อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 235 ช่างฟ้องแต่เด็ก
ตอนที่ 235 ช่างฟ้องแต่เด็ก
มู่เถาเยาพาเย่ว์เลี่ยงเหาะไปที่ต้นท้อต้นใหญ่ หยุดอยู่เหนือยอดแล้วพูดขึ้น “ท่านแม่ อาจารย์ใหญ่เก็บลูกได้ที่ใต้ต้นท้อต้นนี้ ตอนนั้นดอกท้อบานสะพรั่ง ก็เลยตั้งชื่อให้ลูกว่ามู่เถาเยา”
เย่ว์เลี่ยงพาลูกสาวเหาะลง ถือโอกาสเด็ดลูกท้อสีแดงลูกใหญ่ติดมือลงมาสองผล
ให้ลูกสาวหนึ่งผล ตัวเองหนึ่งผล
“ใช้ได้ น้ำเยอะ กลิ่นหอม หวานมาก”
“ของที่มาจากป่าเซียนโหยวอร่อยกว่าที่อื่นค่ะ”
“เสี่ยวเยาเยา มองภาพรวมนะ ของในเผ่าอร่อยกว่าที่เหยียนหวงอีก”
“ค่ะ สภาพอากาศกับสภาพแวดล้อมของเผ่าแตกต่างจากประเทศส่วนใหญ่”
“ใช่ เผ่าเรามีความพิเศษมาก เช่น ฝั่งตะวันออกมีป่าพิษหมาป่า สามารถดูดวงอาทิตย์ขึ้นและตกได้สามครั้ง หมู่น้ำตกที่อยู่ฝั่งตะวันตก หน้าร้อนจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง หน้าหนาวเป็นเหมือนน้ำพุร้อนที่ให้ความชุ่มช่ำ ชายทะเลที่อยู่ทางใต้มีหาดทรายสีน้ำเงิน ภูเขาเทพจันทราที่อยู่ทางเหนือมีธารน้ำแข็งและภูเขาไฟอยู่ด้วยกัน…”
“วิทยาการในโลกนี้เจริญก้าวหน้ามาก แต่กลับมีหลายปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้”
“เสี่ยวเยาเยา ความปรารถนาในวัยเด็กของลูกสามารถเป็นจริงได้ในโลกนี้แล้วนะ”
“ค่ะ อีกสี่ปีค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่มีแผนท่องโลกกว้าง เพราะยังมีเรื่องที่สนใจอีกมากมาย”
เย่ว์เลี่ยงลูบผมยาวของลูกสาวพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชาตินี้ลูกอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ท่านแม่ก็เหมือนกันค่ะ”
“อืม ได้เจออาจารย์ของลูก แม่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”
มู่เถาเยายิ้ม
นี่ยังไม่พอ เพราะเยี่ยนหังยังไม่มา
เธอมีลางสังหรณ์อยู่อย่าง เยี่ยนหังจะต้องมาเจอพวกเธอในโลกนี้แน่นอน
“ท่านแม่ พวกเราเข้าไปกันค่ะ รีบหาอาจารย์ให้เจอ ใช้โอกาสนี้คุยกัน ข้างนอกคนเยอะ ไม่สะดวกคุย”
“อืม”
สองแม่ลูกจับมือกันเหาะขึ้นยอดไม้ ขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็ไปได้ไกลมาก
เมื่อไปถึงระยะหนึ่งแล้วก็ลงไปตามหาร่องรอย
“ท่านแม่ ดูเหมือนพวกเราจะเลยแล้วค่ะ ตรงนี้มีรอยเท้าเดินผ่าน”
“อืม งั้นพวกเราเดินย้อนกลับไป”
สองแม่ลูกไม่มีเวลาสนใจสมุนไพรล้ำค่ารอบตัวที่มีให้เก็บอย่างง่ายดาย พากันเดินกลับ
ตามหาอยู่ระยะหนึ่งก็มีร่องรอยมากขึ้นเรื่อยๆ สองแม่ลูกดีใจมาก เร่งความเร็วอีก ในที่สุดก็ได้ยินเสียงพื้นเสียดสีเวลามีคนเดิน
มู่เถาเยาอดเอามือป้องปากตะโกนไปข้างหน้าไม่ได้ “อาจารย์”
เย่ว์เลี่ยงหัวเราะ
“เสี่ยวเยาเยา จือฉินไม่รู้สักหน่อยว่าพวกเรามาที่นี่ ลูกเรียกอาจารย์ ต่อให้ทางนั้นได้ยินก็ไม่รู้หรอกว่ากำลังถูกเรียกอยู่”
มู่เถาเยาชะงัก
เธอร้อนใจเกินไป ก็เลยคาดไม่ถึง
“ลู่จือฉิน!”
