อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 435 ร้อนจี๋
ตอนที่ 435 ร้อนจี๋
แย่แล้ว คงไม่ใช่ร้อนจี๋แล้วหรอกนะ?
หลินจือเซี๋ยวมองดูใบหน้าที่แดงก่ำของเขา ก่อนจะยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความกังวล
ครั้งที่แล้วฉีเซิ่งเทียนก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังไม่ยอมกินยาอีก ถ้าวันนี้เขาไม่ได้กินยา พรุ่งนี้ตื่นมาคงไม่ได้กลายเป็นคนโง่ที่ละเลือนหรอกใช่ไหม?
มีทางเดียวเท่านั้นสินะ!
คือป้อนด้วยปาก!
หลินจือเซี๋ยวสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ โชคดีที่มีแค่เม็ดเดียว เม็ดเดียวเท่านั้น!
มากกว่านี้เธอคงทำไม่ได้แน่!
ก็แค่ป้อนยาลดไข้เข้าไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่จูบเสียหน่อย ไม่ใช่!
ในใจเธอเหมือนกับกำลังหาเหตุผลต่าง ๆ มากมาย ก่อนจะเอายาเข้าไปในปากของตัวเองและขยับตัวเข้าไปใกล้ปากของฉีเซิ่งเทียน รู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขา
ก็แค่ป้อนยาเท่านั้น
เมื่อคิดแบบนั้นเสร็จเธอก็ประกบเข้าไปตรงปาก เม็ดยาสีขาวก็ค่อย ๆ ไหลเข้าไปในปากของเขา ปลายลิ้นดันตัวเม็ดยาผ่านร่องฟันและค่อย ๆ ถูกดันเข้าไปลึก ๆ ………..
เมื่อคิดถึงภาพที่เคยเห็นในทีวีเป็นประจำ ในหัวก็เหมือนมีเสียงดังเพียะตีกันอยู่เรื่อย ก่อนที่เม็ดยาจะเข้าไปในที่สุด
แต่ทำไมยาเม็ดนี้ถึงไม่ยอมเข้าไปง่าย ๆ กันนะ?
ในที่สุดเมื่อรู้สึกว่ายากำลังละลายอยู่ในปากของเขา เธอก็คิดว่าเธอคงไม่มีฝีมือเรื่องการป้อนยาให้คนอื่นแน่ ๆ
ช่างเถอะ อย่างน้อยยาก็มีกลิ่นและยังคงอยู่ในปากของเขา มันน่าจะได้ผลแหละ
เมื่อกำลังคิดอยากจะผละออกจากตัวเขา ไม่ช้าก็ถูกเขาดึงเอาไว้จนทำให้ไม่สามารถยืนขึ้นได้ ก่อนจะล้มลงไปที่ตัวของเขา
นี่เขาไม่ได้นอนหลับอยู่เหรอ?
“ฉีเซิ่งเทียน?”
เขายังคงไม่ได้ตอบกลับ ดูเหมือนว่าเขาอาจจะตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
อะไรกัน คิดว่าเธอเป็นเฉินเหยียนหรือยังไง?
เธอพยายามที่จะลุกออกจากตัวของเขา แต่มือของเขายังคงจับข้อมือของเธอไว้ อีกแล้วเหรอเนี่ย?
ฉีเซิ่งเทียนไม่ใช่ว่าป่วยแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยหรอกนะ ถึงได้คิดจะดึงตัวเธอเอาไว้แบบนี้?
“ง่วงนอน…….”
เธอหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิออกมาวัดไข้ให้เขาอีกครั้ง อุณหภูมิ 37.3 องศา อุณหภูมิเขาลดลงแล้ว ดูเหมือนน่าจะค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นอย่างช้า ๆ
ก่อนจะลุกขึ้นไปที่โซฟาที่อยู่ตรงประตู เธอนั่งลงไปและเอียงศีรษะลงแนบอิง ก่อนจะหลับไปอย่างช้า ๆ
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนเข้ามา บนเตียงตอนนี้มีคนกำลังขยับตัวไปมาอยู่
ฉีเซิ่งเทียนรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เมื่อคืนตอนนั้นตะโกนเถียงกับหลินจือเซี๋ยวอยู่ตั้งนาน รู้สึกเหมือนกับว่าเธอเปิดประตูออกมาแล้ว จากนั้นสติของเขาก็ดับวูบไป
เขาจำไม่ได้เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่เขาจำได้แม่นว่าตอนนั้นมือของเขากำลังจับไปที่ข้อมือเรียวยาว เขาพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าที่หลับใหลของหลินจือเซี๋ยวอยู่ใกล้ ๆ ขนตาที่ยาวกำลังปิดลงอย่างสน นิท ไร้ท่าทีที่ป้องกัน
ในหัวแทบจะระเบิดขึ้นมาให้ได้เลย ที่แท้เมื่อคืนเธออยู่ข้าง ๆ ตัวเขานี่เอง
เซี๋ยวเซี๋ยวของเขาช่างดีเหลือเกิน อย่างน้อยก็รู้ว่าในใจเธอยังมีเขาอยู่ เมื่อเห็นที่วัดไข้ที่ถูกวางเอาไว้พร้อมกับยาลดไข้บนเตียง ภายในใจของเขาก็รู้สึกมีความสุข
แม้จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับอกหัก แต่เมื่อคืนเซี๋ยวเซี๋ยวก็ดูแลเขาจนเขาเกือบคิดว่าเป็นภาพลวงตา!
