อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 411 กลิ่นโรงพยาบาล
ตอนที่ 411 กลิ่นโรงพยาบาล
บิ๊กบอสวางเธอลงและเอาเส้นผมของเขาและเสี่ยวอวี๋ส่งให้หมอและโอบเธอมานั่งลง “หรือว่ากลิ่นโรงพยาบาลเหม็นขนาดนั้นเลย?”
“ฉันได้กลิ่นนายก็รู้สึกเหม็นมาก ช่วยอยู่ห่าง ๆ ฉันหน่อยได้ไหม?” เธอพูดอย่างโกรธเคือง
บิ๊กบอสแนบชิดติดกับตัวเธอ พร้อมพูดขึ้นมาตรง ๆ “ฉันไม่มีกลิ่นตัว”
“……”
บิ๊กบอสขยับเข้ามาใกล้เธอและเลิกคิ้วขึ้น “กลิ่นตัวเธอหอมจังเลย”
เธอก็ไม่มีกลิ่นตัวเหมือนกันหรอก โอเคไหม?
ผู้ชายคนนี้สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้ด้วยดวงตาที่เปิดอยู่
เพราะงั้นพวกเขาต้องรอผลการตรวจจากห้องทดลองอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?
ความจริงแล้วเขาสามารถให้อันหยาพั่นพูดออกมาด้วยตัวเอง แต่ว่าจิ่งเป่ยเฉินรู้สึกว่าหัวใจของโหรวโหรวจะต้องสงสัย ใช้วิธีดูผลตรวจที่ออกมานั้นดีที่สุด
แต่ในเมื่อเธอบอกว่าเส้นผมนั้นอาจจะไม่ใช่เส้นผมของเด็กน้อยคนนั้น
เขากอดเธอนั่งลงบนตักและเอาเสื้อสูทคลุมไปที่เธอ “หนาวไหม?”
“ผลตรวจออกมาแล้วสมเหตุสมผลไหม? มีอะไรที่นายทำไม่ได้ บอกให้หมอปลอมผลตรวจออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมนายต้องทำสิ่งที่ไร้ความหมายต่อหน้าฉัน ในเมื่อนายมั่นใจมากแล้วทำไมเมื่อครู่ถึงไม่พูดออกมา กลัวว่าผู้หญิงอื่นของตัวเองและลูกจะเสียหน้าหรือยังไง?” เธอพูดอย่างสงบราวกับสายน้ำที่ไหลนิ่ง
“โหรวโหรวที่เธอพูดก็ถูก เพียงแค่แก้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” แต่ว่ามีเพียงเธอที่ทำให้เขายอมทำเรื่องที่จริงใจแบบนี้
“งั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ!” เธอไม่อยากจะอยู่ที่โรงพยาบาล
อยู่ที่นี่ทำให้คิดถึงครั้งก่อนที่เกือบจะเสียลูกไป
“ได้ พรุ่งนี้ค่อยส่งผลตรวจมาให้ถึงมือเธอ” เขาโอบเธอเดินออกไป กลิ่นยาและน้ำยาฆ่าเชื้อที่อยู่ในห้องทดลองค่อย ๆ จางหายไป
อันโหรวเงียบมาตลอด กระทั่งขึ้นมาบนรถเธอถึงพูดขึ้นมา “ไม่ต้องแล้ว”
“ไม่ต้องอะไร?”
ไม่ต้องการเขาแล้วหรือยังไง?
“ไม่ต้องเอาผลตรวจมาแล้ว” เธอเอามือปิดหน้าตัวเอง น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาผ่านฝ่ามือ
เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร?
