อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 454 ใช้หน้าอกทุบหิน
มู่เถาเยา เหลียงจี มู่หว่านกลับมาพร้อมเข่งใบน้อยท่ามกลางสายตาตะลึงของสองพ่อลูกและสายตาอิจฉาของหนิงชิง
ในเข่งนอกจากจะมีเสียมเล็กกับจอบเล็กแล้วยังมีน้ำดื่มของทุกคนด้วย
ตี้อู๋เปียน หนิงชิง โค้ชเถียน ผู้ชายทั้งสามเสนอตัวช่วยแบกเข่งให้สาวๆ
กล่องยาใบน้อยของมู่เถาเยาก็อยู่ในมือตี้อู๋เปียน
พวกผู้หญิงหยิบน้ำดื่มของตัวเองคนละขวด
กลุ่มคนเดินไปทางป่าเซียนโหยว
เนื่องจากมากันหลายคน มู่เถาเยาจึงพาไปแค่ชายขอบเขตป่าชั้นนอกของป่าเซียนโหยว
ตรงชายขอบด้านนี้ที่ติดกับหมู่บ้านมีปลูกสมุนไพร ผลไม้ ต้นชา ไม้กฤษณา…อีกแถบหนึ่งมีสระน้ำน้อยใหญ่อยู่หลายจุด ด้านข้างเลี้ยงเป็ดไก่ห่าน ในสระมีปลากับกุ้งและปลูกดอกบัว
เถียนซินมองทัศนียภาพตลอดทางแล้วพูดด้วยความชื่นชม “เป็นหมู่บ้านที่วิเศษมากเลยนะคะ!”
โค้ชเถียน “นั่นสิ ที่นี่เหมือนมีครบทุกอย่าง แถมยังเลี้ยงได้ดีด้วย เพียงพอให้ดำรงชีวิต”
มู่หว่านยิ้มพูด “เมื่อก่อนหมู่บ้านเรายากจนมากค่ะ ที่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เป็นเพราะเสี่ยวเยาเยา ปู่หยวน ปู่ซย่าโหว”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้งพลางส่ายมือ “นี่เป็นผลลัพธ์จากความพยายามของทุกคนต่างหาก”
ไม่อย่างนั้นลำพังแค่เธอกับอาจารย์มีความคิดอยากทำ แต่ถ้าคนทั้งหมู่บ้านไม่เอาด้วยก็เปลี่ยนเป็นอย่างในตอนนี้ไม่ได้
หนิงชิง “หมู่บ้านห่างไกลพัฒนาไปได้ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพราะชาวบ้านขยัน ที่มากกว่านั้นคือความสามัคคีและหัวคิดก้าวหน้า”
ทุกคนพยักหน้า
มู่เถาเยากับมู่หว่านก็พอใจสภาพหมู่บ้านในตอนนี้มาก แถมยังภูมิใจในตัวชาวบ้านทุกคน
พูดคุยระหว่างเดินทางอย่างสนุกสนาน พวกเขาเดินไปทางเขตป่าชั้นนอก ผ่านแปลงเพาะปลูก โซนเลี้ยงสัตว์
แม้จะเป็นเขตป่าชั้นนอกของป่าเซียนโหยวก็ยังมีสมุนไพรเยอะ มีงานใช้แรงงานให้ชาวบ้านทำก็ไม่ค่อยมีคนมาเก็บสมุนไพรแล้ว สมุนไพรที่อยู่ในป่าจึงไม่ลดน้อยลง
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย เธอมาป่าเซียนโหยวบ่อย ครั้งนี้ให้ฉันนำทางนะ ลองดูว่าจะเจอของแปลกๆ บ้างไหม”
เขามีพลังวิเศษเชียวนะ ยังใช้ไปแค่ไม่กี่ครั้งเอง!
เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอนี่แหละทำให้รู้สึกเสียเปรียบ!
ดังนั้นต้องให้เขาได้แสดงศักยภาพให้เต็มที่ให้สมกับชีวิตที่แสนยากลำบากนี้!
