อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 278 ขอร้องให้กลับตัว ตอนที่ 279 จุดประสงค์และแรงจูงใจ
ตอนที่ 278 ขอร้องให้กลับตัว / ตอนที่ 279 จุดประสงค์และแรงจูงใจ
ตอนที่ 278 ขอร้องให้กลับตัว
“พ่อคะ หนูขอร้อง…”
มือข้างหนึ่งของเจียงเย่ว์จับกระเป๋าเดินทาง มืออีกข้างจับชายเสื้อของเจียงจี๋ ขอบตาแดงก่ำแล้ว
“ลูกไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
เจียงจี๋ลูบหัวลูกสาว รู้สึกเศร้าเล็กน้อยแบบที่เห็นได้ยาก
เขาหันหลังกลับไม่ได้แล้ว
ผิดก้าวแรกและผิดมาเรื่อยๆ
ต่อให้เบื้องหน้าเป็นเหวลึกเขาก็ต้องก้าวลงไป
เหมียวฉี “เจียงเย่ว์ ดูแลตัวเองให้ดี มีอะไรก็โทรกลับมา”
สิ่งที่เธอทำได้อาจมีไม่มากแล้ว
“พ่อคะ แม่คะ หนูไม่อยากกลับเย่ว์ตูแล้ว หนูย้ายกลับมาเรียนในเมืองหลวงอยู่กับพ่อแม่ดีกว่า”
“พูดอะไรโง่ๆ แบบนั้น เย่ว์ตูเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก ลูกใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก รีบเข้าไปเถอะ” เจียงจี๋ดันตัวลูกสาวให้เดินเข้าด่านตรวจค้น
พอผ่านเข้าไปแล้วเจียงเย่ว์ก็หันกลับมา แววตามีความเจ็บปวดแบบที่ปิดบังไม่อยู่
ช่วงที่กลับมาอยู่บ้านครั้งนี้ พอเธอสังเกตเห็นความผิดปกติก็พยายามเกลี้ยกล่อมแล้วทั้งโจ่งแจ้งและบอกเป็นนัยๆ
แต่เล็กจนโตพ่อไม่เคยให้เธอไปที่คลินิก ระยะนี้เธอแอบไปดูคนที่เข้าออก
ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าคนไข้ที่มาหาที่คลินิกดูเยอะเกินไปหน่อย อีกทั้งสีหน้าก็ไม่สู้ดี ไม่ได้ดูอิดโรยแบบอาการของคนเป็นหวัดไข้ขึ้นธรรมดา…
พอมาเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดกับเหลยถิงเธอก็พอจะเดาได้บ้าง แต่ก็ไม่กล้าคิดมาก เพราะมันน่ากลัวเกินไป!
แต่เธอจะทำอะไรได้ เกลี้ยกล่อมก็ไม่สำเร็จ
เธอไม่มีทางไป…
ตอนนี้พ่อกับแม่ไล่เธอให้ไปจากเมืองหลวง มีเหรอจะไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เจียงเย่ว์น้ำตาคลอขึ้นเครื่องบิน แต่พอถึงสนามบินเย่ว์ตูกลับนั่งเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดกลับมาอีกครั้ง
เธอเปิดห้องพักในโรงแรมที่ใกล้กับคลินิก ตอนกลางวันมองจากหน้าต่างออกไป
เยื้องโรงแรมเป็นคลินิก มองเห็นคนเข้าออก ก็แค่ระยะห่างค่อนข้างไกล มองไม่เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร
ระยะนี้เธอพอจับสังเกตได้แล้วว่าปกติก่อนปิดคลินิกพ่อของเธอจะไม่มีทางออกมา หลังจากฟ้าเริ่มมืดเธอจึงออกจากโรงแรมไปที่ข้างคลินิก มองคนไข้ที่มาคลินิกแบบใกล้ๆ
“คุณน้าคะ ดูคุณน้าสีหน้าไม่ค่อยดี ป่วยเหรอคะ”
เจียงเย่ว์จับมือหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่ดูอายุประมาณห้าสิบสีหน้าใจดีมาถาม
“ใช่จ้ะ ช่วงหลายวันมานี้น้าแน่นหน้าอก ใจสั่น หายใจสั้น ก็เลยมาเอายาที่คลินิกแห่งนี้”
หญิงสูงวัยชี้ป้าย ‘คลินิกเจียงจี๋’ ให้เจียงเย่ว์ดู
“แน่นหน้าอกไม่สบายตัวจะประมาทไม่ได้นะคะ หนูแนะนำให้คุณน้าไปตรวจที่โรงพยาบาลดีกว่านะคะ”
“ฟังจากสำเนียงการพูดของหนูก็เหมือนเป็นคนที่นี่ ทำไมถึงไม่รู้ล่ะว่าหมอเจียงที่อยู่คลินิกนี้รักษาเก่งขนาดไหน”
“…คุณน้า หนูแค่รู้สึกว่า…หมอของคลินิกไม่เก่งเท่าหมอในโรงพยาบาลใหญ่ๆ คุณน้าไปตรวจที่โรงพยาบาลดีกว่านะคะ”
“ขอบใจนะหนูที่หวังดี แต่หมอเจียงคนนี้เก่งจริงๆ เมื่อก่อนน้าก็มาเอายาบ่อยๆ”
“คุณน้าป่วยบ่อยเหรอคะ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น มีเป็นหวัดบ้างหรือไม่ก็อาการเล็กๆ น้อยๆ”
“อ่อ…งั้นครั้งนี้หมอเจียงว่าไงบ้างเหรอคะ”
หญิงสูงวัยยิ้มให้เจียงเย่ว์อย่างใจดี
“หมอเจียงบอกว่าเลือดจาง…เลยทำให้แน่นหน้าอกไม่สบายตัว…เอาเป็นว่าพูดเยอะเลยล่ะ น้าก็จำไม่ค่อยได้ เฮ้อ ช่างเถอะ แค่กินยาตามที่หมอสั่งก็พอแล้ว”
“…คุณน้าคะ หนูเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู หนูขอตรวจชีพจรหน่อยได้ไหมคะ”
“โอ้ หนูเก่งมากเลยลูก! มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ระดับโลกเลยนะ! หมอจากทั่วโลกล้วนอยากไปที่นั่น!”
ใบหน้าของเจียงเย่ว์มีรอยยิ้มเล็กน้อย “ใช่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของหนูเป็นหมอทั้งคู่ ขอหนูตรวจคุณน้าหน่อยนะคะ”
“จ้ะ ลองดูนะ”
หญิงสูงวัยยื่นมือให้เจียงเย่ว์
“ขอบคุณค่ะ พวกเราไปหาที่นั่งกันนะคะ” เจียงเย่ว์ชี้ไปไม่ไกล
ตรงนั้นมีคลอง ริมคลองมีโต๊ะกับม้านั่งหิน และยังมีคนจำนวนไม่น้อยนั่งรับลมหรือเดินเล่น
“จ้ะ พวกเราไปนั่งตรงนั้นกัน”
พอไปนั่งริมคลองแล้ว เจียงเย่ว์ก็สลัดเรื่องยุ่งเหยิงออก ตั้งใจจับชีพจร
เดี๋ยวก็ส่ายหน้า เดี๋ยวก็พยักหน้า เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว
“…หนูจ๊ะ อาการเป็นยังไงบ้าง หมอเจียงรักษาถูกไหม ไม่น่าผิดนะ หมอเจียงดังมากในแถบนี้!”