วันนั้นที่เห็นเขาเซ็นชื่อในเอกสาร ในหัวสมองก็มีความขุ่นมัวอยู่ในใจ บวกกับเรื่องจี้หยกนั่นทำให้เธอปักใจเชื่อไปแล้วว่าอันหยาพั่นนั้นพูดความจริง
เมื่อมาคิดตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เหมือนจิ่งเป่ยเฉินและอันหยาพั่น
แม้ว่าหน่วนหน่วนจะเป็นลูกครึ่ง แต่ว่าคิ้วของเธอเหมือนจิ่งเป่ยเฉิน
เขาที่เป็นคนยิ่งยโสแบบนั้นจะทำเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ไปทำไม โดยเฉพาะมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูอย่างตั้งใจ
การที่ได้เส้นผมมาอย่างยุ่งยากและต้องมาแก้ไขข้อมูลอะไรนั่น ถ้าพูดมาตรง ๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอ?
“โหรวโหรว” ทันใดนั้นเขาก็กอดเธอเอาไว้ ผลตรวจไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือหัวใจของเธอนั้นคิดยังไง
“ไม่ใช่ว่าฉันเชื่อใจนาย ถึงยังไงเรื่องข่าวฉาวของนายก็เยอะเกินไป” เธอยังคงหมกมุ่นอยู่กับการกระทำ หัวใจที่แน่นพัวพันไม่เชื่อใจเขา แต่ว่าก็ไม่ได้ชัดเจนเหมือนอย่างเมื่อก่อน
บิ๊กบอสพูดไม่ออก นั่นมันเป็นเรื่องอดีต ไม่มีผลอะไรเลย เขาผิดไปแล้วไม่ได้เหรอ?
ผู้หญิงพวกนั้นเขาจำไม่ได้เลยสักคน!
“ฉันมีขั้นตอนในการรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมอยู่ เธออยากจะดูไหม?”
“ยินดีด้วยที่นายได้ติ่ง[1]มาอีกคน” เธอไม่อยากจะเห็นของแบบนั้น วันนี้เห็นอันหยาพั่นมองเสี่ยวอวี๋ด้วยใบหน้าที่ซีด หัวใจของเธอก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
แถมยังพูดว่าไม่รู้จักและก็พูดว่ารับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมอีก ก็เป็นบุตรบุญธรรมจริง ๆ
“ติ่ง?”
“เธอเป็นติ่งของฉันงั้นเหรอ?” เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาชอบ เพียงแค่เธอชอบคนเดียวก็พอ
“นายมันหลงตัวเองเกินไปแล้ว!” ตอนนี้เธอไม่ได้มีอารมณ์มาล้อเล่นนะ เพียงคิดว่าอยากจะกลับไปนอนพักผ่อน
“ที่รักชอบไหม?”
ภายในรถที่เคลื่อนไปอย่างราบรื่น อันโหรวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏออกมาบนใบหน้า “พวกนายรู้จักกันหกเจ็ดปีแล้วเหรอ?”
ร่องรอยแห่งความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เข้มงวดของบิ๊กบอส “เธอหมายถึง?”
“ลูกพี่ลูกน้องฉันไง! นายอย่าบอกฉันนะว่านายจำไม่ได้? นายคิดว่าวันนั้นที่ด้านนอกสวนซิวพวกนายเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก?”
ถ้าหากว่าพวกเขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ คิดว่าเธอจะโง่เชื่อคำพูดของอันหยาพั่นงั้นเหรอ?
บิ๊กบอสนึกไม่ออกเลยจริง ๆ เขาไม่เคยมีความประทับใจกับผู้หญิงคนไหนเลย
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบก็คิดว่าเขานั้นยอมรับแล้ว
“นึกไม่ออก นายคงซ่อนมันเอาไว้ลึกเลยสินะ” ตอนแรกที่อันหยาพั่นมาที่บ้าน เธอไม่ระแคะระคายระหว่างพวกเขาทั้งคู่เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ฉันจำไม่ได้ว่าฉันกับเธอรู้จักกัน”
“ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็จำไม่ได้! ประธานจิ่ง เพราะนายหลับนอนไปเลยลืมงั้นเหรอ?”