“ได้ งั้นคุณนำทาง” มู่เถาเยายังไงก็ได้
ตี้อู๋เปียนดีใจมาก รีบเดินนำหน้า
มู่เถาเยาเดินไปพร้อมเขา
“เธอกลับเผ่าครั้งล่าสุดไปเขาเทพจันทรามาหรือเปล่า”
“ไปมา ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ก็ยังเดินไม่ทั่ว” พื้นที่กว้างใหญ่แบบนั้น มีเวลาไม่กี่วันย่อมเดินไปได้ไม่ไกล
“อืม ไม่รีบ ไว้ปิดเทอมหน้าร้อนปีหน้าฉันจะเข้าเขตป่าชั้นในกับเธอ”
“ได้ พอถึงตอนนั้นฉันอาจไปปีนภูเขาหิมะที่อยู่ในเขาเทพจันทราก่อน”
ตี้อู๋เปียนตอบโดยอัตโนมัติ “ฉันไปเป็นเพื่อน…”
ยังไม่ทันพูดจบเขาก็หยุดก่อน เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าไม่ใช่คนตระกูลเย่ว์ก็ขึ้นเขาเทพจันทราไม่ได้
มู่เถาเยายิ้ม “พอถึงตอนนั้นพี่รองคงไปเป็นเพื่อนฉัน”
คนในครอบครัวไม่มีทางปล่อยให้เธอไปขึ้นเขาสูงหมื่นเมตรคนเดียว
“ซาลาเปาน้อย ใช้วิชาตัวเบาไม่ได้เหรอ”
“ฉันไม่อยากใช้วิชาตัวเบา” รู้สึกเหมือนไม่จริงใจพอ
หนิงชิงยิ้มพูด “ตอนนี้มีนักกิจกรรมนอกสถานที่หลายคนชอบไปปีนเขากัน เสี่ยวเยาเยา ภูเขาหิมะของเขาเทพจันทราสูงเท่าไรเหรอ”
“เกินหมื่นเมตรค่ะ”
ทุกคน “…”
หมื่นเมตรนี่มันขนาดไหน
หนิงชิง “…ต่อให้ไม่อันตราย แต่กว่าจะขึ้นลงก็เกือบครึ่งเดือนเลยหรือเปล่า”
ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาสูงขนาดนั้นไม่มีทางไม่อันตราย ในเมื่ออันตรายก็ยิ่งต้องระมัดระวัง เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งมากขึ้น
“หนูกะไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ค่ะ”
ตี้อู๋เปียนขมวดคิ้ว “ซาลาเปาน้อย พวกเธอต้องระวังให้มากนะ”
“อืม” คงไม่สะดุดล้มหรอก
หลักๆ คือบนนั้นอากาศบางเบา เรื่องอื่นไม่มีอะไรน่าห่วงเลยจริงๆ เว้นเสียแต่มีลมแรง แบบนั้นจะปีนยาก
แต่ก็ไม่กลัว มีวิชาตัวเบา ไม่มีทางบาดเจ็บ อย่างมากก็แค่ถูกลมพัดปลิว หาเวลาไปปีนใหม่ก็ได้
สามครั้งที่เธอขึ้นเขาเทพจันทราอากาศดีตลอด จึงไม่กังวลว่าอากาศจะเป็นอุปสรรคขัดขวางพวกเขา
แต่ปีนภูเขาหิมะต้องใช้เวลามากกว่า อีกอย่างระดับอันตรายระหว่างเขาสูงกับเขาลูกเล็กที่สูงสองสามร้อยเมตรก็ไม่เหมือนกัน ระวังไว้หน่อยย่อมดีกว่า ต้องเตรียมของให้พร้อมกับดูพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทาง
“เสี่ยวเยาเยา…” โค้ชเถียนขมวดคิ้วแน่น
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่อยากพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเหยียนหวงต้องตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ภูเขาลูกนั้นยังไม่ถึงเก้าพันเมตรด้วยซ้ำ แต่เสี่ยวเยาเยาจะไปปีนเขาที่สูงเกินหมื่นเมตร!