การอาบน้ำเย็นเมื่อคืนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ว่าในใจของเซี๋ยวเซี๋ยวยังมีเขาอยู่
“อืม……”
หลินจือเซี๋ยวส่งเสียงครางเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มปวดคอหน่อย ๆ
การนอนแบบนี้ดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไร คงไม่ใช่ว่านอนตกหมอนหรอกใช่ไหม?
“ผู้จัดการฉี!”
เมื่อเห็นว่าฉีเซิ่งเทียนกำลังมองเธออยู่นั้น จู่ ๆ เธอก็เผลอตะโกนลั่นออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเขาทันที ก่อนจะหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิที่หัวเตียงขึ้นมา “คุณดีขึ้นแล้วนี่!”
“เซี๋ยวเซี๋ยว เธอรักฉันจริง ๆ” ฉีเซิ่งเทียนหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิมาจากมือของเธอ ก่อนจะมองหน้าเธอ
หลินจือเซี๋ยวทำหน้าไร้ซึ่งการแสดงออกใด ๆ ก่อนจะพูดว่า “ผู้จัดการฉี คุณช่วยปล่อยมือฉันก่อนจะได้ไหม ฉันรู้สึกเหมือนว่ามือของตัวเองเลือดเดินไม่ค่อยดี!”
ฉีเซิ่งเทียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าร้ายแรงเสียแล้ว จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้!
เขารีบปล่อยมือเธอทันที “เซี๋ยวเซี๋ยว เมื่อคืนเธอดูแลฉันทั้งคืน ขอบคุณนะ”
“คุณคิดเยอะเกินไปแล้ว ก็แค่สิบนาทีเท่านั้น” เธอพยายามที่จะก้าวถอยหลังและรีบเดินออกห่างจากเตียงที่เขาอยู่ ก่อนจะมองหน้าเขา “คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ ฉันรู้สึกว่าน่าจะดีขึ้น กว่าเดิม ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นละก็ คงต้องไปที่โรงพยาบาล เพราะแค่คืนเดียวมันไม่น่าจะหายไวขนาดนั้น!”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกไปจากห้องทันที ฉีเซิ่งเทียนนั่งเหม่อลอยมองดูเครื่องวัดอุณหภูมิในมือของตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อจะได้อย ยู่ข้าง ๆ เธอ
“เซี๋ยวเซี๋ยว ฉันยกมือขึ้นไม่ไหว วัดอุณหภูมิตัวเองก็ไม่ได้ เธอช่วยฉันหน่อยสิ” เขาทำท่าทางอ่อนแอขึ้นมา
หลินจือเซี๋ยวเดินกลับมาที่ห้องพร้อมกับเสื้อผ้าของเขา เมื่อเห็นท่าทางของเขาแบบนั้น ภายในใจก็รู้สึกเหมือนกับมีเปลวเพลิงปะทุขึ้นมา
ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าดีขึ้นแล้ว!
มันดูอ่อนแอตรงไหนไม่ทราบ?
“อันที่จริงฉันรู้สึกเหนื่อยกว่าคุณอีกนะ ฉันง่วงมากเลย!” เธอโยนเสื้อผ้าของฉีเซิ่งเทียนลงไปบนเตียง ก่อนจะพูดว่า “สวมเสื้อผ้าด้วยตัวเองเถอะ!”
หรือว่าภาพที่เขาเห็นตอนนั้นมันจะเป็นภาพลวงตาที่งดงามและชวนเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเธอดูแลเขา!
