อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 421 ความจริง
ตอนที่ 421 ความจริง
ความจริงก็คือความเจ็บปวด มันคล้ายกับความจริงที่เธอบอกเมื่อคืน สุดท้ายก็ไม่ชอบอยู่ดี
นั่นก็เพราะว่าจู่ ๆ จิ่งเป่ยเฉินก็บอกว่าจะไปงานเลี้ยงของวันเกิดโอวหยางลี่ คำเชื้อเชิญงานเลี้ยงวันเกิดของเขา ส่วนเรื่องบัตรเชิญงานเลี้ยงวันเกิดอะไรนั่นก็ไม่มีใครเคยถามถึงเรื่อง งนี้มาก่อนด้วย
แต่งานเลี้ยงวันเกิดนี่แน่นอนต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพราะมันจะถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พิสูจน์ตัวเองว่ากลุ่มโอวหยางกรุ๊ปยังคงโดดเด่นและไม่มีวันล่มสลายลงไปได้
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรวเข้ามาข้างในก็เห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านใน
ส่วนนักข่าวเองก็อยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก แสงแฟลชก็สาดส่องตลอดทางที่พวกเขาสองคนเดินไปไม่มีทีท่าที่จะหยุด สีหน้าของจิ่งเป่ยเฉินสงบนิ่ง ไม่ได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
อันโหรวก็ยิ้มเกาะแขนของเขาไว้ ดูเหมือนว่าตัวเธอนั้นจะเป็นคนที่สวมชุดบนตัวเยอะมากที่สุดในงานเลี้ยงเลยก็ว่าได้ เธอสวมทั้งเสื้อโค้ทคลุมตัวเอาไว้ที่ด้านนอก เรียกได้ ว่าครั้งนี้เธอไม่หนาวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉันต้องเตือนเธอหน่อยนะ คนท้องจำเป็นต้องให้ร่างกายอบอุ่น” เขาให้เธอสวมเสื้อโค้ทตัวนอกไว้หลาย ๆ ตัว ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากต่างก็มาที่นี่ก็ตาม
บิ๊กบอสดึงเธอมากอดเอาไว้แน่นขึ้น ก่อนจะก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ ว่า “อีกอย่างข้างในนั้นค่อนข้างหนาวกว่านี้ด้วย”
อย่างที่คิดไว้ เมื่อเข้าไปข้างในก็ต้องเจอกับลมหนาว ๆ เมื่อมองไปยังหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่มางานนี้ พวกเธอต่างก็สวมชุดที่เปิดเผยให้เห็นเนินหน้าอกขาว ๆ จู่ ๆ เธอก็คิดว่าการ ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หลายชั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน
ท่ามกลางฝูงชน ไม่ช้าเธอก็ได้เห็นโอวหยางลี่ซึ่งไม่ได้เห็นมาหลายวันแล้ว เมื่อก่อนตัวเขานั้นเป็นคนที่ผู้คนต่างก็ล้วนเข้าหา แต่ทว่าตอนนี้กลายเป็นว่าเขาต้องเข้าไปอยู่กับกลุ่ มของคนอื่นแทน
โลกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ประจบแอบอิงผู้มีอิทธิพล คนจากไปชาก็เย็น[1] กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปตอนนี้แทบไม่มีค่าอะไรให้ไปประจบสอพลอเลยสักนิดเดียว เป็นธรรมดาที่ผู้คนต่างก็ต้องหลบหลีก ให้ไกล ๆ เข้าไว้
“รู้ตัวนะว่าต้องทำอะไร?” ตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวลงกระซิบที่ข้าง ๆ หูของเธอ
“รู้ ไม่ละสายตาจากนายไป อืม….ไม่ทิ้งนายไป” ตอนนี้เธอจำเป็นต้องอยู่ในสายตาของเขา
เพราะที่แห่งนี้มีหลายคนต่างก็เข้าร่วมงานแต่งของพวกเขา แต่ตอนนั้นที่งานแต่งเกิดเรื่องขึ้นเลยทำให้ตอนนี้เธอได้มาเจอพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
แม้สายตาของพวกเขาจะมีความนัยที่คิดอยากเอ่ยถาม แต่ก็ยังคงหลีกเลี่ยงเอาไว้
สายตาของจิ่งเป่ยเฉินหรี่ลงและดูเป็นอันตราย ท่าทางของเขาดูเย็นชา พลางกวาดสายตาไปทั่ว ผู้คนที่ได้เหลือบมองมาที่เขาต่างก็หดหัวลง ไม่กล้ามองพวกเขาอีก
“นายขู่ซะคนกลัวเลย!” อันโหรวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“แล้วเธอกลัวบ้างหรือเปล่า?”
เธอส่ายหน้า ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบน้ำผลไม้จากบริกรมาและพูดขึ้น “ก็ไม่ ถ้าหากนายต้องการละก็ ฉันจะแกล้งทำเป็นกลัวและยอมให้ความร่วมมือกับนายก็ได้นะ”
“ไม่ต้อง” เขาไม่อยากให้เธอมากลัวเขาเลยสักนิดเดียว
“พี่เฉิน!” ฉีเซิ่งเทียนเดินเข้ามาพร้อมกับไวน์สองแก้วในมือ “พี่สะใภ้ นับวันยิ่งสวยขึ้น สวยขึ้น เต็มไปด้วยเสน่ห์จริง ๆ ครับ!”
