อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 100 ฉันยังจะรอดไหม
ตอนที่ 100 ฉันยังจะรอดไหม
ตี้อู๋เปียนและเย่ว์จือกวงซัดเงากระบี่ใส่กันเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
หลังจากมู่เถาเยาได้รับคำแนะนำจากเซียวเซียวเพื่อนร่วมชั้นและได้อ่านนิยายBL[1]เธอก็เปลี่ยนจากความสับสนเป็นความรู้แจ้ง
กิจวัตรในนวนิยายนั้นเหมือนกับที่พวกเขาสองคนทำทุกประการ!
นี่มัน…อา!
แต่พฤติกรรมนี่เหมือนเด็กประถมจริงๆ ไร้เดียงสามาก!
เมื่อเย่ว์จือกวงกลับไปเธอก็ยังรู้สึกสงสารทั้งสองคนมาก นี่เป็นการแยกจากกันในตอนเริ่มต้น ความสัมพันธ์จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่…
มู่เถาเยารู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งสองคนมาก จนตอนนี้เธอมักจะมองตี้อู๋เปียนด้วยสายตาเห็นใจอยู่บ่อยๆ
ตี้อู๋เปียนสับสนงงงวย
แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้คิดมาก เพราะมีชายร่างใหญ่สองคนมาที่บ้านอีกแล้ว!
เป็นคุณพ่อแก่ๆ บางคนที่หวงลูกสาวจนน่ากลัว!
นอกเหนือจากเวลาไปเรียนและนอนหลับ หากไม่เห็นมู่เถาเยาเขาก็จะทำให้ประเทศเหยียนหวงแห่งนี้จมอยู่ใต้น้ำ
มู่เถาเยาไม่เคยเห็นผู้ชายตัวโตคนไหนน้ำตาไหลพรากทันทีที่เขาพูด นี่ไม่ใช่การแสดง
อาไม่เคยเห็นพูดเลยว่าเธอมีพ่อแบบนี้
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเธอไปไกล
เธอสงสัยว่าแม่ของเธอจะทำเช่นเดียวกันนี้หรือเปล่า
มู่เถาเยายิ่งคิดขมับก็ยิ่งเต้นตุบๆ
เป็นเรื่องปกติที่ผู้เฒ่าเหล่านั้นจะร้องไห้ แต่คุณซึ่งเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ร้องไห้โฮเป็นเด็กๆ ต่อหน้ากลุ่มคน ไม่กลัวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเหรอ
หลังจากผ่านประสบการณ์นี้อีกครั้ง เธอก็ตระหนักได้อย่างสมบูรณ์ว่าเธอปลอบใจคนอื่นไม่เป็นจริงๆ !
ทุกคนในตระกูลตี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน
แม้แต่เย่ว์จือเหิงก็ยังไม่รู้ว่าพ่อของเขาสามารถร้องไห้ได้มากขนาดนี้!
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นเย่ว์หลั่งหลั่งน้ำตามาก่อน
ส่วนจะมีครั้งไหนแอบไปร้องไห้อย่างลับๆ บ้างนั้น เขาไม่ทราบ
แต่ในปีนั้นที่สูญเสียน้องสาวไป พ่อต้องแอบไปร้องไห้อย่างลับๆ แน่นอนแค่พวกเขาไม่เห็น
“เสี่ยวเยาเยา ลูกจะไม่ให้พ่อไปด้วยจริงๆ เหรอ”
“น้องสาว พี่เองก็อยากไปด้วย” เยว่จือเหิงรีบแสดงความคิดเห็นของเขา
“…หนูแค่จะไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนเท่านั้น…”
วันนี้เป็นวันเกิดของเซียวเซียว สาวๆ จึงตกลงที่จะออกไปฉลองด้วยกัน
“แต่มันอันตรายสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จะออกไปกินข้าวข้างนอกนะ”