คราวนี้เรียกชื่อไปตรงๆ
สองแม่ลูกรู้ว่า ด้วยความไวของหูลู่จือฉินจะต้องได้ยินแน่ ก็เลยสลับกันเรียกเรื่อยๆ เพื่อที่คนที่อยู่ข้างหน้าจะได้รู้ว่ากำลังถูกตามหาอยู่ ไม่ใช่ว่าตัวเองหูแว่ว
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง มู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยงก็หยุดชะงัก มอง ‘มนุษย์ป่า’ ที่ผอมและตัวเล็กข้างหน้าโดยที่ตาไม่กะพริบ
“พวกคุณตามหาฉันอยู่เหรอ”
มู่เถาเยาน้ำตาคลอ วิ่งเข้าไปกอด ‘มนุษย์ป่า’ พูดด้วยเสียงสะอื้นไม่หยุด “อาจารย์ อาจารย์ อาจารย์…”
“สาวน้อย จำคนผิดหรือเปล่า พวกคุณเข้ามาในป่าได้ยังไง ในนี้อันตรายมาก รีบออกไปพร้อมฉัน”
เย่ว์เลี่ยงเดินเข้าไป ในดวงตาก็มีน้ำตาคลอเปล่งประกายเช่นกัน
“จือฉิน ฉันเย่ว์เลี่ยง นี่เสี่ยวเยาเยา”
มู่เถาเยาพยักหน้า “อาจารย์ หนูกับเสด็จแม่ก็มาที่นี่ด้วย ตามหาอาจารย์อยู่นาน”
‘มนุษย์ป่า’ ตะลึง
“หลังจากอาจารย์จากไปไม่กี่ปีหนูก็ตามไป เยี่ยนหังกับเป่ยหลีแต่งงานกัน มีรัชทายาทด้วย”
ผ่านไปนาน ‘มนุษย์ป่า’ ถึงได้สติกลับมา ถามด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “พวกเธอคือเสี่ยวเยาเยากับเย่ว์เลี่ยงจากแผ่นดินจงโจวเหรอ”
“พวกเราเองค่ะ”
เย่ว์เลี่ยงเดินเข้าไปใกล้ กางแขนออกแล้วกอดทั้งสองคน
ทั้งสามคนต่างร้องไห้ด้วยความดีใจ
“เย่ว์เลี่ยง เสี่ยวเยาเยา”
“จือฉิน”
“อาจารย์”
ทั้งสามคนกอดกันเกือบสิบนาทีถึงแยกออก
ลู่จือฉินเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว
มองสองแม่ลูกแล้วถาม “พวกเธอหาฉันเจอได้ยังไง รู้ได้ยังไงว่าฉันก็มาที่โลกนี้ด้วย”
เย่ว์เลี่ยง “เรื่องนี้พูดแล้วยาว พวกเราเดินไปคุยไปเถอะ”
“ได้”
“อาจารย์คะ หนูบอกท่านแม่ว่าหมอลู่ก็คืออาจารย์ ท่านแม่ไม่เชื่อ ทั้งยังหาว่าหนูคิดไปเอง…” บลาๆๆ
เย่ว์เลี่ยงแกล้งดุ “เด็กคนนี้นี่ พอเจออาจารย์ก็เริ่มฟ้องเลยนะ…”
“เสี่ยวเยาเยาของพวกเราช่างฟ้องตั้งแต่เด็กแล้ว”
พอนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อชาติก่อน ลู่จือฉินก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“อาจารย์!”
