อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 49 ความหวานผ่านลิ้นเล็กๆ
ตอนที่ 49 ความหวานผ่านลิ้นเล็กๆ
หลังมื้ออาหารเย็นจบลง อวิ๋นไป๋ก็ไปส่งมู่เถาเยากลับเรือนอุ่นรัก
“เสี่ยวเถาเยา คิดดูให้ดีๆ นะ เป็นลูกสาวของฉันมีเงินใช้ จะใช้จ่ายเยอะเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่เธอต้องการ” อวิ๋นไป๋พยายามเกลี้ยกล่อมอย่างหนัก
สาวน้อยแสนเย็นชาที่น่ารักคนนี้เหมาะมากจริงๆ ที่จะมาเป็นลูกสาวของเขา!
เขามีเงินมากมาย และความเร็วที่โปรยออกไปก็ยังช้ากว่าความเร็วในการหากลับมามาก เขาเริ่มไม่มีแรงจูงใจในการหาเงินแล้ว!
มู่เถาเยาหมดคำพูด ปฏิเสธเขาไปเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยว่า “ฉันหาเงินเองได้ค่ะ”
ขนาดพ่อแท้ๆ เธอยังไม่ต้องการด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ตัวเองทำเองได้ ทำไมต้องพึ่งพาให้คนอื่นทำแทนด้วย
“เธอก็ดูฉันสิ อายุปาไปสี่สิบปีแล้วแต่ยังไม่มีลูกเลย ช่างน่าสงสารจริงๆ…”
“คุณสามารถแต่งภรรยาและมีลูกได้”
“แต่ผู้หญิงที่ฉันชอบเธอดันไม่ต้องการแต่งงานน่ะสิ!” อวิ๋นไป๋โพล่งออกไปตามตรง
“เอ๋ ข่าวลือที่ว่าคุณชอบคุณเย่ว์เลี่ยง หัวหน้าเผ่าหมาป่าพระจันทร์เป็นความจริงเหรอคะ”
ก่อนที่มู่เถาเยาจะรู้ว่าตัวเองเป็นลูกสาวที่หายสาบสูญไปของตระกูลเย่ว์ เธอก็นึกสนใจเผ่าพระจันทร์มากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากที่รู้เรื่องนี้เข้า เธอก็ยิ่งทำการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเผ่านี้เป็นพิเศษ แน่นอนว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าเผ่า เธอเองก็ได้ฟังข่าวซุบซิบนินทาเล็กๆ น้อยๆ มาเหมือนกัน
“ใช่แล้ว! ตั้งแต่ที่ฉันได้พบหน้าเธอครั้งแรกเมื่อตอนอายุยี่สิบปี ฉันก็หลงใหลในตัวเธอนับแต่นั้นเป็นต้นมา ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันแวะเวียนไปที่เผ่าพระจันทร์ปีละครั้ง และฉันก็ไม่เคยเปลี่ยนใจ”
มู่เถาเยาพูดขึ้น “…แต่คุณดูไม่เหมือนคนที่กำลังเศร้าอยู่เลย”
“ทำไมต้องเศร้าล่ะ ฉันชอบเย่ว์เลี่ยง นั่นเป็นความรู้สึกที่ดีและยากจะบรรยายได้ ไม่ว่าเธอจะชอบฉันหรือไม่ก็ไม่ได้ส่งผลกับความรู้สึกนี้หรอก”
“…คุณไม่คิดอยากครอบครองเหรอ”
เธอชอบเงิน และอยากมีเงินมากๆ ดังนั้นเธอจึงทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน
ส่วนกับคน…ใช้ความคิดแบบเดียวกันไม่ได้เหรอ
“เสี่ยวเถาเยา ฉันอยากให้เย่ว์เลี่ยงแต่งงานแล้วมีความสุข แต่อีกฝ่ายนั้นไม่อยากทำแบบนั้น เมื่อเธอชอบใครสักคนขึ้นมาจริงๆ น่ะเธอจะคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิด และให้สิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้แทนที่สิ่งที่เธออยากได้ ดังนั้นสิ่งที่ฉันอยากให้ไม่ได้สำคัญหรอก สิ่งที่เธออยากได้ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
“โอ้”
สิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้กับสิ่งที่คุณอยากได้ สองสิ่งนี้แตกต่างราวกับคนละเรื่องกันเลย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนอยากได้เงินด่วนๆ แต่คุณกลับสอนเขาหลักการ ‘สอนคนตกปลา’ และไม่สนใจ ‘ความเร่งด่วน’ ของเขา หรือยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนหนึ่งกำลังสับสนกับชีวิต แต่คุณกลับลากเขาไปร้องคาราโอเกะผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกัน ไม่ได้ถามถึงเรื่องของเขาและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้…
สิ่งที่อยากได้และสิ่งที่อยากจะให้ มักไม่อยู่ในเส้นทางเดียวกันเสมอ
“เย่ว์เลี่ยงเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ฉันต้องการในชีวิตนี้ แต่เธอไม่อยากแต่งงาน ฉันจึงทำตามที่เธอต้องการ”
“ฉันได้ยินมาว่าตั้งแต่เธอบรรลุนิติภาวะ ก็มีเจ้าชายและราชาของประเทศต่างๆ ต้องการแต่งงานทางการเมืองกับเผ่าหมาป่าพระจันทร์…”
“ทุกวันนี้ก็ยังมีไอ้พวกชั่วที่ยังไม่ยอมตัดใจอยู่” อวิ๋นไป๋พูดแล้วก็รู้สึกโกรธมาก!
“ทำไมหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงถึงไม่อยากแต่งงานล่ะคะ ถ้าเป็นเหตุผลที่ว่าไม่อยากออกจากเผ่าหมาป่าพระจันทร์ เธอสามารถประกาศหาสามีแต่งเข้าก็ได้นี่ ฉันไม่คิดว่าน้าเล็กอวิ๋นจะรังเกียจการใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าพระจันทร์หรอกใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่ใช่ว่าเย่ว์เลี่ยงไม่ชอบฉันหรอกนะ แต่เธอไม่อยากแต่งงานจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเหตุผล แต่ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่กังวลมากๆ อยู่ ฉันกับคนตระกูลเย่ว์เรียกได้ว่าคุ้นเคยกันดี แต่พวกเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่ว์เลี่ยง”
เดิมทีคนตระกูลเย่ว์รังเกียจเขามาก คิดว่าเขาไม่คู่ควรกับเย่ว์เลี่ยง
ต่อมาเย่ว์เลี่ยงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังปฏิเสธคนหนุ่มที่โดดเด่นมากมายที่ดาหน้ามาสู่ขอครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้คนตระกูลเย่ว์ถึงเริ่มกังวลขึ้นมาจริงๆ
จนในที่สุดขอเพียงเธอเต็มใจแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหนพวกเขาก็ยินยอมทั้งสิ้น
อวิ๋นไป๋เป็นเพียงคนเดียวที่ยืนหยัดตลอดยี่สิบปี คนตระกูลเย่ว์เห็นมาโดยตลอดจึงไม่ตั้งแง่กับเขาอีกต่อไป ตรงกันข้ามพวกเขากลับรู้สึกละอายใจมากขึ้นทุกวัน
มู่เถาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เธอมีปัญหาด้านสุขภาพอะไรเปล่าคะ”
“ไม่เลย ไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นเย่ว์จือกวงหลานชายของเธอที่พอจะประมือกับเธอได้ เรียกได้ว่าเธอคือผู้อยู่ยงคงกระพันแข็งแกร่งที่สุดในเผ่า”
“ถ้าอย่างนั้นปัญหาทางด้านจิตใจล่ะคะ”
“พ่อแม่ของเธอเคยจ้างนักจิตวิทยามาบำบัดให้เธอแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่พบปัญหาอะไรราวกับว่าเธอแค่ไม่อยากแต่งงาน แต่ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังจมอยู่กับความทุกข์บางอย่าง ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!”