เอ๊ะ ท้อง?
อันโหรวเผยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ท้องเธอยังไม่เด่นชัดออกมาไม่ใช่เหรอ?
อีกอย่างจนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยพูดเรื่องที่เธอตั้งท้องมาก่อนเลย อย่างน้อยก็ไม่เคยพูดออกไป แม้แต่หลินจือเซี๋ยวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
ฉีเซิ่งเทียน เขา…..
เป็นจิ่งเป่ยเฉินพูดหรือเปล่านะ?
ในใจของเขาคงคิดว่านั่นไม่ใช่ลูกของเขา แล้วเขาจะไปบอกคนอื่น ๆ ได้ยังไงกัน?
ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่ไม่คิดน่าจะดีกว่า
ท่ามกลางผู้คนเธอรู้สึกเหมือนถูกพวกเขามองไปทั่วทั้งตัว เธอเบือนหน้าก็หันไปเจอเฉาลี่เฟยที่เดินออกมาจากกลุ่มผู้คน ใบหน้าของเธอนั้นดูอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด
อีกอย่างผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเธอนั้นใช่ผู้ชายที่เคยเห็นในงานวันเกิดของเธอหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้น?
รู้สึกจะชื่อเหลียนมู่
ครั้งที่แล้วก่อนหน้านั้นเธอบอกเรื่องนี้กับจิ่งเป่ยเฉินไป เธอรู้สึกว่าพวกเขามีอะไรแปลก ๆ บางอย่าง แต่เมื่อไปตรวจสอบดูก็ไม่พบอะไรเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงลืมเรื่องของเขาไปอย่าง สนิทใจ
“โหรวโหรว ประธานจิ่ง พวกคุณมาแล้วสินะ!” เฉาลี่เฟยยื่นแก้วไวน์ในมือของเธอขึ้นและมองดูพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับคนแก่มองดูหลาน ๆ ลูก ๆ ของตัวเอง
นี่พวกเขาสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้าทักทายแบบนี้มีหวังถูกคนอื่นเข้าใจผิดกันพอดี!
ไม่รู้เลยว่าทำไมพอเห็นเฉาลี่เฟยอยู่ตรงนี้แล้ว โอวหยางลี่ก็กังวลว่าพวกเขาจะไปรังแกเธอ จึงเดินเข้ามาด้วย
ฉีเซิ่งเทียนยืนดื่มไวน์อยู่เงียบ ๆ พลางมองดูเรื่องสนุกตรงหน้า
เพียงแต่ว่าเขาต้องทำเรื่องของเขาให้เสร็จเสียก่อน!
“โหรวโหรว ช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?” ตัวของโอวหยางลี่เองก็คิดอยากจะทักทายจิ่งเป่ยเฉิน แต่ตัวจิ่งเป่ยเฉินน่าจะไม่สนใจเขาแน่ ๆ
เพียงแต่ว่าคืนนี้เป้าหมายของเขานั้นไม่ใช่จิ่งเป่ยเฉิน
“ค่อนข้างดี กินดีอยู่ดี นอนก็ดี อารมณ์ก็ดี นายไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ผิวพรรณฉันดูสดใสขึ้น?” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมา ก่อนจะเอนตัวพิงไปทางจิ่งเป่ยเฉินที่อยู่ข้าง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินนั้นเหมือนกับเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ การที่แนบชิดติดกับเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เขามองไปยังฝั่งตรงข้าม ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น
ฉีเซิ่งเทียนยกนิ้วโป้งให้เธออยู่ในใจเงียบ ๆ นี่มันเหมือนกับตบหน้าคนเลย
คนบางคนพูดด้วยก็ดื้อไม่ยอมฟัง หน้าช่างหนาเสียจริง ๆ
โอวหยางลี่เป็นคนที่หน้าด้านหน้าทนที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา!