อย่ามองว่าระยะพันกว่าเมตรมันไม่ได้ไกลกันมาก แต่พันเมตรบนเขาสูงกับพันเมตรบนทางเรียบมันคนละเรื่องกัน
มู่เถาเยารู้ว่าโค้ชเถียนคิดอะไรอยู่ เธอยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะโค้ช หนูรับประกันว่าจะกลับมาฝึกได้อย่างปลอดภัยแน่นอนค่ะ”
“ชีวิตสำคัญกว่าการฝึก”
“หนูรู้ค่ะ วางใจได้ค่ะ”
มู่หว่านกับเจียงเฟิงเหมียนไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงเท่าไร
เพราะในสายตาของพวกเธอ มู่เถาเยาเก่งทุกอย่างดุจเทพ
มู่เถาเยาเปลี่ยนเรื่อง หันไปคุยกับคนข้างตัว “พี่สาม ฉันคิดค้นวิธีฝึกให้ได้แล้ว รออาจารย์รองกลับมาพวกเราจะหารือกันว่ามีช่องโหว่หรือเปล่า”
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เรียกตี้อู๋เปียนว่า ‘พี่สาม’ มู่เถาเยาก็มักเรียกเขาแบบนี้บ่อยๆ แต่บางครั้งก็จะมีหลุด ‘ตี้อู๋เปียน’ บ้าง อย่างไรเสียความเคยชินก็ใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “ได้ ไว้ถึงตอนนั้นฉันจะหาเวลากลับมา”
“ปิดเทอมหน้าหนาวแล้วกัน”
“อืม”
พอได้ยินแบบนี้หนิงชิงก็วิ่งเข้ามา “เสี่ยวเยาเยา อย่างน้าเนี่ยพอจะฝึกได้ไหม”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “ถ้าน้าชิงอยากเรียน ให้พี่เหลียงจีสอนก่อนได้นะคะ”
“งั้นก็ดีเลย!”
หนิงชิงวิ่งกลับไปหาเหลียงจี
เหลียงจีถามด้วยความรู้สึกขำ “ตอนนี้คุณอยู่ระดับไหนแล้วคะ”
“ผมเคยเรียนวิชาตัวเบากับกำลังภายในมาจากพี่เขย ตอนอยู่ในค่ายทหารเรื่องหมัดมวยไม่เป็นรองใคร ต่อมาเคยเชิญอาจารย์สอนศิลปะป้องกันตัวมาสอนวิชาหมัด ฝ่ามือ เท้า ดาบ พวกอาจารย์บอกว่าผมเรียนได้ไม่เลว…” บลาๆๆ
หนิงชิงชมตัวเองอย่างหน้าไม่อาย
เหลียงจีมุมปากกระตุก “ตอนนี้ยังมีเวลา โชว์วิชาตัวเบาให้พวกเราดูหน่อย”
หนิงชิงสะพายเข่งกระโดดขึ้นต้นไม้แล้วเหาะไปข้างหน้า สองนาทีก็กลับมา
สองพ่อลูกปรบมือด้วยความตื่นเต้น
มู่เถาเยา ตี้อู๋เปียน มู่หว่าน เหลียงจี ต่างมุมปากกระตุก
สองนาทีเอง ถ้าเป็นพวกเขาหายวับไปแล้ว แต่หนิงชิงเหาะกลับมายังเห็นเงาอยู่ก้อนเบ้อเร่อ! อีกอย่างออกไปหนึ่งนาทีเหาะไปไกลสักแค่ไหนกันเชียว!
“เป็นไงบ้าง ผมพอจะฝึกไปถึงระดับพวกคุณได้ไหม”
พูดตามตรง ระดับอย่างหนิงชิงถือเป็นขั้นสูงของคนทั่วไปแล้ว แต่ในสายตาของมู่เถาเยานี่เหมือนเด็กสองสามขวบวิ่งเตาะแตะ
เหลียงจี “…คุณเรียนจากพี่เขยมานานแค่ไหน”
“ก็ไม่นานหรอก พี่เขยผมสอนมานิดหน่อย ส่วนใหญ่ผมฝึกเอง”
มู่เถาเยา ตี้อู๋เปียน เหลียงจี พอจินตนาการออก
อย่างไรเสียน่าหลานรั่วเฉินพี่เขยของเขาก็อยู่เจียงตู แต่บ้านหนิงชิงห่างจากเจียงตูถ้านั่งเครื่องบินก็ยังตั้งชั่วโมงครึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเคยไปเป็นทหาร ต่อมาก็ต้องไปถ่ายทำในหลายๆ ที่ ไม่มีทางเหมือนพวกเขาที่มีคนชี้แนะตอนฝึกได้ทุกวัน
พอคิดได้แบบนี้เขาฝึกได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว
เหลียงจีพยักหน้า “ลองกำลังภายในให้ดูหน่อยค่ะ”
“ได้”
หนิงชิงรวบรวมลมปราณ ปล่อยพลังใส่ต้นไม้ที่หนึ่งคนโอบได้พอดี ครึ่งบนของต้นไม้เอนล้มไปด้านข้าง
สองพ่อลูกปรบมือชื่นชมอีกครั้ง
หนิงชิงภูมิใจมาก ใบหน้าหล่อเหลาตื่นเต้นจนแดงก่ำ “ผมเคยฝึกวิชาระฆังทองด้วย ใช้หน้าอกทุบหินได้นะ!”
