อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 481 มีอีกหลายชาติ ตอนที่ 482 ชีวิตแลกด้วยชีวิต
ตอนที่ 481 มีอีกหลายชาติ
วันรุ่งขึ้น! มู่เถาเยาพาหยวนเหยี่ย ตี้อู๋เปียน พี่ชายสองคน และหมอของตำหนักพระจันทร์ไปหอยา
‘กุหลาบน้ำเงิน’ บอบบาง ต้องรีบทำเป็นยาถึงจะเก็บไว้ได้นาน
อย่างอื่นเก็บไว้ได้ก็เก็บไว้ก่อน อันไหนเก็บไม่ได้ก็เอามาทำเป็นยาหรือดองเก็บไว้
สมุนไพรที่เก็บมาได้หลายวันนี้มีอยู่ไม่น้อย วุ่นกันทั้งวันกว่าจะทำเสร็จ
พักต่ออีกสองวันสองพี่น้องก็บอกคนในครอบครัวระหว่างกินข้าวเย็นว่าพรุ่งนี้จะไปปีนยอดเขาหมื่นเมตร
ในดวงตาของทุกคนฉายแววกังวล
มู่เถาเยายิ้มพูด “ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูปีนยอดเขาที่สูงที่สุดของเหยียนหวงมาแล้ว สูงแปดพันกว่าเมตร เขาเทพจันทราสูงกว่ายอดเขาจูจื่อไม่เท่าไร”
เย่ว์จือกวง “ระยะนี้ผมก็ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแล้วด้วย ได้ความรู้มามากมาย ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ”
ย่าอวิ๋นถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมเสี่ยวเยาเยาถึงได้นึกจะไปปีนเขาหิมะล่ะ”
“หนูรู้สึกว่าข้างบนนั้นต้องมีอะไรแน่ค่ะ”
ปู่อวิ๋น “เสี่ยวเยาเยา บนเขาสูงขนาดนั้นไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิต ยังจะมีอะไรได้อีก”
มู่เถาเยาส่ายหน้า “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มันรู้สึกตามสัญชาตญาณว่าบนนั้นมีบางสิ่งรอหนูอยู่”
เธอจะพูดไม่ได้ว่าเธอกับตี้อู๋เปียนเคยสงสัยว่าบนนั้นอาจมีหญ้าพิษชีวิตหรือสิ่งอื่นอยู่ คนแก่จะได้ไม่คาดหวัง กลัวสุดท้ายต้องมาผิดหวังกันอีก
ยี่สิบกว่าปีมานี้ตระกูลตี้กับตระกูลอวิ๋นผิดหวังกันมามากพอแล้ว ไม่ควรให้ความหวังมากไปกว่านี้
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อยเอากล้องไปด้วยได้ไหม”
เขาไปไม่ได้ แต่อยากเห็นว่าเขาเทพจันทราเป็นอย่างไรกันแน่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้รู้ในทันที
เย่ว์จือกวง “ฉันเตรียมไว้แล้ว พกกล้องจิ๋วคนละตัว ทุกคนจะได้ดูได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
เย่ว์หลั่ง “เดี๋ยวพ่อจะช่วยตรวจดูของทั้งหมดอีกครั้ง พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปส่งขึ้นเขาแล้วรอเราสองคนกลับมาอยู่ที่ล่างเขา”
เมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยคิดจะปีนเขาหิมะกันเลย
มู่เถาเยายิ้มมองพ่อแม่ “พ่อกับแม่ไม่ต้องอยู่เฝ้าตรงล่างเขาหรอกค่ะ พวกเราต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน ประมาณหนึ่งอาทิตย์ถึงสิบวัน ช้าสุดไม่เกินครึ่งเดือนค่ะ”
เป่ยซี “เสี่ยวเยาเยา อากวง แม่กับพ่อจะเอาเต็นท์ไปตั้งแคมป์ที่ล่างเขา รอพวกลูกลงมา”
ตั้งกล่องส่องทางไกลไว้จะได้เห็นกับตา
พวกเขาสามีภรรยาตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่ลูกสาวบอกจะไปปีนเขาหิมะ ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะไปเป็นภาระลูกๆ พวกเขาก็อยากตามไปด้วย
แต่เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง พวกเขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่เข้าไปในเขาเทพจันทรา คนตระกูลเย่ว์ไม่มีทางเกิดอันตรายถึงชีวิต
นี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขายอมให้ลูกๆ ไปปีนเขาหิมะ
เย่ว์เลี่ยง “เสี่ยวเยาเยาพ่อกับแม่เราไปรอล่างเขาจะสบายใจกว่า”
ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า
“ผมจะไปดูพี่ๆ กับคุณลุงคุณป้าด้วยฮะ” ใบหน้าได้รูปของเยี่ยนหังมีสีหน้าจริงจัง
พวกเด็กๆ ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่าอยากไปด้วย
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน ก็แค่เยี่ยนหังพูดว่าอยากไปพวกเขาก็เลยเอาด้วย
มู่เถาเยาพูดด้วยความรู้สึกอยากขำ “พรุ่งนี้เด็กๆ ต้องเรียนกันนะ ไปด้วยไม่ได้จ้ะ ไว้พี่ๆ กลับมาจะพาไปเที่ยวนะ”
เย่ว์เลี่ยง “เสี่ยวเยาเยา ให้เยี่ยนหังตามไปด้วยสิ”
ย่าอวิ๋นถามด้วยความเป็นห่วง “เย่ว์เลี่ยง เขาหิมะจะหนาวมากหรือเปล่า เยี่ยนหังยังเล็ก เขาจะทนไหวเหรอ”
เรื่องกินนอนไม่ห่วงเท่าไร กลัวแค่ว่าในเขาจะหนาวเกินไปจนเด็กแข็งตาย
เย่ว์เลี่ยงยิ้มพูด “วางใจได้ค่ะแม่ เขาเทพจันทราเป็นดินแดนที่ธารน้ำแข็งกับภูเขาไฟอยู่ร่วมกัน ไม่มีทางร้อนหรือหนาวเกินไป กลางวันใส่สองชั้น กลางคืนใส่เสื้อกันหนาวขนเป็ดอีกตัวก็พอแล้วค่ะ ตอนนอนก็ไม่ต้องกังวล เอาถุงนอนกับผ้าห่มไป”
คนตระกูลเย่ว์พยักหน้าพร้อมกัน
ย่าเย่ว์ “ในเมื่อเยี่ยนหังอยากไปก็พาไปด้วยเถอะ เด็กคนนี้ก็เป็นห่วงพวกพี่ๆ อีกทั้งเขาก็ไม่ดื้อไม่ซน”
ถ้าไม่ติดว่ามีญาติสนิทกับแขกจากแดนไกลมาที่ตำหนักพระจันทร์กันเยอะ พวกเขาก็อยากไปเฝ้าที่ล่างเขาด้วยเหมือนกัน
ย่าอวิ๋น “งั้นก็ให้เขาตามไปด้วย”
เย่ว์เลี่ยงลูบศีรษะลูกชาย “ไม่ต้องห่วงนะ พวกพี่ๆ เก่งกันมาก ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ”
เยี่ยนหังน้อยที่มีสีหน้าจริงจังพยักหน้า
กินข้าวเย็นเสร็จเย่ว์หลั่งกับเป่ยซีก็ไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้
เย่ว์จือเหิงกับเย่ว์จือกวงช่วยกันตรวจของใช้ต่างๆ
เย่ว์เลี่ยงกับอวิ๋นไป๋เก็บของให้เยี่ยนหัง
เยี่ยนหังฉวยโอกาสตอนพวกเด็กๆ ไม่ทันสังเกต จูงมู่เถาเยาไปข้างนอก
เดินไปไกลตรงไม่มีคนแล้วทั้งสองคนก็หยุดลง
มู่เถาเยานั่งยอง ยิ้มตาโค้ง “เยี่ยนหัง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่รับรองเลยว่าจะลงจากเขาหิมะในสภาพสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน”
“พี่ฮะ พี่ยอมไปเสี่ยงอันตรายเพื่อพี่อู๋เปียนหรือเปล่า”
“….ไม่ใช่นะ พี่แค่รู้สึกว่าบนนั้นน่าจะมีอะไร คราวก่อนที่พี่ไปเขาเทพจันทราก็รู้สึกแบบนี้แล้ว”
“แล้วเมื่อก่อนเข้าไปรู้สึกแบบนี้ไหม”