มู่เถาเยา “…กฎหมายและระเบียบในเมืองเย่ว์ตูนั้นดีมาก นอกจากนี้คงมีคนไม่มากนักในโลกนี้ที่สามารถเอาชนะหนูได้”
เย่ว์จือเหิง “น้องสาว หรือไม่พี่กับพ่อไปนั่งกินข้าวโต๊ะข้างๆ หลังน้องกับเพื่อนร่วมชั้นฉลองกันเสร็จแล้วขากลับเราจะได้กลับมาพร้อมกัน”
“ไม่ค่ะ ฉันจะไปเอง ทุกคนไม่ต้องห่วงจริงๆ” จะบ้าเหรอ สาวๆ เขานัดเลี้ยงฉลองกันมีที่ไหนบ้างกระเตงพ่อกับพี่ชายไปด้วย
“…ก็ได้” เย่ว์หลั่งยอมปล่อยมือด้วยความน้อยใจ
เย่ว์จือเหิง “งั้นหลังจากน้องเลี้ยงฉลองเสร็จให้พี่ไปรับกลับคงได้ใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันจะนั่งแท็กซี่กลับ”
เย่ว์หลั่ง “ไม่ปลอดภัย”
“มันปลอดภัยมากค่ะ เอาล่ะ หนูต้องไปแล้ว ขืนสายกว่านี้ทุกคนคงต้องรอหนูแล้ว”
หลังจากที่มู่เถาเยากล่าวลาทุกคนแล้ว เธอก็ออกไปพร้อมกับกล่องยาขนาดเล็กที่ไม่เคยทิ้งให้ห่างกายและขอให้บอดี้การ์ดของตระกูลตี้พาเธอไปส่งที่เซ็นทรัลพาร์กของเมืองเย่ว์ตู
พวกเธอจองร้านอาหารตะวันตกเล็กๆ ที่เรียบง่ายแต่หรูหราซึ่งเปิดอยู่ข้างๆ สวนสาธารณะไว้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นชั่วโมงเร่งด่วนรถจึงแล่นช้า เมื่อเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาที มู่เถาเยาจึงเลือกที่จะลงจากรถที่สามแยกข้างหน้า
บอดี้การ์ดของตระกูลตี้รู้ถึงความสามารถของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กังวลเท่ากับพี่ชายและพ่อแก่ๆ บางคน
“หมอเทวดาน้อย โทรหาผมหลังจากที่คุณทานอาหารเย็นเสร็จแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะมารับคุณกลับ”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง ขอบคุณนะคะ คุณกลับไปเถอะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ หมอเทวดาน้อย ถ้าคุณต้องการใช้รถโทรหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ ผมขอตัวก่อน”
“อื้ม”
มู่เถาเยาเดินไปที่จุดหมายของเธออย่างกระฉับกระเฉง
ใช้เวลาประมาณสิบนาที ภาพทะเลสาบเย่ว์ตูก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตา
ถ้าเดินอ้อมทะเลสาบนี้ไปอีกประมาณครึ่งทางก็จะถึงสถานที่ที่พวกเธอนัดกันเอาไว้
ในเวลานี้ แสงพระอาทิตย์ตกเริ่มถูกท้องฟ้าสีทึบเข้ากลืนกิน แสงอาทิตย์สีแดงจากปลายอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า สะท้อนลงบนทะเลสาบเย่ว์ตูเกิดเป็นประกายระยิบระยับคล้ายอัญมณีสีแดงที่ล่องลอยอยู่บนผืนน้ำ
คนเดินถนนสองสามคนเดินไปตามขอบทะเลสาบช้าๆ
มู่เถาเยายกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เดินผ่านคนแปลกหน้าไปทีละคน
ขณะที่เธอกำลังจะไปถึงร้านอาหารตะวันตกที่นัดกับเพื่อนๆ เอาไว้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจว่า “ช่วยด้วย มีคนกระโดดลงไปในทะเลสาบ!”