“หรือจะเป็นการบอบช้ำทางอารมณ์คะ”
“จะใช่เหรอ ตั้งแต่เล็กจนโตเธออยู่แต่ในเผ่าพระจันทร์ตลอด แม้จะเคยออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศบ้าง แต่ฉันตรวจสอบดูแล้ว เธอไม่เคยคบผู้ชายคนไหนเลย หลังจบจากโรงเรียน เธอก็เข้ามารับช่วงต่อเป็นหัวหน้าเผ่าในเวลาไม่กี่ปี”
“อ้อ”
ช่างเถอะ เธอเป็นหมอไม่ใช่พี่สาวผู้รู้ใจ ในเมื่อไม่ใช่ปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจ เธอก็ไม่สนแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดว่าการไม่แต่งงานผิดอะไร แค่เห็นอกเห็นใจน้าเล็กตระกูลอวิ๋นเท่านั้น
ชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบคนที่ไม่คิดจะแต่งงานเสียอย่างนั้น!
“น้าเล็กอวิ๋นคะ ชื่อเสียงของเย่ว์หลั่งพี่ชายแท้ๆ ของเย่ว์เลี่ยงก็นับว่าโด่งดังและมีคนรู้จักพอสมควร ทำไมเขาถึงไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าล่ะ”
ไม่ใช่ว่าเธอมีความเห็นอะไร ก็แค่สงสัยเท่านั้น!
ในบรรดาราชวงศ์ต่างๆ บนแผ่นดินจงโจว สายเลือดราชนิกุลตระกูลใดบ้างไม่ห้ำหั่นกันเองเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนั้น?
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ชายของเธอแก่กว่าเธอสิบปี และเขาก็หวงแหนเธอมากและเลี้ยงดูเธอเหมือนกับเป็นลูกสาวตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เผ่าพระจันทร์ให้กำเนิดเด็กหญิงน้อยมาก ดังนั้นในทุกรุ่นหากมีทารกหญิงเกิดมา ชื่อของทุกคนจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของตระกูลตัวโตๆ หนาๆ”
“อืม” เรื่องนี้หาเจอได้ง่ายเหมือนกัน
นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากกลับไปที่เผ่าพระจันทร์
ในชีวิตนี้เธออยากเป็นแค่คนธรรมดา ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องเผ่าพระจันทร์ต่อ ไม่นานรถก็แล่นมาถึงเขตเรือนอุ่นรัก
มู่เถาเยาลงจากรถพร้อมกับกล่องอาหาร โดยมีอวิ๋นไป๋ช่วยเธอยกหนังสือและหิ้วกล่องยาเข้าไปในบ้าน
“เสี่ยวเถาเยา คิดให้ดีนะ เป็นลูกสาวฉันน่ะมีประโยชน์มากเลยนะ!”
มู่เถาเยา “…”
“ฉันจะกลับไปที่เจียงตูในอีกสองวันข้างหน้า ถ้าเธอคิดได้แล้วอย่าลืมบอกฉันล่ะ ฉันจะได้วางแผนจัดงานเลี้ยงป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฉันรับลูกสาวคนนี้แล้ว”
มู่เถาเยากลอกตาใส่เขา
“น้าเล็กอวิ๋น ขอบคุณค่ะ”
อวิ๋นไป๋วางหนังสือและกล่องยาลงบนโต๊ะ ยกมือขึ้นลูบหัวเธอ
“ฉันกลับก่อนล่ะ เธอเองก็รีบเข้านอนพักผ่อนนะ”
“ค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ”
“แล้วพบกันใหม่”
มู่เถาเยาส่งอวิ๋นไป๋ถึงหน้าประตู จนกระทั่งเห็นท้ายรถของเขาลับสายตาไป ถึงจะปิดประตูล็อกกุญแจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งรูปดอกฉยงฮวาไปให้หยวนเหยี่ยอาจารย์ใหญ่ของเธอดู
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงวิดีโอคอลจากฝั่งนั้นก็ดังขึ้น
“อาจารย์ใหญ่”
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมเอ็งถึงปลูกดอกไม้พลาสติกในกระถางล่ะ นี่เป็นรูปแบบใหม่เหรอ”
“…อาจารย์ใหญ่ ตี้อู๋เปียนบอกว่าสิ่งนี้คือดอกฉยงฮวาค่ะ เป็นพืชและยังมีชีวิตอีกด้วย หนูไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย”
“พืช?”