มู่หว่าน เหลียงจี เจียงเฟิงเหมียน พากันหัวเราะ
ใช้หน้าอกทุบหินเป็นเรื่องพื้นฐานมากสำหรับคนมีวรยุทธสูง ก็ได้แค่เอาไว้ข่มคนไม่มีวรยุทธหรือคนที่เป็นแค่วิชาป้องกันตัว
แน่นอนว่าหมายถึงวิชาระฆังทองในยุคนี้ แต่ถ้าเมื่อก่อนก็สุดยอดไม่เบา
แต่ฝึกยุทธ์ลำบากมาก หลายคนทนไม่ไหว วิทยายุทธชั้นยอดหลายอย่างจึงสูญหายไปเพราะไม่มีคนสืบทอด
หนิงชิงตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาพูดด้วยความเขินอาย “อาจารย์ที่สอนให้ ลูกชายเขาไม่ยอมเรียน แถมยังหาลูกศิษย์ถ่ายทอดไม่ได้ สุดท้ายเลยถ่ายทอดวิชาให้ผมหมด แต่น่าเสียดายที่ถึงผมจะขยันฝึกก็จริง แต่หัวไม่ไว เลยเรียนได้ไม่ถึงไหน…”
มู่เถาเยา ตี้อู๋เปียน มู่หว่าน เหลียงจี พวกเขาที่วรยุทธสูงแล้วต่างไม่คิดแบบนั้น
วิทยายุทธไม่เหมือนความรู้ด้านอื่น ถ้าไม่มีคนพาเข้าสำนักอาจธาตุไฟแตกซ่านตายเอาได้ง่ายๆ
มู่เถาเยายิ้มพูดกับหนิงชิง “น้าชิงคะ ไว้วันไหนเอาหนังสือมาให้หนูอ่านหน่อย ถ้าเป็นตำราโบราณจริง หนูฝึกจนเป็นก็สอนน้าชิงได้ค่ะ”
เธอเรียนอะไรก็เป็นเร็ว
“เอาสิเสี่ยวเยาเยา กำลังภายในของเธอไปถึงขั้นไหนแล้ว หักต้นไม้ต้นนี้ได้ไหม”
มู่หว่านตอบแทนมู่เถาเยาด้วยความภูมิใจ “เสี่ยวเยาเยาไม่ใช่แค่หักมันได้ ยังบดเป็นผุยผงได้ด้วยค่ะ”
พูดจบก็หยิบหินก้อนเล็กขึ้นมาหนึ่งก้อน กำไว้ แบออก หินกลายเป็นฝุ่นผงอยู่ในมือ
“อย่างหนูยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของเสี่ยวเยาเยาเลยค่ะ”
เถียนซินดวงตาเปล่งประกาย “ว้าว เสี่ยวหว่านเก่งจังเลย!”