ผู้คนที่กำลังชื่นชมภาพพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม ในวินาทีต่อมาพวกเขาก็เห็นใครบางคนกระโดดลงไปในทะเลสาบ
เมื่อเห็นร่างที่ตกลงไปนั้นค่อยๆ จมดิ่งลงเรื่อยๆ ผู้คนบนฝั่งก็เริ่มมีปฏิกิริยาและตะโกนเสียงดัง
มู่เถาเยาเคลื่อนตัวไปยังจุดเกิดเหตุทันที เห็นว่ามีคนกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยคนแล้ว และกำลังว่ายไปหาคนที่กำลังจม
เมื่อเห็นว่าทักษะการว่ายน้ำของคนคนนี้สูงมาก เธอจึงไม่ได้ลงไปในน้ำด้วย แต่กระตุ้นกำลังภายในของเธออย่างใจเย็นเพื่อช่วยให้เขาว่ายน้ำได้เร็วขึ้นอย่างลับๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็พาคนที่คิดฆ่าตัวตายกลับมา
คนบนฝั่งยื่นมือดึงพวกเขาขึ้นมา
ชายหนุ่มที่ลงไปในน้ำเพื่อช่วยคนไม่เพียงแต่มีทักษะการว่ายน้ำที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญในการปฐมพยาบาลอีกด้วย
เห็นเขาคุกเข่าลงกับพื้นโดยที่กดเข่าขวาลงและงอเข่าซ้ายขึ้น จากนั้นพาดท้องของผู้จมน้ำไว้บนเข่าซ้ายของเขา ทำให้ศีรษะของผู้จมน้ำก้มต่ำลงแล้วกดที่หลังของผู้จมน้ำเพื่อให้อีกฝ่ายคายสิ่งที่อยู่ในปาก ทางเดินหายใจ และกระเพาะอาหารออกมา
เป็นเพราะเหยื่อที่คิดสั้นได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีภายหลังจากที่เขากระโดดลงไปในทะเลสาบได้ไม่นาน เขาจึงได้สติกลับมาโดยไม่จำเป็นต้องทำซีพีอาร์เพื่อกู้ชีพ
“ใครช่วยฉัน ช่วยฉันไว้ทำไม ช่วยไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายฉันก็ต้องตายอยู่ดี จะเปลืองแรงไปทำไม” คนที่คิดสั้นฆ่าตัวตายสีหน้าสิ้นหวังถึงขีดสุด
ชายหนุ่มที่ช่วยเขาไว้พูดเกลี้ยกล่อม “ลุงครับ มีชีวิตอยู่ดีกว่าตายนะ”
“ฉันป่วยเป็นโรคระยะสุดท้าย ต่อให้อยากอยู่ต่อก็คงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว” ชายวัยห้าสิบเริ่มร้องไห้
ถ้าไม่ใช่เพราะรักษาไม่หาย เขาจะยอมทิ้งภรรยาและลูกสาวไว้เบื้องหลังเหรอ
มู่เถาเยาย่อตัวลง สังเกตสีหน้าของคนที่คิดฆ่าตัวตายจากนั้นก็ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น
“คุณลุง สะดวกให้ฉันจับชีพจรไหมคะ”
ทุกคนมองไปที่มู่เถาเยาเป็นตาเดียว
ป้าที่ยืนอยู่ข้างๆ คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “สาวน้อย อย่าสร้างปัญหา มันดึกแล้ว รีบกลับบ้านไปเร็ว”
“ฉันเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูค่ะ” ถ้าบอกว่าเธอเป็นหมอ คงไม่มีใครเชื่อ
“สาวน้อย ขอบคุณนะ แต่มันไม่มีประโยชน์หรอก โรงพยาบาลบอกแล้วว่ามันรักษาไม่หาย และมันก็อันตรายถึงชีวิตแล้ว”
“คุณลุงมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหน็บชาใช่หรือเปล่าคะ”
“สาวน้อย เธอดูออกด้วยเหรอ เธอรู้วิธีรักษาโรคจริงๆ เหรอ?” ความประหลาดใจฉายชัดในสายตาของผู้รอดชีวิตที่พยายามฆ่าตัวตาย
ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ใครบ้างจะอยากตาย
“ฉันรักษาได้ค่ะ ฉันเรียนหมอมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าไม่ได้จับชีพจรให้คุณลุง ฉันก็คงวินิจฉัยออกมาอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าโรคที่คุณลุงเป็นอยู่นี้ใช่โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแน่ๆ หรือเปล่า”
