อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 412 คุณชายตระกูลฉี
ตอนที่ 412 คุณชายตระกูลฉี
หลินจือเซี๋ยวได้ยินเสียงของเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมอง ทำไมชายคนนี้ดูคล้ายกับฉีเซิ่งเทียนมากเลย!
คงไม่ใช่คุณชายตระกูลฉีใช่ไหม?
เมื่อออกมาจากลิฟต์ หลินจือเซี๋ยวก็รู้สึกเหมือนมีคนหนักกว่าพันกิโลเข้ามาในนี้ สายลมกลางคืนที่เย็น ๆ พัดผ่านมาที่ตัวเขา ฉีเซิ่งเทียนดูคล้ายราวกับตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“หลินจือเซี๋ยว ฉันบอกว่าให้เธอพากลับไปที่ห้องไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอพาฉันมาที่นี่?” เขายืนตัวตรงมองไปยังรถที่จอดอยู่ตรงหน้า ไม่นานก็มีภาพของผู้คนมากมายปรากฏตัวขึ้น
“พาคุณชายสองกลับไป!”
คุณชายฉีเหลือบมองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินไปที่ด้านข้างของรถ
หลินจือเซี๋ยวยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวชายที่กำลังจะอุ้มตัวเขาไป เขาเอ่ยปากตะโกนร้องว่า “เซี๋ยวเซี๋ยว เซี๋ยวเซี๋ยว” อยู่ตลอด
จนกระทั่งตัวเขาถูกพาเข้าไปในรถคันหนึ่ง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนหลินจือเซี๋ยวแทบตอบสนองอะไรไม่ถูก
หลังจากที่รถตรงหน้าของเธอขับออกไป เธอถึงได้เดินออกไป วันเกิดของฉีเซิ่งเทียน วันนี้เขาควรที่จะกลับไปฉลองที่บ้าน?
เขาคงไม่ได้เป็นอะไรหรอกใช่ไหม?
ช่างเถอะ พี่ชายของเขาพาเขาไปจะเป็นอะไร หลินจือเซี๋ยวคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
คืนนี้เธอไม่ได้ดื่มไวน์จึงขับรถตัวเองกลับไป
ระหว่างทางกลับบ้านก็พลันรู้สึกว่าเมื่อครู่คุณชายตระกูลฉีคนนั้นดูเคร่งขรึมและเยือกเย็นมาก
ภายในใจเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย จนในที่สุดก็ต้องจอดรถข้างถนน
ไม่กล้าที่จะโทรศัพท์หาบิ๊กบอส จึงเลือกโทรศัพท์หาโหรวโหรวแทน
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นถูกรับสาย แต่ว่าเสียงที่ดังขึ้นนั้นกลับไม่ใช่เสียงของอันโหรว เป็นเสียงทุ้มต่ำของบิ๊กบอส!
“มีอะไร?”
“ประธานจิ่ง เมื่อครู่ผู้จัดการฉีถูกคนอุ้มไป เหมือนว่าจะเป็นคนในบ้านของเขา คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมคะ?” เธอเองก็ไม่อยากยุ่งจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น
“ฉันจัดการเอง”
บิ๊กบอสพูดจบก็วางสายหลินจือเซี๋ยวทันที
คำง่าย ๆ จากปากเขาเพียงสี่คำ หลินจือเซี๋ยวกลับรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก แต่คำพูดของเขาที่บอกว่าจะจัดการเองนั้นฟังดูแล้วก็เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริง ๆ
คนอย่างฉีเซิ่งเทียนใครจะทำอะไรเขาได้ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก!