“ใช่ค่ะ หนูลองศึกษาดูคร่าวๆ แล้ว ไร้พิษไร้กลิ่น แถมยังชอบคริสตัลเป็นพิเศษ ตี้อู๋เปียนบอกว่าเขาเลี้ยงดอกฉยงฮวามายี่สิบปีแล้วแต่มันแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”
“นั่นค่อนข้างน่าสนใจ”
ไม่ว่าจะเป็นอะไร ระยะเวลาที่ยาวนานถึงยี่สิบปีก็เพียงพอให้เติบโตแล้ว! เว้นแต่ว่าพืชที่ปลูกอยู่จะเป็นพืชโบราณที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานหลายพันหลายหมื่นปี!
“อาจารย์ใหญ่คะ วันนี้หนูเห็นวัตถุดิบยาหายากที่น้าเล็กของตี้อู๋เปียนส่งมาให้แล้ว ก็เลยคิดวิธีปรับพลังชีวิตในร่างกายของเขาให้สามารถรับและเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้โดยอาศัยยาเป็นตัวกลาง”
“เสี่ยวเยาเยา เอ็งหมายถึงต่อให้ห้าปีจากนี้เรายังหาหญ้าพิษชีวิตและดอกไม้สองชีวิตไม่เจอ ร่างกายของอู๋เปียนก็จะไม่ระเบิดเป็นจุณ อีกทั้งยังทำให้อวัยวะภายในของเขาช่วยขับเคลื่อนพลังและปรับสมดุลช่วยยื้อเวลาออกไปได้อีกหน่อยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หนูคิดเอาไว้แล้ว หากใช้ดอกเถียนซินเข้ามาช่วยปรับสมดุลของฤทธิ์ยาสมุนไพรหายากเหล่านั้น ร่างกายของตี้อู๋เปียนก็จะรับยาได้มากขึ้น และผลของยาก็จะออกฤทธิ์มากขึ้นด้วย”
“เสี่ยวเยาเยา เอ็งตัดใจใช้ดอกเถียนซินทำยาได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ แค่ยืมใช้พลังตอนที่เปลี่ยนรูปเป็นหินแร่ผลึก ไม่ได้ทำให้บุบสลายไปเสียหน่อย” พลังงานจะถูกรวบรวมกลับมาใหม่อีกครั้งในปีหน้า
ดอกเถียนซินคือดอกไม้ที่เธอค้นพบเมื่อตอนสิบขวบ เป็นตอนที่ได้เข้าป่าเซียนโหยวเป็นครั้งแรก
ในตอนนั้น เธอคิดว่าดอกไม้นี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ดอกไม้สีขาวขนาดใหญ่เหมือนน้ำแข็งงอกขึ้นบนกิ่งตรงๆ ไม่ว่าจะมองยังไงก็แปลกมาก!
นอกจากนี้ ยังรายล้อมไปด้วยวัตถุดิบยาหายากมากมาย จึงคิดว่านี่ต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน!
ใครจะรู้ว่ากลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากการแปลงร่างได้!
สำหรับผู้ป่วยธรรมดาทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการทำให้สรรพคุณของยาอ่อนลง มีแค่ร่างกายที่แทบจะแตกสลายของตี้อู๋เปียนเท่านั้นที่ไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ยาที่แรงเกินไปได้ ดังนั้นเธอจึงนึกถึงดอกเถียนซิน ไม่อย่างนั้นเธอคงลืมไปแล้วว่ามีสิ่งนี้อยู่!
เธอออกมาข้างนอกครั้งนี้ก็ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย
อ้อ ชื่อดอกเถียนซินก็เป็นเธอเองที่ตั้งให้
อืม เป็นชื่อที่เธอตั้งขึ้นส่งๆ หลังจากได้ลิ้มรสความหวานผ่านลิ้นเล็กๆ ในตอนนั้น!