“ใช่ๆๆ ชื่อโรคนี้แหละที่โรงพยาบาลบอกมา พวกนั้นยังพูดว่า ALS อะไรสักอย่าง ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน สาวน้อย ในเมื่อเธอสามารถบอกได้เลยว่าฉันจะเป็นโรคอะไรเพียงแค่ดู ถ้าอย่างนั้นมันจะรักษาได้ไหม”
“โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ประสาทนำคำสั่งที่มีอยู่ในไขสันหลังและสมองเกิดความผิดปกติ ลักษณะคือกล้ามเนื้อจะลีบและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น ส่วนใหญ่พบในผู้ชาย อายุเฉลี่ยอยู่ในวัยห้าสิบปี”
“ใช่แล้วๆ นั่นแหละคือสิ่งที่โรงพยาบาลพูดกับฉัน สาวน้อย เธออายุน้อยขนาดนี้แต่กลับสามารถวินิจฉัยโรคให้ฉันได้เลยเพียงแค่มองแปบเดียว เธอว่าฉันยังจะรอดไหม หรือว่าจะเป็นอย่างที่โรงพยาบาลพูดว่าฉันจะตายในอีกสามถึงห้าปี”
ลูกสาวของเขายังเรียนไม่จบและเธอยังต้องใช้เงินอีกจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะสละชีวิตของเขาในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเสียชีวิตหลังจากนำเงินเก็บเพียงเล็กน้อยมาใช้ในการรักษาพยาบาล แล้วลูกสาวของเขาล่ะ ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพต่อจากนี้จะทำยังไง
“ลุงคะ ยื่นมือออกมาหน่อย หนูขอจับชีพจรก่อน”
ผู้คนต่างก็ประหลาดใจ
สาวน้อยคนนี้ดูอายุไม่น่าจะเกินสิบห้าหรือสิบหกปีไหม แต่กลับรู้วิธีการรักษาโรคด้วย?
หลังจากที่มู่เถาเยาจับชีพจรเสร็จ สีหน้าของเธอก็ราบเรียบมาก
“ลุงคะ กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกก่อน คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้เช้าไปที่โรงพยาบาลทหาร1111 แล้วหนูจะยืมเครื่องมือของที่นั่นตรวจให้ลุงอย่างละเอียดอีกครั้ง”
“สาวน้อย ฉัน…”
“คุณลุงวางใจเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
มู่เถาเยายิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ปลอบประโลมมาก
“ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปที่โรงพยาบาลทหาร1111 เพื่อตามหาเธอ สาวน้อยเธอชื่ออะไร”
“มู่เถาเยาค่ะ”
“ดีๆ ฉันจะไปอย่างแน่นอน”
“อื้ม กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ โรคบางโรคยิ่งเรากลัวมัน มันก็จะยิ่งแข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่กลัว มันก็จะหดถอยไปเอง”
เหล่าคนที่มุงดูพยักหน้าเห็นด้วย ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์บ่อยครั้งก็เกิดขึ้นเพราะสาเหตุนี้
“สาวน้อย ฉันชื่อหวังต้าฟา มาจากเมืองเซิ่งตูที่อยู่ข้างๆ เพราะระดับทางการแพทย์ในเมืองเย่ว์ตูนี้ดีที่สุด ฉันจึงมาที่นี่เพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง แต่…ผลก็ยังเหมือนเดิม ฉันคิดไม่ตกไปชั่วขณะ ก็เลย…ขอโทษนะทุกคน ฉันสร้างปัญหาให้ทุกคนแล้ว”
ถ้าสุดท้ายยังรักษาไม่ได้จริงๆ ค่อยไปหาที่ที่ไม่มีคนอยู่แล้วตาย
เขาไม่อาจใช้เงินเก็บในครอบครัวจนหมดได้ ดังนั้นจึงมีเพียงหนทางนี้…ภรรยาและลูกสาวของเขายังต้องใช้ชีวิตต่อไป
ทุกคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับชะตากรรมของเขาอย่างมาก จึงปลอบโยนชายผู้โชคร้ายไปคนละประโยคสองประโยค
ชายหนุ่มที่กระโดดลงน้ำไปช่วยชีวิตเขาพูดขึ้นว่า “ลุงครับ ทัศนคติที่ดีมีประโยชน์อย่างมากสำหรับความเจ็บป่วย ปาฏิหาริย์มากมายที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ เกิดขึ้นในโลกนี้ก็เพราะศรัทธาของคน”
ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก
“โอเค ขอบคุณนะทุกคน ขอบคุณ”
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ เดือนมีนาคมอากาศยังหนาวอยู่ ระวังจะเป็นหวัด”
“อื้ม”
หวังต้าฟาหันศีรษะไปมองคนที่ช่วยชีวิตเขาอีกครั้งและถามว่า “พ่อหนุ่ม เธอชื่ออะไร ฝากเบอร์โทรไว้ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะติดต่อกลับไปในอนาคต”
“ลุงครับ ผมชื่อกู้ซืออี้ พรุ่งนี้ผมเองก็จะไปโรงพยาบาลทหาร1111 เหมือนกัน จะไปเยี่ยมเพื่อนร่วมงานที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลน่ะครับพอดีเขาได้รับบาดเจ็บมา งั้นไว้รอเจอกันนะครับ”
ชายหนุ่มบอกชื่อของเขาและทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น แต่เพราะต้องการให้กำลังใจเขา
“ขอบคุณนะเสี่ยวกู้ ขอบคุณนะเสี่ยวมู่ ขอบคุณทุกคน”
มู่เถาเยาพยักหน้าและพูดกับหวังต้าฟาว่า “คืนนี้พักผ่อนให้สบายเถอะค่ะ ไม่ต้องคิดมาก”
“โอเค งั้นฉันขอตัวก่อน”
ทุกคนพยักหน้าและโบกมือลาเขา
กู้ซืออี้ก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน ท้ายที่สุดเสื้อผ้าของเขาเองก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน
มู่เถาเยาหยิบกล่องยาขนาดเล็กขึ้นและพยักหน้าบอกลาทุกคน
“สาวน้อย เธอเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูจริงๆ เหรอ แล้วทำไมถึงวินิจฉัยโรคเป็นแล้วล่ะ”
“ฉันเรียนหมอมาตั้งแต่เด็กค่ะ”
“ถ้างั้นเธอช่วยดูให้ฉันหน่อยได้ไหม พักนี้ฉันเจ็บหน้าอกอยู่ตลอดเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
“ฉันด้วย ฉันเป็นโรคนอนไม่หลับ”
“ฉัน ฉันเป็นโรคไขข้ออักเสบ”
“ฉัน…”
มู่เถาเยาถูกล้อมอย่างสมบูรณ์
โชคดีที่โทรศัพท์ดังขึ้นทันเวลา ไม่อย่างนั้นเธอคงหนีได้ยาก
“เซียวเซียว ฉันจะรีบไปที่นั่น”
“…”
“อื้ม”
หลังจากวางสาย มู่เถาเยาก็ยิ้มให้กับทุกคนและพูดว่า “ขอโทษนะคะ พอดีฉันนัดกับเพื่อนไว้ ถ้าหากทุกคนมีคำถามอะไรสามารถไปที่โรงพยาบาลได้”
“เฮ้อ ก็ได้”
เป็นไปไม่ได้ที่จะรั้งตัวคนไว้ไม่ยอมปล่อยไห้เธอไปใช่ไหม
มู่เถาเยาเดินตรงไปข้างหน้าต่อ และในไม่ช้าเธอก็มาถึงร้านอาหารตะวันตก
เด็กสาวทั้งสามมองไปที่ประตูอย่างกระตือรือร้น
ทันทีที่ร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น ทั้งสามก็ลุกจากที่นั่งเพื่อต้อนรับเธอ
หวังหมิ่นชิ่น “เสี่ยวเยาเยา ที่พักเธออยู่ใกล้กว่าพวกเราอีกไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้ใช้เวลานานนักกว่าจะมาถึง”
“ที่บ้านมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย” คุณพ่อที่บ้านติดคนเกินไป ร้องไห้งอแงไม่ยอมปล่อยให้เธอออกมาคนเดียว
หมิ่นชีสยา “ถ้าอย่างนั้นเธอออกมาแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ”
“ไม่”
เซียวเซียว “งั้นก็ดี เอาล่ะ ทุกคนนั่งลงเถอะ ฉันสั่งอาหารจานโปรดของเธอไว้แล้ว”
“วันนี้เธอเป็นตัวเอกนะ จะสั่งของโปรดของฉันได้ยังไง” มู่เถาเยาหัวเราะ
“อา แค่เธอชอบกิน พวกเราก็ชอบกินด้วยเหมือนกัน แค่เห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อยพวกเราก็มีแรงเติมข้าวอีกชามแล้ว”
มู่เถาเยา “…”
หลังจากทุกคนกลับไปนั่งที่โต๊ะ หวังหมิ่นชิ่นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเยาเยา ทำไมช่วงนี้เธอยุ่งจัง เราไม่ได้ออกมากินข้าวและชอปปิงด้วยกันนานแล้วนะ!”