เป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักได้ว่าเพื่อนคนนี้สุดยอดมาก
พวกเพื่อนๆ เที่ยวเล่นด้วยกันบ่อย แต่ไม่รู้สึกเลยว่าเสี่ยวหว่านแตกต่างจากพวกเขา
โค้ชเถียนยิ้มพูด “เสี่ยวหว่านมีฝีมือขนาดนี้ วันหน้าเข้าวงการบันเทิงไปเป็นดาราสายบู๊ได้เลยนะ”
“เสี่ยวหว่าน เห็นเสี่ยวเยาเยาบอกว่าพี่ซานเตรียมเลือกบทแสดงให้เธอแล้วเหรอ” พอพูดถึงเรื่องงานหนิงชิงก็ลืมเรื่องวิชาต่อสู้ไปชั่วคราว
“ใช่ค่ะ อาซานเริ่มดูให้แล้ว อยากให้หนูลองเล่นละครย้อนยุคดูก่อนค่ะ”
มู่เถาเยาอึ้งไปชั่วขณะ มองมู่หว่าน “ละครย้อนยุคเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันเขียนบทให้”
อืม เธอเขียนเรื่องจักรพรรดินีโดยอิงจากประสบการณ์ในชาติที่แล้วได้ เวอร์ชันไร้คู่
ตอนนี้ละครย้อนยุคเน้นหน้าตากำลังเป็นที่นิยม
เสี่ยวหว่านแอบคล้ายเป่ยหลีฮองเฮาของเยี่ยนหัง
นิสัยเหมือน บุคลิกคล้าย เป็นแบบสวยใสเจือไปด้วยความกล้าหาญและชอบต่อสู้
มองผิวเผินดูไร้เดียงสา แต่ภายในไม่โง่เลยสักนิด
ยามปกติมองไม่ออก แต่เวลาเกิดเรื่องก็จะแสดงความกล้าและความฉลาดให้เห็น
เป่ยหลี ถือเป็นบทผู้หญิงที่สำคัญลำดับสาม เหมาะเป็นบทเดบิวต์ของเสี่ยวหว่าน รับรองเรื่องเดียวดัง
เพราะบทของเป่ยหลีเป็นที่น่าเอ็นดูมาก ไม่อย่างนั้นเธอกับเยี่ยนหัง รวมถึงอาจารย์กับครอบครัวฝั่งยายคงไม่ชอบเธอขนาดนั้น
หนิงชิงอึ้งไปชั่วขณะ “เสี่ยวเยาเยาเขียนบทละครเป็นด้วยเหรอ”
“เรียนได้ค่ะ ไม่นานก็เป็น”
“งั้นเดี๋ยวน้าสอนให้ เร็วกว่า”
“ค่ะ ขอบคุณน้าชิงค่ะ”
มู่เถาเยาหันไปมองมู่หว่าน “เดี๋ยวกลับไปฉันจะบอกอาซานว่าอย่าเพิ่งหาบทละครให้เธอ”
มู่หว่านเบ้ปาก “เสี่ยวเยาเยา เธองานยุ่งมากพอแล้วนะ ฉันเข้าวงการบันเทิงไม่ได้เพื่อต้องการดังเสียหน่อย อย่าเสียเวลาเลย”
มีเวลาขนาดนั้นไม่สู้เอาไปพักผ่อน!
“เรื่องแบบนี้ใช้เวลาไม่นานหรอก”
สองพ่อลูกกับหนิงชิง “…”
ทำไมพวกเขาเกิดความรู้สึกแบบนี้ เสี่ยวเยาเยาบอกว่าเขียนบทละครง่ายราวกับกินข้าว นอนหลับ
นี่มันภาพลวงตาหรือเปล่า
ตี้อู๋เปียน เหลียงจี มู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน ต่างรู้ความสามารถของมู่เถาเยาดี จึงไม่เกิด ‘ภาพลวงตา’ แบบพวกหนิงชิง
“เถียนซิน ถ้าเธออยากเข้าวงการบันเทิงแล้วยังขาดบทเหมาะๆ ล่ะก็มาบอกพี่นะ พี่จะหาเวลาว่างเขียนให้เรื่องหนึ่ง”
ดวงตาดอกท้อของเถียนซินโค้งมน “ขอบคุณค่ะพี่เยาเยา แต่หนูยังไม่มีแผนเข้าวงการบันเทิงค่ะ ไว้ถึงเวลาอาจแค่ไปถ่ายโฆษณาเล็กๆ พอค่ะ”
ที่เธอเข้าเรียนในสถาบันศิลปะการแสดงเป็นเพราะอยู่ใกล้ศูนย์ฝึกม้า แถมยังไม่เข้มงวดมาก
สองข้อนี้เป็นมิตรสำหรับเธอมาก
ทุกคนเดินไปคุยไป
ทันใดนั้นตี้อู๋เปียนก็เดินไปทางขวาสองก้าว ชี้ตรงพุ่มไม้เขียวชอุ่ม “ซาลาเปาน้อย เธอว่านี่ใช่ต้นอู่เลี่ยหวงเหลียนไหม”
มู่เถาเยาเดินเข้าไปแหวกหญ้าออกแล้วพูดด้วยความดีใจ “ใช่อู่เลี่ยหวงเหลียน”
เถียนซินตามเข้าไปดู “หนูรู้จักหวงเหลียน แต่อู่เลี่ยหวงเหลียนคืออะไรคะ”
“อู่เลี่ยหวงเหลียนเป็นพืชคุ้มครองระดับสองของประเทศ เป็นส่วนผสมหลักในตำรับยาของชนกลุ่มน้อยที่เอาไว้แก้พิษงู มันเป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์แล้ว พี่สามทำไมถึงได้…ดวงดีอะไรขนาดนี้!”