“หมอเจียงพูดถูกหมดค่ะคุณน้า” ถึงได้แปลกใจยังไงล่ะ
พ่อเธอ…ไม่ผิดปกติเลยเหรอ
ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ค้านคำพูดที่เธอพูดในช่วงหลายวันมานี้เลยล่ะ อีกทั้งยังเลี่ยงตอบคำถามเธอโดยตรง ถึงขั้นที่เงียบเหมือนเป็นการยอมรับ…
แต่สีหน้าของคุณน้าคนนี้ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด หรือจะเป็นเพราะแสงไฟงั้นเหรอ
หญิงสูงวัยพูดอย่างอารมณ์ดี “หมอเจียงเก่งมากจริงๆ นะ”
“หัวใจของคุณน้าเต้นช้าไปหน่อย ทำงานที่ค่อนข้างใช้แรงเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ น้าเป็นแม่บ้านทำความสะอาดในโรงแรม”
“ค่ะ งั้นที่หัวใจเต้นช้าก็เป็นอาการปกติของร่างกายค่ะ”
หญิงสูงวัยยิ้มให้เจียงเย่ว์ “หนูยังเด็กแต่ก็เก่งเหมือนกันนะ!”
“ขอบคุณที่ชมค่ะ”
“น้าพูดตามความจริง งั้นน้ากลับก่อนนะ หนูก็รีบกลับบ้านล่ะ”
“ค่ะ ลาก่อนค่ะคุณน้า”
“จ้ะ”
เจียงเย่ว์มองส่งหญิงสูงวัยเดินไปไกล จากนั้นถึงหันไปมองทางคลินิก ขมวดคิ้วแน่น
เธอนั่งอยู่ริมคลองคนเดียวนานแสนนาน จนกระทั่งไฟในคลินิกดับลง พ่อของเธอปิดคลินิกออกไปแล้วเธอถึงค่อยๆ เดินกลับโรงแรม
เรื่องที่เจียงเย่ว์ไม่รู้คือ บทสนทนาระหว่างเธอกับหญิงสูงวัยคนนั้นถูกชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินหมดแล้ว
ตอนที่ 279 จุดประสงค์และแรงจูงใจ
มู่เถาเยาใช้เวลาอยู่ที่ตำหนักพระจันทร์หนึ่งวัน
ถึงแม้ตำหนักพระจันทร์จะกินอาณาเขตถึงเกือบหนึ่งล้านตารางเมตร แต่รถที่เย่ว์จือเหิงคิดค้นวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก วันเดียวก็เที่ยวทั่วตำหนักพระจันทร์ทั้งด้านนอกและด้านใน แต่ก็แค่ดูแบบผ่านๆ
สถานที่ใหญ่โตแบบนี้ถ้าให้เที่ยวชมอย่างละเอียดต้องใช้เวลากี่วัน!
จุดประสงค์หลักของเธอในการมาครั้งนี้คือหาสมุนไพร ถึงขนาดที่ภูเขาเทพจันทราก็ไม่ได้รีบอยากไปดู แล้วนับประสาอะไรกับการเยี่ยมชมตำหนักพระจันทร์
“ลูกพ่อ มีตรงไหนที่อยากปรับปรุงไหม” ดวงตาที่เปล่งประกายของเย่ว์หลั่งเต็มไปด้วยความรักของพ่อ
มู่เถาเยาส่ายหน้า “ตำหนักพระจันทร์สมบูรณ์แบบมากแล้วค่ะ” โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัย
พรสวรรค์ของพี่ใหญ่เธอในด้านนี้ไม่มีใครเทียบได้เลยจริงๆ แม้แต่เธอก็ยังต้องยอมแพ้
ลู่จือฉินก็แอบพยักหน้าในใจ
เข้า ‘วัง’ เป็นครั้งแรกในชาตินี้ เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว ตำหนักพระจันทร์แห่งนี้สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วจริงๆ
ใบหน้าของเย่ว์หลั่งมีรอยยิ้ม “แค่ลูกชอบก็พอ”
ย่าเย่ว์มองหลานสาวคนเล็กด้วยสายตาเอ็นดู “เที่ยวกันมาทั้งวันเสี่ยวเยาเยาคงเหนื่อยแล้ว กินข้าวเร็วหน่อย ค่ำๆ ขึ้นไปดูทิวทัศน์ตอนกลางคืนบนดาดฟ้า พอถึงตอนนั้นค่อยนั่งคุยกันนะ”
ยายหลานซีพยักหน้า
วันหน้ายังมีเวลาอีกเยอะให้ทำความรู้จักตำหนักพระจันทร์
ตอนนี้พวกเขาแค่อยากใช้เวลาอยู่กับหลานสาว!