“งั้นตอนนี้ฉันจะลืมนายให้หายไปไกลสุดขอบฟ้า” ผู้หญิงคนที่เขาเคยนอนด้วยก็มีแค่เธอ
รถแล่นออกไปโดยไม่มีใครพูดอะไร เธอเองก็ก้มหน้าเงียบ
……
ภายในโรงแรมนั่วเทียน หลังจากที่จิ่งเป่ยเฉินออกไป อันหยาพั่นก็รีบออกไปทันที ตามมาด้วยถังซือเถียนและถังซั่ว
ฉีเซิ่งเทียนเมามากจึงพิงไปที่ไหล่ของหลินจือเซี๋ยว น้ำหนักตัวของเขานั้นทิ้งไปที่ตัวเธอ
หลินจือเซี๋ยวแทบอยากจะหยิบขวดไวน์บนโต๊ะมาฟาดที่หัวของเขา ลูกสาวนอกสมรสงั้นเหรอ?
เหอะเหอะ!
“ฉีเซิ่งเทียน นายมีสติหน่อย?” เธอตะโกนใส่เขา
ภายในห้องโถงใหญ่มีเพียงพวกเขาสองคน
จะเรียกคนอื่นมาก็คงจะไม่ได้การ
“เซี๋ยวเซี๋ยว……” เขาเมาแล้ว แต่สติของเขายังรับรู้อยู่ คาดว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้สติแล้ว
อยู่ข้างเธอแบบนี้ เขาไม่อยากจะสร่างเมา
หลินจือเซี๋ยวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ฉีเซิ่งเทียนเกาะที่ตัวของเธอแน่น “ชั้นบน ชั้นบนมีห้องอยู่”
“นายคิดว่าฉันจะหลงกลยอมให้นายพาฉันขึ้นไปบนห้องงั้นเหรอ?” ภายในห้องมีแต่ของน่ารังเกียจและก็คนที่น่ารังเกียจ
เธอไม่ต้องการไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว สภาพของฉีเซิ่งเทียนวันนี้ไม่มีทางยับยั้งชั่งใจได้อย่างแน่นอน
ฉีเซิ่งเทียนกระตุกมุมปากขึ้น การระมัดระวังตัวของเซี๋ยวเซี๋ยวนี้แข็งแกร่งจริง ๆ
ครั้งที่แล้วที่เขาลักพาตัวเธอไปที่โรงแรมออกจะประพฤติตัวดี ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะคิดว่าหลังจากนี้เธอจะตามเขามาที่โรงแรมอย่างอุ่นใจ
ไม่นึกเลยว่ากลับไม่มีผลอะไรเลยแบบนี้
หัวใจเขาเจ็บเหลือเกิน
ถ้ารู้แบบนี้น่าจะฉวยโอกาสครั้งนั้นจับเธอกินให้เรียบ!
ทั้งคู่เดินไปที่ลิฟต์อย่างทุลักทุเล กลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวของฉีเซิ่งเทียนคลุ้งไปทั่วพื้นที่แคบ ๆ
หลินจือเซี๋ยวอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เขายังหนักได้มากกว่านี้ไหม?
“ฉีเซิ่งเทียน ตัวหนักมากเลย คุณช่วยเดินไปเองได้ไหม?” เธอรู้สึกว่าไหล่ของเธอแทบจะเคล็ดอยู่แล้ว!
ฉีเซิ่งเทียนหลับตา เปลี่ยนท่าทางกอดไปที่ด้านหลังของเธอและวางกระเป๋าบนไหล่ของเธอ แบบนี้ก็ไม่หนักแล้ว
ทันใดนั้นประตูลิฟต์ตรงหน้าก็เปิดออก ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังเดินมาข้างหน้าเขา รองเท้าหนังนั้นเริ่มเดินเข้ามาใกล้
หลินจือเซี๋ยวขยับตัวออก ข้อศอกจึงชนฉีเซิ่งเทียน “นายช่วยก้าวถอยหลังไปหน่อย”
ฉีเซิ่งเทียนทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเธอและยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับไปไหน
“ไม่มีอะไร”
[1] หมายถึงคนที่บ้าคลั่งหรือหลงรักคนบางคน แฟนคลับ