เธอเหยียบคันเร่งรถและขับออกไปอีกครั้ง
ทางด้านจิ่งเป่ยเฉิน เมื่อวางโทรศัพท์ของอันโหรวลงก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพลางเดินไปที่ระเบียงด้านนอก
อันโหรวที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเห็นว่าเขายืนอยู่ที่ระเบียงด้วยท่าทางที่เย็นชา เธอเช็ดผมและเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
เมื่อวานเธอวางไดร์เป่าผมไว้ในลิ้นชักที่โต๊ะเครื่องแป้ง
เธอนั่งเป่าผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เสียงของไดร์เป่าผมทำให้ฝีเท้าของจิ่งเป่ยเฉินนั้นหยุดลง
จู่ ๆ ไดร์เป่าผมในมือก็ถูกดึงออกไป เธอนั่งนิ่ง ๆ อย่างเชื่อฟังพลางมองใบหน้าที่เย็นชาของเขาผ่านกระจก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เปล่า”
“ไม่ใช่ว่าผลตรวจออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันจริงหรอกนะ?” แบบนั้นได้สนุกแน่!
“หรือว่าเธอไม่หวัง?” เธอที่คิดอยากจะหย่ากันขนาดนั้น อยากจะไปอยู่กับคนอื่น ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอควรจะดีใจถึงจะถูก
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนหวังอยากจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกนะ” เธอมองเขาผ่านกระจกด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เพราะว่าสนใจมากเกินไป เชือกที่ยึดแน่นจนเกินไปอาจทำให้เชือกนั้นขาดเพราะรับแรงดึงไม่ไหว
เสียงของไดร์เป่าผมหยุดลง จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้าลงมาข้างใบหูของเธอและพูดขึ้นว่า “ที่รัก เนื้อตัวและจิตใจของฉันบริสุทธิ์ นอกจากเธอก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่น”
อันโหรวตัวแข็งทื่อ ท่าทางของทั้งสองคนนั้นดูคลุมเครือเกินไป
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวเข้ามาในหูของเธอ น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำดังเข้ามาในหูอีกครั้ง “เธอล่ะ?”
“ผู้หญิงสักคนก็ไม่มี”
คำตอบของเธอดีจนเป็นที่พึงพอใจของบิ๊กบอส
เขาเปิดไดร์เป่าผมให้เธอต่อ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพที่ดูสงบกลมกลืนแบบนี้
ดวงตาดำสนิทมองดูใบหน้าที่สวยงามผ่านกระจก อยากจะรู้คำตอบที่แท้จริงของเธอ
ว่าลูกในท้องนั้นคือลูกของใคร?
เมื่อเป่าผมเสร็จเธอก็หยิบหวีขึ้นมาหวีผมตัวเอง น้ำหนักมือของจิ่งเป่ยเฉินนั้นหนักเกินไป จึงไม่มีหนทางอื่น
บิ๊กบอสยังคงยืนอยู่ตรงด้านหลังของเธอและจ้องมองด้วยดวงตาสีเข้มอย่างผ่อนคลาย
ทันทีที่เธอหวีผมเสร็จก็ลุกขึ้นมามองเขา “พรุ่งนี้ฉันต้องออกไปข้างนอก!”
“ไปทำอะไร?”
“ตัดผม”
ผมสั้นสะดวกกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่มีลูก ลูกมักจะชอบจับผม เมื่อก่อนหน่วนหน่วนดึงผมจนหนังหัวเธอแทบจะหลุด
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ผมสีดำที่ยาวสลวยของเธอก่อนจะลูบมันเบา ๆ น่าเสียดาย ผมยาวสักหน่อยจะดูอ่อนโยนกว่ามาก
แต่ว่าโหรวโหรวอยากตัดก็ไปตัดเถอะ!