“…มีญาติมาหาฉันน่ะ”
สามสาวร้องอ้อ แสดงสีหน้าว่าเข้าใจ
จากนั้นก็มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้น
เป็นกลุ่มชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ แต่ละคนย้อมผมหลากสี แต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าสีประหลาดๆ กำลังชูแก้วไวน์มาทางนี้
“สาวๆ ผมเชิญทุกคนดื่มคนละแก้ว”
มู่เถาเยาและคนอื่นๆ ขมวดคิ้วมุ่น
เซียวเซียว “ขอบคุณค่ะ แต่เราไม่ดื่ม”
“ไวน์แดงของเราแอลกอฮอล์ไม่สูงมาก ไม่เมาหรอก”
“ขอโทษนะคะ แต่พวกเราไม่ดื่ม” หมดสนุกเลย!
ชายหนุ่มหัวเหลืองที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “สาวน้อย เธอกล้าไม่รับไวน์จากพี่ชายของพวกเราเหรอ”
สีหน้าของมู่เถาเยาเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย
หวังหมิ่นชิ่นเรียกบริกรให้เข้ามาหาโดยตรง
หมิ่นชีสยาวางตะเกียบลง
เซียวเซียวโกรธจัด “ฉันไม่สนใจว่าพี่ชายนายจะเป็นอะไร พวกเราไม่ดื่ม!”
บริกรเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อม แต่ก็ถูกชายหนุ่มหัวเขียวผลักออกจนต้นขาของเธอกระแทกกับมุมโต๊ะ ทำให้เธอเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
คลื่นอันตรายกระเพื่อมไหวอยู่ในดวงตาของมู่เถาเยา
เธอหยิบตลับขนาดเล็กออกมาจากกล่องยาและมอบให้บริกร “ครีมนี้มีประโยชน์มาก คุณสามารถทามันในภายหลังได้และมันจะไม่ทำให้ขาบวมแดง”
“ขอบคุณนะสาวน้อย แต่ฉันรับของจากลูกค้าไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ นี่ไม่ใช่ของมีค่าอะไร” มู่เถาเยายัดตลับเล็กๆ นั้นใส่มือบริกร
“…ขอบคุณนะสาวน้อย”
มู่เถาเยาพยักหน้า จากนั้นก็หันไปหาชายผมเขียว “คุณต้องขอโทษเธอ”
“เหอะ! สาวน้อย เธอกล้าบอกให้ฉันขอโทษนังนี่ เธอจะกล้ามากเกินไปแล้ว!”
มู่เถาเยาไม่ชอบการทะเลาะวิวาท ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกนอกประตูไป
เซียวเซียวและทั้งสามคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเธอก็ตามเพื่อนออกไป
ชายหัวหลากสีสองสามคนมองหน้ากัน แล้วเดินตามออกไปด้วย
บริกรกลัวเกิดอุบัติเหตุ แม้จะยังเจ็บขาอยู่แต่ก็ยังเดินตามออกไปดู
เมื่อมู่เถาเยาเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดออกมาแล้ว เธอจึงพูดกับชายหัวเขียวว่า “ขอโทษเธอซะ”
ชายหัวเขียวแค่นเสียงเยาะเย้ย “สาวน้อยเธอโง่จริงๆ ใช่ไหม วิ่งออกมาข้างนอกเพื่อบอกให้ฉันขอโทษพนักงานเสิร์ฟ?”
ชายหัวหลากสีสองสามคนพากันหัวเราะ
แต่หัวเราะไปได้เพียงครึ่งทาง ร่างของเขาก็ลงไปนอนกับพื้น
พวกเซียวเซียวและบริกรนิ่งอึ้ง
ลงมือทันทีโดยไม่ต้องเจรจาอะไรทั้งนั้น?
เสี่ยวเยาเยาโหดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ ตอนนี้เธอดูหล่อมาก!
กรี๊ดดด อยากเป็นแฟนค่ะ!
แฟนคลับตัวน้อยสามคนดวงตาเป็นประกายวิบวับ
[1] BL ย่อมาจาก Boys Love แปลตรงตัวก็คือเรื่องราวความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายทุกรูปแบบ