
แม้ว่าโอวหยางลี่จะมีบอดี้การ์ดอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทางด้านของจิ่งเป่ยเฉินเองก็พาคนมามากกว่า พวกเขาไม่ว่ายังไงก็ต้องเผชิญหน้าสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่ ๆ
ทำไมถึงต้องมาทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย ทำไมไม่ยอมปล่อยเธอไป?
ในเมื่อเตะไปก็ไร้ผล เธอจึงหันหลังกลับและมองออกไปที่ด้านนอกต่อ จิ่งเป่ยเฉินกับโอวหยางลี่ตอนนี้ยืนห่างกันไม่น้อยกว่าสองเมตร
ทางด้านโอวหยางลี่หยุดเดินและยืนอยู่กับที่ เธอเห็นจิ่งเป่ยเฉินจ้องมาทางด้านที่เธออยู่ เธอรู้ว่าเขาไม่น่าจะเห็น แต่เธอก็ยังคงตื่นเต้น คิดอยากจะตะโกนชื่อของเขาออกมา
แต่ผ้าสีขาวที่อุดปากของเธออยู่ทำให้เธอไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เธอพยายามจะใช้ลิ้นดันมันออกมา เผื่อจะคายผ้าออกมาได้บ้างเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันที่แสงแดดเจิดจ้า ภายใต้แสงแดดที่คล้ายฤดูใบไม้ผลิ ชายสองคนกำลังยืนเผชิญหน้ากันและกันท่ามกลางท้องฟ้าสีครามและหญ้าสีเขียว
จิ่งเป่ยเฉินมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา คนคนนี้ไม่ได้ทำท่าโกรธเคือง แต่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งและดูอุกอาจ แม้จะยืนอยู่กับที่เฉย ๆ แต่ก็เผยอารมณ์ที่คล้ายกับราชาแห่งโลกใบนี้ออกมา
“ประธานโอวหยาง นายคิดจะเล่นเกมซ่อนหาก็ถือว่าทำได้ไม่เลว ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะเล่นคืนบ้างแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินยกปืนสั้นสีเงินขึ้นมาและชี้ไปทางเขาอย่างเย็นชา “ประธานโอวหยาง ลองคิดดูละกันว่าจะเล่นแบบไหนดี?”
“นายกล้ามาหาฉันเพื่อเล่นเกมอย่างนั้นเหรอ? ขอโทษด้วยที่ฉันไม่อาจตอบสนองเรื่องนี้ได้ ฉันยังมีธุระอยู่ จำเป็นต้องรีบไป เชิญประธานจิ่ง……” เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ ตัวบ้านของเขา มีทั้งเฮลิคอปเตอร์ ผู้คนจำนวนมาก และรถมากมายที่ล้อมบ้านของเขาไว้ “เอาคนของนายออกจากบ้านของฉันด้วย” เขาพูดต่อจนจบ
“ประธานโอวหยางพูดได้ไม่ผิด ฉันพาคนมาบ้านของคนอื่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาออกไป เพราะงั้นแล้วประธานโอวหยางเอาคนของฉันคืนมาก่อนจะดีกว่า” โหรวโหรวเป็นคนของเขา เขาจะจากที่นี่ไปยังไงหากไม่ได้พาโหรวโหรวไปด้วย
“คนของนาย?” โอวหยางแสร้งทำเป็นคนโง่เขลา
“ประธานโอวหยางไม่จำเป็นต้องพูดหรอก” ปืนในมือของเขาค่อย ๆ เหนี่ยวไกและเล็งไปที่รถที่โอวหยางลี่เพิ่งลงมา “นายคิดจะใช้เวลากี่นาที ถึงจะยอมส่งมอบคนมาให้ฉัน?”
“จิ่งเป่ยเฉิน นายทำเรื่องอุกอาจเกินไปแล้ว ที่นี่คือบ้านของฉัน พาคนมาจำนวนมากขนาดนี้ ย่อมผิดกฎหมายข้อหาบุกรุก!”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องบอกประธานโอวหยางสักหน่อยแล้วสิว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ชื่อของนายอีกต่อไปแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินหันปากกระบอกปืนพกไปทางเขาอย่างสบายใจ
“คิดจะข่มขู่ฉันด้วยปืนอย่างนั้นเหรอ คิดว่าฉันจะมอบคนให้หรือไง ฝันไปเถอะ!” โอวหยางลี่ยืนมองปากกระบอกปืนสีดำที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอามือขวาแตะไปที่เอวของตัวเอง
“คิดผิดแล้ว ฉันไม่ได้มาขู่” เพราะตัวเขาสามารถลั่นไกได้จริง ๆ
โอวหยางลี่ได้ยินประโยคที่ดูเรียบง่ายธรรมดาแบบนี้ ภายในใจของเขาก็เริ่มเป็นกังวล เหงื่อเย็น ๆ ค่อย ๆ ผุดออกมาจากหน้าผาก
เขาไม่อยากตายแบบนี้!
เขายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ!
จิ่งเป่ยเฉินมองดูปืนที่เขาเพิ่งหยิบออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าที่เย็นชาค่อย ๆ ปรากฏขึ้น “นายลองดูก็ได้นะ ว่าปืนของนายหรือของฉัน อันไหนมันจะเร็วกว่ากัน”
“ฉันไม่ได้มาแข่งกับนายเรื่องนี้ ในเมื่อนายต้องการคน เช่นนั้นฉันก็จะให้ก็ได้ รอก่อนละกัน!” โอวหยางลี่หันไปมองบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังและพูดขึ้น “เอาคนออกมา”
ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องไปที่รถของเขา ทางด้านบอดี้การ์ดเองก็ขยับไปทางประตูรถ
มีบอดี้การ์ดสองคนที่ดูกำยำพาเหอเหมียวออกมา เหอเหมียวที่ได้เห็นการเผชิญหน้าของทั้งสองคน ขาของเธอก็สั่นไม่มีท่าทีที่จะหยุด
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
หรือว่าเขามาที่นี่เพื่อตามหาอันโหรว?