“เซี๋ยวเซี๋ยว……”
แทบไม่มีใครตอบกลับ
“เซี๋ยวเซี๋ยว……”
ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใด ๆ
เขาลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินออกไป เรื่องเสื้อผ้าพวกนี้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ แค่อยากรู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่กันแน่?
ที่ห้องครัว หลินจือเซี๋ยวกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ เมื่อคืนนี้เกือบจะทำร้ายเขาไปอีกรอบ แต่ดีตรงที่ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับสนิทไป เธอจึงกลับมานอนที่โซฟาได้อย่างสบายใจ แต่ตัวเ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองมือไม้เริ่มไร้เรี่ยวแรงแล้วด้วย
อาจจะเป็นเพราะท้องหิวมาก ต้องการสารอาหารมาเติมเต็ม
ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองก็เห็นฉีเซิ่งเทียนกำลังยืนพิงอยู่ที่ประตู ผ้าเช็ดตัวที่หุ้มตัวเขาอยู่นั้นหลวมอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่นานมันคงหล่นลงมาจากเอวของเขาแน่ ๆ
นี่เขาไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ เหรอ?
“ช่วยใส่เสื้อผ้าแล้วค่อยออกมาได้ไหม?” เธอกำลังทอดไข่อยู่ มือก็ถือตะหลิว คิดอยากจะเอาตะหลิวทุบไปที่หัวเขาจริง ๆ
“ไม่มีแรง ใส่ไม่ได้ อีกอย่างเสื้อผ้าเมื่อคืนก็สกปรก สกปรกเกินไป ฉันใส่ไม่ได้หรอก!” ต่อให้เปลือยกายต่อหน้าเธอ ก็แอบคิดว่าเธอคงจะหน้าแดงไม่ใช่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปแก้ผ้าหาเอาเองเลย!” อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีเสื้อผ้าของเขาด้วยซ้ำ มีแต่ของเขาเหลืออยู่เท่านั้นเอง!
“อย่าเข้ามานะ! ถ้านายเข้ามาละก็…….” เธอยกตะหลิวขึ้นมา ก่อนจะมองดูไข่เจียวสีเหลืองในกระทะและพูดด้วยความรวดเร็ว “ออกไปรอก่อน! เดี๋ยวจะทำข้าวเช้าให้!”
เธอจะไม่ทำเหมือนกับครั้งที่แล้วแน่ ๆ ไม่เรียกเขาไปทำงาน สุดท้ายก็กลายเป็นแบบนั้น!
“ถ้าหากฉันเข้าไป เธอจะทำยังไง?” ฉีเซิ่งเทียนเดินเข้าไปข้าง ๆ ตัวเธอ รู้สึกว่ากลิ่นอาหารที่เธอทำรสชาติน่าจะไม่เลว มันหอมมากเลย
“จะให้ฉันทำอะไรผู้จัดการฉีคะ? แน่นอนทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” เธอพยายามระงับความโกรธอยู่ภายในใจ ต้องไม่ถูกเขายั่วยุเป็นอันขาด
เขาก็แค่คนป่วยคนหนึ่ง พยายามไม่สนใจคนป่วยน่าจะดี ไม่ต้องสนใจเลยจะดีที่สุด
เมื่อคิดแบบนี้ตัวเธอเองก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
อาหารเช้าเป็นเรื่องที่ทำง่ายดายมาก แต่ฉีเซิ่งเทียนกลับอยู่ตรงข้ามเธอแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจริง ๆ โดยเฉพาะท่อนบนของเขาที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้าใด ๆ ปกปิดเลยสักนิด
ฉีเซิ่งเทียนมองท่าทีของเธออย่างไม่ละสายตา เดิมทีเขาคิดอยากจะเข้าไปช่วย อยากให้เธอป้อนเขาหน่อย แต่เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว มีหวังได้ถูกหลินจือเซี๋ยวไล่ตะเพิดออกไปแน่ ๆ
ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาแบบนี้ เขาทำแบบนี้น่าจะเพียงพอแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารเช้าของหลินจือเซี๋ยวเสร็จ หลินจือเซี๋ยวก็ลุกขึ้นยืน “ผู้จัดการฉี คุณจะไปทำงานที่บริษัทหรือเปล่า?”
หวังว่าเขาคงจะไม่ไปในสภาพแบบนี้นะ
“แล้วเธอไปหรือเปล่า?”
“ฉันต้องไปอยู่แล้วค่ะ!”
เธอไม่กล้าทำตัวเหมือนเขาหรอก คิดอยากไปตอนไหนก็ไปตอนนั้น
เธอเป็นพนักงานที่จริงจังกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
“งั้นฉันก็ไปเหมือนกัน”