โอวหยางลี่มองไปทางจิ่งเป่ยเฉินและพูดขึ้นว่า “ประธานจิ่ง ผมขอคุยกับโหรวโหรวเป็นการส่วนตัวได้หรือเปล่า? ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับเธอหน่อย แน่นอนว่าจะไม่ทำอะไรกับเธออีกแล ล้ว”
“เดิมทีนายคิดจะทำอะไร?” จิ่งเป่ยเฉินพูดอย่างเย็นชา เขาไม่มีทางปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกแบบนั้นแน่
หลังจากนี้เขากับโหรวโหรวสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ การที่ต้องมาอยู่กับเขามีแต่จะทำให้ตัวเธอรู้สึกอึดอัดเปล่า ๆ
“ผมจะทำอะไรได้ ผมก็แค่คิดอยากจะพูดคุยด้วยไม่กี่คำ ตอนนี้ผมชัดเจนถึงตัวตนของประธานจิ่งแล้ว มีหรือที่ตัวผมจะอยากเพิ่มข้อหาให้ตัวเองอีก” ตอนนี้เขาคงไม่เบื่อชีวิตตัวเองขนา าดนั้น
“พูดอะไร?” อันโหรวเอ่ยถามขึ้น ถ้าหากมันไม่สมเหตุสมผลมากพอ เธอก็ไม่คิดอยากจะฟัง
“เรื่องของตระกูลอัน เธอต้องสนใจอยู่แล้ว” ครั้งที่แล้วตอนนั้นที่อยู่ในสภาพเหมือนติดคุก เขาไม่ได้พูดให้จบ เธอก็หนีออกไปก่อน
“ตอนนี้สนใจเพียงนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างเรื่องพวกนี้จิ่งเป่ยเฉินเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว นายพูดมาสิมันคืออะไร!” ตอนนี้เธอไม่สนว่าเฉาลี่เฟยจะอยู่ที่นี่หรือไม่ เพราะเรื่องของ งตระกูลอันไม่ว่ายังไงมันก็เกี่ยวข้องกับเธอทั้งนั้น
“โหรวโหรว ฉันแค่อยากจะบอกเธอเท่านั้น” โอวหยางลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่สนใจแม้แต่เฉาลี่เฟยที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเลยสักนิดเดียว
เมื่อเฉาลี่เฟยได้ยินโอวหยางลี่พูดขึ้น ใบหน้าของเธอก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาด้วยความประหลาดใจทันที
เธอรีบดึงโอวหยางลี่เข้ามาหา “แกบ้าไปแล้วเหรอ คิดจะพูดเรื่องอะไรกันแน่!”
“แม่ ผมก็แค่จะพูดกับโหรวโหรวไม่กี่คำ” โอวหยางลี่มองเธอด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองอันโหรวและพูดต่อ “โหรวโหรว ขอแค่ไม่กี่นาที ที่นี่มีการเฝ้าระวังอยู่ทุกที่ ถ้าหากประธานจิ่งไม่วางใจละก็ ให้เขาไปห้องวงจรปิดดูพวกเราก็ได้”
จิ่งเป่ยเฉินยังคงเกาะตัวอันโหรวไว้ไม่ยอมปล่อย ปีนั้นเรื่องก็เป็นแบบนี้ไม่มีผิด พอเขาไปตรวจสอบก็หาอะไรไม่เจอ ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกับเขาเลยด้วยซ้ำ
นี่คือความตั้งใจของเขาแต่แรกอยู่แล้ว
“ฉันขอไปสักนาทีสองนาทีได้ไหม?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่แน่ชัด
“ไม่ได้!” ต่อให้เธอจะออกไปเพียงเสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ เพราะมันอาจจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่คาดเดาได้เลย
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าประธานจิ่งจะกลัวขนาดนี้ ขอเวลาเพียงสักนาทีสองนาทีก็ไม่ได้ หรือว่าคุณกลัวอย่างนั้นเหรอ?” โอวหยางลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะจิบไวน์ต่อ “ดูเหมือนประธานจิ่งจะไม่แน่ ใจสินะว่าถ้าโหรวโหรวออกไปแล้ว อาจจะไม่กลับมาหาคุณอีก?”
“โอวหยางลี่ นายจะพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้! ในใจฉันนั้นจะมีใครก็ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาพูด แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีนายหรอก!” เธอพูดจบก็เงยหน้าไปมองจิ่งเป่ยเฉิน “ขอเพียงไม่กี่นาที เดี๋ยวจะกลับมานะ”
เธอเบิกตากว้างโตมองเขาด้วยท่าทางที่อ้อนวอน ปากน้อย ๆ ยื่นออกมา มองดูแล้วก็น่าสงสารไม่น้อย
“อีกเดี๋ยวจะกลับมา ถ้าหากเขาทำอะไรฉันละก็ ฉันจะตะโกนเรียกนายสุดแรงเลย!” เธออยากจะฟังสิ่งที่โอวหยางลี่จะพูดแล้วจริง ๆ
อีกอย่างทั้งหมดที่จิ่งเป่ยเฉินพูดตอนนั้นเกี่ยวข้องกับแม่ของเธอ หลังจากนั้นก็ยังบอกว่ามันอาจทำให้เธอกลัว ในใจเธอก็รู้สึกไม่สงบเลยสักนิด
จิ่งเป่ยเฉินปล่อยเธอไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “มากสุดห้านาที หลังจากนั้นฉันจะไปหาเธอ”
[1] เปรียบคล้ายคนที่เหมือนกับชา ยามแขกกลับไปแล้ว ไม่ได้ดื่มชาตอนที่ร้อน ๆ ผ่านไปนาน ๆ เข้าชาก็เย็นขึ้น แปลอีกอย่างก็คือเมื่อจากไปจากที่ที่เคยอยู่ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ก็เ เริ่มเปลี่ยนไป หรือเป็นผู้มีอำนาจ เมื่อตกต่ำลงก็ไม่มีคนสนใจอีกแล้ว