“เมื่อก่อนไม่นะ พี่เองก็แปลกใจ แต่เขาเทพจันทราเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเย่ว์ ไม่เป็นอันตรายต่อคนตระกูลเย่ว์ เยี่ยนหัง น้องยังเด็ก อย่าคิดมากเลยนะ ที่นี่ไม่ใช่ชาติที่แล้ว ใช้ชีวิตให้สบายๆ ดีกว่า” มู่เถาเยาลูบศีรษะน้องชาย
“…พวกเราเพิ่งจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่อยากจากกันอีกแล้ว ผมไม่ขอให้มีอีกหลายชาติ ขอแค่ชาตินี้พวกเราอยู่กันอย่างปกติสุขไปจนแก่ตายก็พอแล้ว”
มู่เถาเยาหยิกแก้มน้องชาย ยิ้มพูด “วางใจได้ พี่ก็ทิ้งพวกเธอไม่ลงเหมือนกัน”
“อื้อ”
มู่เถาเยา เย่ว์จือกวง เย่ว์หลั่ง เป่ยซี และเยี่ยนหังออกเดินทางในสภาพข้าวของเครื่องใช้มีพร้อม
ตี้อู๋เปียนร้อนใจแต่ก็จนปัญญา ใครใช้ให้ตอนนี้เขายังไม่ใช่คนตระกูลเย่ว์ล่ะ ไม่มีสิทธิ์ขึ้นเขาเทพจันทรา
บรรดาผู้สูงวัยก็จับมือสองพี่น้องพร้อมกำชับอยู่หลายรอบ
“คุณปู่คุณย่าไม่ต้องห่วงนะคะ หนูกับพี่รองจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนค่ะ”
อันที่จริงการปีนเขาหิมะหมื่นเมตรไม่ได้ถือว่ายากเท่าไรสำหรับคนมีฝีมือระดับนี้อย่างพวกเขา
แต่เธอก็พอเข้าใจหัวอกของผู้ใหญ่ได้ อย่างไรเสียเมื่อก่อนเธอก็เป็นผู้ปกครองของเยี่ยนหัง จึงไม่มีความรู้สึกรำคาญเลยสักนิดที่ทุกคนกำชับเรื่องความปลอดภัยมากจนคล้ายกับการ ‘บ่น’
ปู่เย่ว์พยักหน้า “เอาล่ะ ขึ้นรถเถอะ รีบไปรีบกลับนะ”
พวกมู่เถาเยาขึ้นรถ เย่ว์หลั่งขับรถคันที่บรรทุกคน เย่ว์จือกวงขับคันที่บรรทุกของ มุ่งหน้าสู่เขาเทพจันทรา
เนื่องจากตำแหน่งของยอดเขาหมื่นเมตรไม่เหมือนกัน รถของพวกเขาจึงขับเข้าเขตเขาเทพจันทราคนละเส้นทางกับเมื่อก่อน พยายามไปจอดให้ใกล้ยอดเขาหมื่นเมตรมากที่สุด
เมื่อก่อนพวกเขาขึ้นเขาเทพจันทราไปทางด้านเขาหมื่นเมตรด้านนั้นต้องผ่านธารน้ำแข็งกว่าจะไปถึง เส้นทางที่ไปในตอนนี้เป็นอีกด้านหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องผ่านธารน้ำแข็ง เพราะยอดเขาหมื่นเมตรอยู่โซนรอบนอกของเขาเทพจันทรา
เส้นทางนี้ไม่ใช่ถนนลาดยางมะตอย แต่เป็นเส้นทางลูกรังตามธรรมชาติที่คนตระกูลเย่ว์หลายรุ่นเดินขึ้นเขาเทพจันทราหรือขับรถเข้ามา
ทัศนียภาพของโซนรอบนอกค่อนข้างโล้น ไม่สวยเหมือนโซนในที่มีภูเขาไฟกับธารน้ำแข็ง แต่พวกเย่ว์หลั่งตั้งแคมป์ที่ธารน้ำแข็งไม่ได้ เพราะจะมีปัญหาเรื่องทำธุระส่วนตัว
ด้านนี้มีดิน มีหิน ใช้กลบสิ่งปฏิกูลได้ ไม่ต่างอะไรกับภูเขาทั่วไปยกเว้นเรื่องที่ไร้สิ่งมีชีวิต
เมื่อรถขับเข้าไปจนขับต่อไม่ได้แล้ว มู่เถาเยากับเย่ว์จือกวงก็ไปส่งเป่ยซีกับเยี่ยนหังที่ล่างเขาก่อน จากนั้นก็กลับมาแบกของไปพร้อมเย่ว์หลั่ง
สองพี่น้องไปกลับห้ารอบก็ไม่ให้เย่ว์หลั่งมาขนอีก
ยังเหลือของอีกหน่อยแต่สองพี่น้องไม่ให้เย่ว์หลั่งไปขนแล้ว ให้เขาช่วยเป่ยซีกางเต็นท์
กว่าจะขนของเข้ามา ตั้งเต็นท์เสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งวันแล้ว
เย่ว์จือกวงจุดไฟ ต้มซุปผักก่อน
