อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 538 ทะเลทรายสี่สีแสนสวย / ตอนที่ 539 ช่างภาพเป็นงาน
ตอนที่ 538 ทะเลทรายสี่สีแสนสวย / ตอนที่ 539 ช่างภาพเป็นงาน
ตอนที่ 538 ทะเลทรายสี่สีแสนสวย
คนกับสัตว์วิ่งอยู่ในเขาเทพจันทราที่แสนกว้างใหญ่อย่างมีความสุขไปแล้วหกวัน
พอถึงวันที่เจ็ดก็กลับ
เจ้าขาวปุยก็ตามกลับด้วย
นับตั้งแต่ตามมู่เถาเยาออกมาครั้งแรก มันก็ไม่อยากอยู่ตัวเดียวโดดเดี่ยว…ในเขาเทพจันทราอีก
มู่เถาเยาจนปัญญา จำต้องพามันกลับบ้านไปด้วย
ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าขาวปุย พาออกไปข้างนอกลำบาก
ถ้ามันอยากตามเธอออกไปเที่ยวด้วย งั้นก็ทำเสื้อผ้าให้มันสองสามชุด ปกปิดร่างกายที่จะนกก็ไม่นก จะหนูก็ไม่หนู กระต่ายก็ไม่เชิง
จากนั้นก็จับใส่กระเป๋าเป้ให้โผล่ออกมาแค่ศีรษะ
อย่างไรเสียมันก็ไม่กลัวร้อน ไม่ต้องกังวลว่าจะอบอ้าว
ตอนเย็นก่อนนอน มู่เถาเยาให้ตี้อู๋เปียนอุ้มเจ้าขาวปุยไปที่ห้องของเขา เพื่อถามว่าอยากอยู่บ้านหรือตามไปด้วย
ตี้อู๋เปียนย่อมไม่อยากเอา ‘กขค’ ไปด้วย เขาจึงทั้งเกลี้ยกล่อมทั้งหลอกล่อสารพัดจนเจ้าขาวปุยที่ไร้เดียงสามึนงงไปหมด สุดท้ายกล่อมให้มันอยู่บ้านเล่นกับเยี่ยนหังและอู๋ซวงได้สำเร็จ
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนไปป่าพิษหมาป่าก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน พาเจ้าเทาน้อยสองตัวกลับตำหนักพระจันทร์ ให้พวกมันกับพวกเด็กๆ เล่นเป็นเพื่อนเจ้าขาวปุย
ทุกอย่างเตรียมพร้อม จากนั้นทั้งสองคนก็บินไปเมืองทะเลทรายที่แสนพิเศษของประเทศเหยียนหวงท่ามกลางสายตาอาวรณ์และคาดหวังของญาติๆ และเพื่อนๆ
เผ่าหมาป่าพระจันทร์ก็มีทะเลทรายที่สวยมาก ทำไมพวกเขาถึงไม่เที่ยวในเผ่าหมาป่าพระจันทร์ล่ะ
นั่นก็เพราะตี้อู๋เปียนรู้ดีว่า ตราบใดที่ยังอยู่ในเผ่าหมาป่าพระจันทร์ สามพ่อลูกนั่น…จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนตามพวกเขาไปด้วยแน่!
เขาจึงยกวิธีพูดของมู่เถาเยามาบอกว่าประเทศเหยียนหวงใหญ่กว่า เหมาะสมให้พวกเขาปล่อยใจเที่ยวได้สนุกมากกว่า
ขอแค่เขามีความสุขก็พอ
บอกให้หร่วนเหวินกลับไป มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนให้คนดูแลของโรงแรมจัดเตรียมรถออฟโรดที่สมรรถนะดี เต็นท์ น้ำดื่ม อาหาร และของใช้จำเป็นอื่นๆ ให้พวกเขา
“ซาลาเปาน้อย พวกเราไม่ต้องรีบร้อนออกไปหรอก เที่ยวในเมืองที่โอบล้อมด้วยทะเลทรายนี่ก่อนดีกว่า” ตี้อู๋เปียนมีสีหน้าตื่นเต้น
ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ตามลำพังกับซาลาเปาน้อยแล้ว!