วันนี้เฉิงอันนั่วไม่ได้มา
อวิ๋นไป๋ก็พาตี้อู๋เปียนกับพ่อบ้านจงออกไปหลังกินอาหารกลางวันเสร็จ บอกว่าจะพาไปดูบ้านของตัวเอง
ถึงแม้จะคุ้นเคยกันดี แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็คนนอก ต้องให้คนในครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแท้จริง
พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเย่ว์กับตระกูลเป่ยตั้งหน้าตั้งตารอมู่เถาเยากลับบ้านขนาดไหน
แม้แต่เย่ว์เลี่ยงที่เป็นอาก็ยังนับวันรอ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น
เดิมทีลู่จือฉินก็อยากออกไปเดินเล่น แต่มู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยงไม่ให้ไป
ไม่ว่าคนตระกูลเย่ว์กับตระกูลเป่ยจะสงสัยหรือไม่ ต่อให้สืบก็คงสืบไม่ได้ความอะไร สองอาหลานจึงไม่กลัว
นานๆ จะได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าอย่างไรพวกเธอก็ไม่มีทางตัดลู่จือฉินออกไป
หลังจากที่เย่ว์จือเหิงเจอลู่จือฉินครั้งแรกเขาก็เคยสืบประวัติจริง แต่ไม่พบจุดที่น่าสงสัยใดๆ เรื่องเดียวที่เกิดคำถามคือ ไม่ว่าจะสืบอย่างไรก็ไม่พบว่าฝีมือการต่อสู้ของเธอไปฝึกจากที่ไหนมา
สมัยนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนที่การสืบข้อมูลให้ครบทุกด้านไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ถึงแม้จะสงสัย ขอแค่ไม่คิดร้ายต่อแก้วตาดวงใจของพวกเขา แบบนั้นก็รับได้หมด
นึกถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเย่ว์เลี่ยงไปฝึกต่อสู้มาจากไหนถึงเก่งขนาดนี้…
เย่ว์จือกวงมองน้องสาวก่อนแล้วมองลู่จือฉิน “อาจารย์สามครับ เห็นเสี่ยวเยาเยาบอกว่าแม่ของลูกศิษย์อีกคนของอาจารย์ชื่อเหมียวอวี้”
“น่าจะใช่นะ แม่ของหันซูไม่มีความทรงจำ คนครอบครัวลู่เรียกเธอว่าเหมียวเหมียว”
พอเห็นคุยเรื่องนี้ มู่เถาเยาจึงเล่าเรื่องครอบครัวศิษย์น้องให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด
“…พ่อของศิษย์น้องน่าจะเก็บแม่ของเธอได้จากป่าเซียนโหยว…ตอนนั้นสภาพของเธอย่ำแย่มาก…พ่อของศิษย์น้องจึงพาเธอไปโรงพยาบาลแล้วถึงไปโรงพัก…หนูเคยสืบแล้วค่ะ มีเรื่องแบบนี้จริงๆ…”
ตอนอยู่หมู่บ้านตงจี๋เธอส่งข้อความขอให้ซังชั่วช่วยสืบเรื่องนี้
คนตระกูลเย่ว์ต่างเงียบไป
ต่อให้เป่ยซีไม่มีบุญคุณต่อเหมียวอวี้ เธอก็ไม่มีแรงจูงใจเหมือนกัน
คุณยายพูดสิ่งที่คิด “เหมียวอวี้เป็นเด็กหน้าตาดี ว่านอนสอนง่าย มีมารยาท ทั้งยังรู้จักบุญคุณคน อย่าว่าแต่เสี่ยวซีเลย แม้แต่พวกเราสองคนตายายก็ชอบเธอเหมือนกัน”