ที่นี่ไม่มีต้นไม้ จุดไฟได้ตามสบาย พวกเขาจึงพกเตากับแก็ซสำหรับใช้ข้างนอกมาด้วย เอาไว้ใช้ต้มน้ำ ต้มซุป ต้มโจ๊กกับนมให้เยี่ยนหัง
ทุกคนกินอาหารแห้งเป็นหลัก
อาหารของมู่เถาเยากับเย่ว์จือกวงที่ใช้สำหรับปีนเขาจะเป็นยาบำรุงกับน้ำดื่ม แน่นอนว่าก็พกพวกเนื้อแห้ง นม ช็อกโกแลตและอื่นๆ ไปด้วย
แต่น้อยมาก เพราะพวกเขาต้องเลี่ยงปัญหาการขับของเสียจากร่างกาย
อย่างขนมปังเอาไปด้วยไม่ได้แน่นอน
กล่องยาใบน้อยต้องเอาไป
พวกเสื้อผ้าไม่เท่าไร ทั้งสองคนมีกำลังภายใน หนาวแค่ไหนก็ไม่กลัว
รวมกระป๋องออกซิเจนเข้าไป ถือว่าทั้งสองคนพกของไปไม่มาก
เย่ว์จือกวงถามขึ้นขณะกิน “เสี่ยวเยาเยาลองดูนะว่าพวกเราควรขึ้นจากตรงไหน”
มู่เถาเยามองยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า ไม่กี่วินาทีถัดมาถึงตอบ “เดี๋ยวกินเสร็จพวกเราใช้กล้องส่องทางไกลดูรอบๆ เขาค่อยตัดสินใจค่ะ”
เป่ยซีพยักหน้า “ใช่ ต้องเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดค่อยขึ้นไป”
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “ดูเหมือนจะขึ้นไปไม่ยากนะคะ”
เย่ว์จือกวง “อึม แรกๆ พวกเราเดินเร็วหน่อย หลังๆ พอสูงขึ้นค่อยช้าลง”
มู่เถาเยาพยักหน้า
เย่ว์หลั่ง “ลูกรัก ลูกว่าข้างบนจะมีอะไรเหรอ”
เนื่องจากเขาเทพจันทราเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเย่ว์ คนตระกูลเย่ว์ไม่เคยถ่ายภาพที่ครอบคลุมทั้งหมด ถ่ายแค่ส่วนเดียว จึงไม่รู้ว่าบนยอดเขาหมื่นเมตรมีอะไร
มู่เถาเยามองท้องฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินเข้มจนดำ “หิมะที่ขาวสะอาดที่สุดอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่สีครามเข้มที่สุด เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของหญ้าพิษชีวิต แต่หนูก็ไม่เข้าใจว่าสมุนไพรวิเศษอย่างหญ้าพิษชีวิตจะต้องมีสัตว์อารักขาแน่นอน แต่ถ้ามีสัตว์อยู่จริง มันกินอะไรเพื่อดำรงชีวิต ทั้ง ๆ ที่ในรัศมีร้อยลี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย…”
เย่ว์จือกวงครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “เสี่ยวเยาเยา หรือว่า…มันจะกินเยี่ยนหงกับชวนไป๋ เยี่ยนหงกับชวนไป๋มีเยอะขนาดนี้ หายไปวันละต้นพวกเราก็ไม่สังเกตเห็นหรอก”
“ฉันก็เคยนึกถึงความเป็นไปได้นั้นค่ะ ไม่มีทางที่ผ่านมาเป็นพันเป็นหมื่นปีเยี่ยนหงกับชวนไป๋จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย พวกมันเป็นพืชของจริง ไม่ใช่ของปลอม พอลดลงไปก็ต้องมีงอกขึ้นมาใหม่…แต่ที่นี่ก็ไม่สอดคล้องกับตรรกะที่ควรเป็น…”
เย่ว์หลั่ง “ลูกรัก ลูกหมายถึงว่า ทำไมต้นที่งอกใหม่ถึงได้มีขนาดรูปร่างเหมือนต้นเก่าอย่างนั้นเหรอ”
มู่เถาเยาพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
เป่ยซี “งั้นก็น่าพิศวงแล้ว”
เยี่ยนหังแค่ฟัง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุหนึ่งขวบสามเดือน!