ตี้อู๋เปียนยิ้มมีเลศนัยให้เธอ
โค้ชเถียน “งั้น…เก็บได้ไหม เก็บแล้วมันจะสูญพันธุ์เลยไหม”
มู่เถาเยา “เก็บสักหน่อยเอาไปเพาะพันธุ์ ส่วนหนึ่งเอาไปทำยา เหลือเอาไว้ที่นี่ด้วย”
หนิงชิงพูดด้วยความเป็นห่วง “แต่เหลือไว้ที่นี่จะถูกสัตว์มากินหรือเหยียบตายไหม หรือจะถูกคนถอนทิ้งเพราะคิดว่าเป็นหญ้ารกๆ ไหม”
“พวกชาวบ้านไม่มีทางแตะต้องพวกพืชที่ไม่รู้จัก เพราะมีหลายชนิดที่มีพิษ พวกน้าชิงก็เหมือนกันนะคะ ถ้าเจอสัตว์หรือต้นอะไรที่ไม่รู้จักก็อย่าไปแตะต้อง เจอดอกไม้สวยก็อย่าไปดม บางอย่างมองภายนอกน่ารักสวยงาม แต่กลับมีพิษรุนแรงที่สุด”
สองพ่อลูกกับหนิงชิงพยักหน้า พวกเขาเข้าใจเรื่องพื้นฐานพวกนี้
มู่เถาเยาขุดต้นใหญ่ออกมาห้าต้น ต้นเล็กห้าต้น ด้วยความระมัดระวัง ส่วนที่เหลือต้นไม่เล็กไม่ใหญ่ก็ปล่อยเอาไว้ที่นี่
จัดการเสร็จทุกคนก็เดินตามตี้อู๋เปียนต่อ
ระหว่างทางเก็บสมุนไพรหายากได้ไม่น้อย
มู่เถาเยามองในเข่งหลายใบแล้วยิ้ม
พวกนี้เป็นสมุนไพรป่าที่เอาไว้รักษาโรคที่พบได้บ่อยแต่กลับหาได้ยาก แม้จะไม่ได้มีค่าเท่าโสมหรือหลิงจือ แต่ก็ต้องพึ่งดวงในการตามหา
ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานก็ได้ของเต็มเข่งกลับไป
มู่เถาเยามองตี้อู๋เปียนที่เดินอยู่หน้าสุดพลางครุ่นคิด
ทุกคนกลับถึงหมู่บ้านเถาหยวนซาน ไปดูพวกเสี่ยวเหยี่ยก่อน จากนั้นถึงตามมู่เถาเยากลับบ้านครอบครัวหยวน
เอาอู่เลี่ยหวงเหลียนห้าต้นไปปลูกที่สวนหลังบ้านก่อนแล้วถึงไปจัดการสมุนไพรที่ห้องปรุงยา
ไม่นานผู้ใหญ่บ้านมู่อี้ก็โทรมาเรียกพวกเขาไปกินข้าวที่บ้านอดีตผู้ใหญ่บ้าน
พอไปถึงบ้านของอดีตผู้ใหญ่บ้านถึงพบว่าพ่อแม่ของไป๋เฮ่าอวี๋ก็อยู่ด้วย
ทักทายกัน มู่เถาเยาจับชีพจรให้มู่จิ้งที่ท้องได้สี่เดือนแล้ว จากนั้นทุกคนถึงเริ่มกินข้าว
ต่อมาพูดคุยกับอดีตผู้ใหญ่บ้านสักพักพวกมู่เถาเยาก็กลับบ้านครอบครัวหยวน จัดการกับสมุนไพรต่อ
กว่าจะจัดการเสร็จก็สามทุ่มกว่า มู่เถาเยาให้มู่หว่านพาเจียงเฟิงเหมียนกับสองพ่อลูกกลับบ้านพักผ่อน
คืนนี้ไม่ทำยา เพราะพรุ่งนี้ยังต้องไปตามหาราชาม้าป่าในเขตป่าชั้นใน พวกตี้อู๋เปียนก็ไม่ชวนมู่เถาเยาคุยต่อ แต่ละคนแยกย้ายกลับห้องอาบน้ำนอน