หลังจากลูกสาวแต่งงานกับเย่ว์หลั่ง เหมียวอวี้ก็ยังคงใช้ชีวิตในบ้านตระกูลเป่ย จนกระทั่งหลานสาวคนเล็กเกิดถึงได้ไปอยู่ตำหนักพระจันทร์
คุณตา “แต่พอเสี่ยวเยาเยาหายตัวไปแล้วเธอก็หายไปด้วย พวกเราเลยต้องสงสัย…ตอนนี้ได้ยินเสี่ยวเยาเยาเล่าแบบนี้ โอกาสที่เหมียวอวี้จะเป็นคนร้ายมีไม่มาก แต่คนที่อุ้มเด็กออกไปเป็นเธอแน่นอน…”
ตอนนั้นต่อให้ตำหนักพระจันทร์อารักขาหละหลวมขนาดไหนก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครอุ้มเด็กออกไปได้ง่ายๆ
ปู่เย่ว์มองหลานสาวคนเล็กด้วยความรู้สึกปวดใจ “ต้องโทษที่เมื่อก่อนพวกเราเข้มงวดแค่กับคนนอก ใครจะไปคิดว่าคนใกล้ตัวจะทำเรื่องแบบนี้”
“ลองไล่เรียงคนในเผ่าอย่างละเอียดเป็นร้อยรอบแล้ว ตัดเรื่องสายลับของประเทศอื่นได้เลย…คนที่น่าสงสัยมากที่สุดคือพี่สาวของเหมียวอวี้…” เย่ว์หลั่งวิเคราะห์ให้ทุกคนฟัง
พอฟังเย่ว์หลั่งจบคนอื่นๆ ก็ไม่พูดอะไร เพราะสองพี่น้องครอบครัวเหมียวดูเหมือนไม่มีแรงจูงใจเลยจริงๆ
ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ล้วนต้องมีจุดประสงค์และแรงจูงใจ ไม่มีใครที่อยู่ๆ ก็ทำการใหญ่โดยไม่มีสาเหตุ
ลู่จือฉินกลับจ้องเย่ว์หลั่งพลางครุ่นคิด
มู่เถาเยา “คุณตาคุณยายพอจำเหมียวฉีได้ไหมคะ”
ผู้สูงวัยทั้งสองต่างส่ายหน้า
ปู่เย่ว์ “เสี่ยวเยาเยา พวกเราจับตาดูครอบครัวเหมียวมาตลอด ไม่พบความผิดปกติเลย นอกจากเรื่องที่เหมียวฉีไม่กลับมาที่เผ่าอีก”
เย่ว์จือเหิงครุ่นคิดแล้วพูด “ก็ใช่ว่าจะไม่เจออะไร ดูเหมือนว่าเหมียวฉีจะมีฝีมือการรักษาพอตัว…ผมจำได้ปู่ปาถิงเคยพูดว่า เสียดายที่เหมียวฉีไปประเทศเหยียนหวงแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็อยากรับเป็นลูกศิษย์…”
มู่เถาเยามองอาจารย์สามของตัวเอง
ในเมื่อเหมียวฉีมีพรสวรรค์ด้านนี้ งั้นตอนนั้นที่อาจารย์สามบอกว่าอาจมีการใช้ยา…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เหมียวฉีอยู่ประเทศเหยียนหวงทำตัวปกติมาก ทำงานตรวจสอบคุณภาพก็อาศัยประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากงาน
เธอไม่มีคนของตัวเองอยู่ในเผ่าจึงสืบเรื่องของเหมียวฉีก่อนไปประเทศเหยียนหวงไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าเหมียวฉีมีความสามารถแบบนี้ด้วย
ตอนนี้พอได้ยินพี่ใหญ่พูดแบบนี้เธอก็เริ่มค้นหาในสมองถึงการใช้ยาที่อาจเป็นไปได้
ลู่จือฉินไม่รู้ว่ามู่เถาเยามองเธออยู่ เพราะเธอยังคงเอาแต่จ้องเย่ว์หลั่ง