“ฉันจะตัดให้เธอเอง”
“นาย……” อันโหรวรีบเอียงหัวออกจากมือของเขาทันที “ถ้างั้นนายเอากรรไกรมาให้ฉันก็พอ ฉันจะตัดเอง”
ฝ่ามือของเขาว่างเปล่าราวกับว่าหัวใจของเขานั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน เขามองเธอด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “ออกไปข้างนอกไม่ปลอดภัย พรุ่งนี้จะโทรหาช่างตัดผมให้เข้ามาเอง”
“แล้วแต่นาย” เธอเอนตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหลับตาและนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเรื่องคืนนี้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับตัวเธอเลยสักนิด
จิ่งเป่ยเฉินมองเธอนอนอย่างสงบ ฟังเสียงลมหายใจของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะนอนกอดเธอและหลับไปเช่นกัน
แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อเขาอย่างชัดเจน แต่หัวใจของเธอควรจะสงสัยและสั่นคลอน
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอุ่น ๆ อากาศแจ่มใส
ตอนที่อันโหรวลงมาชั้นล่าง อันหยาพั่นก็เข้ามาอยู่ภายในบ้านแล้ว เสี่ยวอวี๋และหน่วนหน่วนเองก็นั่งอยู่ด้านข้าง
ไม่เห็นแม้แต่เงาของจิ่งเป่ยเฉิน
“พี่คะ ตื่นแล้วเหรอ พี่เขยเขา……”
“ไม่จำเป็นต้องบอกฉันว่าเขาอยู่ไหน! ฉันไม่อยากรู้!” เธอเดินยิ้มไปที่หน่วนหน่วน ก่อนจะหอมแก้มลูกสาวตัวน้อยและเดินไปที่โต๊ะอาหาร
เมื่ออันหยาพั่นเห็นก็พูดกับเสี่ยวอวี๋และเดินตามไป
อันโหรวอยากจะกินอาหารเช้าอย่างเงียบ ๆ แต่ทันทีที่เธอนั่งลง อันหยาพั่นก็เดินมานั่งลงตรงข้ามเธอ
มองใบหน้าของเธอก็ไม่มีอารมณ์อยากจะกินต่อ
แต่ว่าตัวเธอไม่กินก็ได้ แต่ห้ามหิวจนกระทบถึงลูกในท้อง
“พี่คะ ต้องขอโทษเรื่องของเสี่ยวอวี๋ด้วยจริง ๆ” เธอลุกขึ้นและเคลื่อนตัวเองมานั่งที่ด้านขวาของอันโหรว
อันโหรวเหลือบมองเธอและยกนมขึ้นดื่มราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอ
“หลังจากที่พี่หนีไป พี่เขยก็ไปตามหาพี่ที่เมือง S เขาคิดว่าพี่อยู่ที่นั่น สุดท้ายเขาดื่มจนเมา แล้วก็……” เธอหยุดพูด หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ชายหญิงอยู่กันสองต่อสอง
“เขาเมาจนจำเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากพี่เขยยังไม่รู้เรื่องของเสี่ยวอวี๋ พี่ก็อย่าบอกเรื่องนี้กับเขาได้ไหม ฉันจะพาเสี่ยวอวี๋หนีไปแน่ ๆ จะไม่มาปรากฏตัวและจะไม่มารบกวนพวกพี่อีก” อันหยาพั่นขอร้องพลางอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
“พาเธอหนีไป แต่ยังมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก?” น้ำเสียงที่เย็นชาของอันโหรวเอ่ยขึ้น น่าทึ่งมากกับการที่พูดแล้วทำเรื่องแบบนี้
“คือฉัน……..” เธอไม่ได้คิดเอง เป็นจิ่งเป่ยเฉินที่ส่งคนไปรับพวกเขามา
ความจริงแล้วเธอก็เกือบคาดเดาได้ว่าเรื่องอาจจะถูกเปิดโปง
เมื่อวานไม่มีทางที่ฉีเซิ่งเทียนจะต้องการเส้นผมของเสี่ยวอวี๋ จู่ ๆ ฉีเซิ่งเทียนจะมาคิดว่าเสี่ยวอวี๋เป็นลูกนอกสมรสได้ยังไง จะต้องเป็นจิ่งเป่ยเฉินเอาไปแน่ ๆ
แต่ว่าเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“เธอกินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?” อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นจิ่งเป่ยเฉินที่ยืนถือของอยู่ในมือไกล ๆ