ลู่จือฉินหยิกแก้มยุ้ยของลูกศิษย์พลางพูด “เอาล่ะ ไม่แกล้งแล้ว รีบเล่าให้อาจารย์ฟังหน่อย รู้ได้ยังไงว่าอาจารย์มาที่นี่ แล้วหาอาจารย์เจอได้ยังไง”
“อาจารย์คะ หนูเห็นจดหมายที่อาจารย์เขียนให้หนูที่บ้านของตี้อู๋เปียน…ได้เจอลู่หันซูที่ไปแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับนานาชาติ…ท่านแม่เป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ เป็นอาแท้ๆ ของหนูในร่างนี้…หนูตามหาอาจารย์มาตลอดเพราะโรคที่ตี้อู๋เปียนเป็น…ค้นพบชาติกำเนิดของอาจารย์อาเล็ก…หนูกับท่านแม่ก็เลยเข้ามาหาอาจารย์ก่อน…”
มู่เถาเยาสรุปเอาแต่ใจความสำคัญมาปะติดปะต่อกันแบบนี้ก็เข้าใจแล้ว
“เสี่ยวเยาเยา อาจารย์อาเล็กของเธอก็คือพี่ชายของอาจารย์เหรอ”
“ใช่ค่ะ อาจารย์อาเล็กเองก็ไม่กล้าเชื่อ หลังจากที่เขาถูกลักพาตัวไปตอนหกขวบก็สูญเสียความทรงจำ อาจารย์ปู่ของหนู…”
คราวนี้มู่เถาเยาเล่าเรื่องอาจารย์อาเล็ก เพราะตอนลู่จือฉินมาถึงก็มีความทรงจำเหมือนกัน รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง
“เสี่ยวเยาเยาช่วยอาจารย์ตามหาพี่ชายจนเจอแล้ว…”
ภายในใจของลู่จือฉินเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย สับสนยิ่งกว่าอาจารย์อาเล็กเจียงเฉา
เมื่อชาติก่อนเธอตายไปพร้อมความเสียดาย หลังจากมาอยู่ที่นี่ได้รู้ว่าร่างนี้ก็มีพี่ชายที่ถูกลักพาตัวไป เธอก็ลาออกจากโรงพยาบาลทันที เที่ยวตามหาพี่ชายไปทั่ว เพื่อทำตามความปรารถนาในชาติที่แล้วให้สำเร็จ
“ค่ะอาจารย์ อาจารย์อาเล็กกับอาสะใภ้ของหนูเป็นคนดีมาก อาจารย์ต้องชอบพวกเขาแน่นอน”
ลู่จือฉิน “เสี่ยวเยาเยา…”
ถึงแม้เธอจะตามหาญาติทางสายเลือดของร่างนี้มาตลอด แต่ไม่เคยคิดไว้ว่าหลังจากเจอแล้วจะยังไงต่อ
“อาจารย์ไม่ต้องลำบากใจไปค่ะ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ อาจารย์ตามหนูกลับไปเย่ว์ตูก่อนดีไหมคะ หรือจะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนดี อาจารย์ของหนูสองคนใช้ชีวิตเกษียณอยู่ที่นี่ อาจารย์จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์กับอาจารย์ใหญ่ได้ด้วย อาจารย์ใหญ่ของหนูถนัดเรื่องการใช้ยา…”
บลาๆ บรรยายสรรพคุณชื่นชมยกใหญ่ เล่นเอาเย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉินฟังจนเคลิ้ม
แต่พวกเธอก็ดีใจแทนมู่เถาเยา โชคดีที่ได้คนแบบนี้เก็บลูกสาว/ลูกศิษย์ตัวเองไปเลี้ยง
“เสี่ยวเยาเยา พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากัน ให้อาจารย์ของลูกได้อาบน้ำเปลี่ยนชุด รอเจอครอบครัวของอาจารย์อาเล็กก่อนค่อยคุยกันเรื่องนี้”
“ค่ะ”
มู่เถาเยาเหมือนเด็กสาวสิบกว่าขวบเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉิน แม้แต่น้ำเสียงก็ร่าเริงขึ้นมาก
ลู่จือฉินมองเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักช่างออดอ้อน “เสี่ยวเยาเยา ต่อไปเลิกเรียกว่าอาจารย์ได้แล้วนะ เราไม่เคยเจอกันมาก่อน เรียกแบบนี้คนอื่นจะสงสัยเอาได้”
“แต่หนูอยากเรียกว่าอาจารย์…”
เย่ว์เลี่ยง “หรือว่าพอออกไปแล้วพวกเราจะบอกคนข้างนอกดีว่าลูกฝากตัวเป็นศิษย์ของจือฉินอาจารย์สามแล้ว”
ลู่จือฉินคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้”
เธอมีบางอย่างที่สอนเสี่ยวเยาเยาได้ มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์ในสายตาคนนอก
เย่ว์เลี่ยง “เสี่ยวเยาเยา ต่อไปไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรือลับหลังก็ต้องเรียกว่าอากับอาจารย์สามนะ เลี่ยงความยุ่งยาก”
ไม่ได้กลัวความยุ่งยากหรอก แต่มันอธิบายให้คนฟังไม่ได้
“ค่ะ”