แล้วพี่โอวหยางจะจับตัวเธอไปทำไมกัน?
“จิ่ง……” เธอพยายามที่ตะโกนออกมา แต่ทันใดนั้นก็ถูกปิดปากทันที
ตัวเธอถูกอุ้มไปอยู่ที่ด้านข้างของโอวหยางลี่ทันที
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าประธานจิ่งจะชอบผู้หญิงแบบนี้ด้วย เพียงแต่ผู้หญิงแบบนี้มีถมเถไป ใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่ในเมื่อคุณชอบเธอขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องบนเตียงของเธอค่อนข้างดีละมั้ง เอาเถอะ ประธานจิ่งอยากได้คนก็เอาไป แล้วจากนั้นก็ไปได้แล้ว!!” โอวหยางลี่ผลักเหอเหมียวออกไป
ตัวของเหอเหมียวเดินโซซัดโซเซไปทางจิ่งเป่ยเฉินที่อยู่อีกด้าน
จิ่งเป่ยเฉินทำท่าจะขยับเดิน แต่ฉีเซิ่งเทียนที่อยู่ด้านหลังก็รีบเดินออกไปรับตัวเธอไว้ ก่อนจะแก้เชือกที่มัดมือและเทปที่ปิดปากเธอไว้ออกทันที
“ประธานจิ่ง ทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? ลำบากพาคนมามากขนาดนี้ ยังไม่คิดจะไปอีก! ประธานจิ่งเป็นพวกชอบกินของเหลือหรือยังไง ไสหัวไปซะ!” โอวหยางลี่อดไม่ได้ที่จะมองท่าทีของเขาและเอ่ยประโยคนั้นออกมาทันที
ใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินยังคงนิ่งสงบรักษาท่าที ดวงตาสีดำของเขามองไปที่คนตรงหน้า สายตาราวกับเห็นสิ่งสกปรกที่คนคนนี้เคยทำ “ถ้าหากเทียบกับประธานโอวหยางแล้ว เรื่องพวกนี้ฉันคงสู้ไม่ได้หรอก ที่มักชื่นชมของเก่าไม่มีวันปล่อย เทียบไม่ติดจริง ๆ”
โอวหยางลี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “ไสหัวไปได้แล้ว!”
“คนของฉันยังไม่ได้คืนมา!” จิ่งเป่ยเฉินละสายตาจากเขา ก่อนจะมองไปยังจุดที่เขาเพิ่งออกมา นั่นก็คือรถตรงหน้า
โอวหยางลี่ยังคงมองไปที่ตัวเขา จากนั้นก็เห็นอันโหรวลงมาจากรถ
ครั้งนี้ตัวของเธอไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไป แต่กลับเป็นคนของจิ่งเป่ยเฉิน
เขาที่กำลังถือปืนอยู่ในมือก็เหมือนกับพยายามจะไล่เสือออกจากภูเขา[1] เขาพยายามที่จะให้ตัวของมันผ่อนคลายมากที่สุด นั่นคือปล่อยคนของมันไป ซึ่งก็คืออันโหรวนั่นเอง
“จิ่ง…….อึก...”
ปืนในมือของจิ่งเป่ยเฉินได้ลั่นกระสุนยิงเข้าไปที่มือขวาหนึ่งนัด ตัวของเขาเดินผ่านหน้าเขาไป ก่อนจะไปทิศทางของอันโหรว
ปืนที่ถือไว้ในมือร่วงหล่นลงพื้น ที่แขนยังมีคงมีเลือดไหลออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อครู่นี้เขาคิดจะหยิบปืนขึ้นมา แต่ก็ถูกชายอีกคนเตะปืนไปอีกทาง ที่แขนของเขายังคงมีกระสุนคาอยู่
ฉีเซิ่งเทียนก้มหน้าลงไปมองเขา “ประธานโอวหยาง คิดไม่ถึงเลยนะว่าคุณจะร้ายกาจขนาดนี้! คิดจะหลอกพวกเราแบบนี้ น่าสังเวชจริง ๆ”
ตอนนี้โอวหยางลี่รู้สึกได้เพียงอย่างเดียวคือความเจ็บปวด มือของเขาเจ็บมาก แต่ว่าหัวใจของเขากลับเจ็บยิ่งกว่า
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่อันโหรว ในที่สุดตอนนี้ภายในหัวใจของเขาก็มีชิ้นส่วนที่ได้ขาดหายกลับมาเติมเต็ม
ในที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเธอทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว ต่อจากนี้จะสามารถกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาได้แล้ว
“จิ่งเป่ยเฉิน! นายมันสารเลว!” อันโหรวตกใจกลัวแทบตาย!
ตัวเล็ก ๆ ของเธอถูกเขาดึงไปโอบกอดไว้ อ้อมกอดที่แข็งแกร่งโอบรัดร่างเล็กไปทุกส่วน ก่อนจะพูดน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “อืม ฉันมันสารเลว!”
[1] เป็นอุปมาอุปไมยที่หมายถึงหลอกล่อให้อีกฝ่ายหนึ่งออกจากจุดเดิม เพื่อฉวยโอกาสในจังหวะที่เผลอ