เย่ว์จือกวง “ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ลองขึ้นไปดูก่อน ถ้ามีหญ้าพิษชีวิตจริงอู่เปียนก็รอดแล้ว”
ถ้าผู้ชายที่หล่อเหมือนเทพบุตรคนนั้นรอดตายแน่แล้ว พวกเขาสองพี่น้องก็พอจะหยวนๆ ให้คบกับน้องสาวสุดที่รักของพวกเขาได้ อย่างไรเสียถ้าจะให้หาน้องเขยที่เก่งสูสีกับตี้อู๋เปียนก็คงไม่มีหรอก
พอคิดว่าบนนั้นอาจมีหญ้าพิษชีวิต เย่ว์หลั่ง เป่ยซี และเยี่ยนหังก็ดีใจมาก
ยังไม่ต้องพูดเรื่องตระกูลเย่ว์กับตระกูลอวิ๋นเป็นญาติกัน แถมตระกูลอวิ๋นก็เป็นญาติกับตระกูลตี้ เอาแค่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอเทวดาหยวนกับตระกูลตี้และตระกูลเย่ว์ พวกเขาต่างก็อยากให้อู๋เปียนหายดี
มู่เถาเยายิ้มให้คนในครอบครัว “วางใจได้ค่ะ หนูกับพวกอาจารย์ต้องรักษาตี้อู๋เปียนให้หายได้แน่นอนค่ะ”
เปลี่ยนโชคชะตาครั้งใหญ่ใช่ว่าจะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็น
สมัยโบราณก็มีนักพรตที่เสียสละตัวเองเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาของจักรพรรดิ ต่อมาจักรพรรดิก็ได้สร้างยุคสมัยที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
แต่ตอนนี้…เกรงว่าจะไม่มีคนรู้วิธีนี้แล้ว ต่อให้รู้ คนปกติก็ไม่มีทางใช้ อย่างไรเสียก็ต้องใช้ชีวิตของนักพรตมาแลก
สมัยนี้สังคมเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนยุคสมัยที่การยอมตายเพื่อเจ้านายถือเป็นเกียรติแล้ว
แต่ตระกูลจั่วไม่เหมือนกัน
สองผู้อาวุโสตระกูลจั่วเป็นน้องชายแท้ๆ ของหัวหน้าตระกูลคนก่อน หากพวกเขารู้ว่าสามารถใช้ชีวิตตัวเองช่วยคนตระกูลตี้ได้ พวกเขาอาจยินดียอมแลกด้วยชีวิต เพราะอายุของพวกเขาเกือบจะเท่าตอนที่พี่ชายจากไปแล้ว พร้อมจะเสียสละตัวเองได้ทุกเมื่อ…
เมื่อลองชั่งน้ำหนักดู สองผู้อาวุโส…มีความเป็นไปได้ที่จะเลือกแบบนั้นอยู่สูงทีเดียว
แน่นอนว่าก็ต้องอยู่ภายใต้ความยินยอมของตระกูลตี้ด้วย
แต่เท่าที่เธอรู้จักตระกูลตี้ ไม่มีทางจะให้ใครยอมสละชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตของคนในตระกูลตัวเอง แม้จะรู้ว่าคนคนนั้นเหลือเวลาอยู่บนโลกอีกไม่กี่วันก็ตาม…