นับตั้งแต่รู้จักกันเมื่อหลายปีก่อนจนถึงตอนนี้ เขาแทบไม่เคยอยู่ตามลำพังกับซาลาเปาน้อยเลยยกเว้นตอนไปเขตป่าชั้นในไม่กี่ครั้ง
พูดมากกว่านี้เดี๋ยวมีร้องไห้!
แต่ตอนนี้โอเคแล้ว เขามั่นใจว่าจะพิชิตใจซาลาเปาน้อยได้ จะให้ดีพอกลับไปก็แต่งงานได้เลย!
ตี้อู๋เปียนจินตนาการไปไกล ใบหน้าที่แปลงโฉมแล้วเริ่มแดงระเรื่อ
“พี่สาม…”
“ซาลาเปาน้อย เลิกเรียนฉันว่าพี่ เรียกชื่อเหมือนเมื่อก่อนเถอะ”
พอเธอเรียกพี่ ความรู้สึกตื่นเต้นในใจมันกลายเป็นความรู้สึกพิลึกทันที
มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ เรียกอะไรมันต่างกันเหรอ
ตอนนี้เธอเรียก ‘พี่สาม’ จนชินแล้ว เหมือนไม่ได้เรียกชื่อเขามานานมากแล้ว
ตี้อู๋เปียนถามด้วยความกังวล “ซาลาเปาน้อย ฉันโตกว่าเธอห้าปี เธอคงไม่รังเกียจที่ฉันแก่ใช่ไหม”
“…?”
สายตาของมู่เถาเยางุนงง ไม่เข้าใจความหมายของเขา
“ทำไมฉันต้องรังเกียจด้วยล่ะ ยังไงฉันก็ต้องมีตอนอายุยี่สิบเจ็ด อายุยี่สิบเจ็ดนี่แก่แล้วเหรอ พวกอาจารย์เก้าสิบกว่าแล้วยังคิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มอยู่เลย”
ตี้อู๋เปียน “…เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน พวกเราออกไปก่อน เดินเที่ยวรอบๆ หาอะไรกิน ถ่ายรูปส่งเข้ากลุ่มให้ทุกคนดู”
ถ่ายรูปส่งเข้ากลุ่มครอบครัวเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไปถึงไหนแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะอยากถ่าย
“ได้ค่ะ พวกเราออกไปเดินเที่ยวกัน” มู่เถาเยาก็เกิดความสนใจพวกของกินในเมืองทะเลทรายแห่งนี้
พวกเขาหยิบของติดตัวแล้วลงชั้นล่างออกจากโรงแรม
ตึกอาคารในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นโทนสีเหลือง รองลงมาก็สีขาว สีแดง สีน้ำเงินเรียบง่าย มีสีสัน สไตล์แบบชนเผ่า
ทะเลทรายที่อยู่รอบๆ ไม่ได้ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับพิเศษที่สุด
ความพิเศษของมันอยู่ที่สีของทะเลทรายที่อยู่สี่ด้านไม่เหมือนกัน
ทะเลทรายฝั่งตะวันออกเป็นสีแดง ทางใต้เป็นสีเหลือง ฝั่งตะวันตกเป็นสีขาว และทางเหนือเป็นสีดำ
สีสันหลากหลาย งดงามตระการตา
เมืองแห่งนี้ก็โด่งดังเพราะทะเลทรายสี่สี กลายเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของเหล่าบล็อกเกอร์ จึงพลอยทำให้เศรษฐกิจของเมืองดีไปด้วย
ดังนั้นอย่าเห็นว่าเป็นแค่เมืองเล็ก แต่ที่นี่กลับมีโรงแรมชื่อดังหลายแห่ง
โรงแรมที่มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนพักเป็นโรงแรมหรูเกินห้าดาวของอวิ๋นไป๋
ทั้งสองคนเดินเล่นรอบโรงแรมก่อนหนึ่งรอบแล้วถึงเลือกหนึ่งเส้นทางค่อยๆ เดินเที่ยวไป
แต่น่าเสียดายที่ที่นี่คือใจกลางเมือง ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่อื่นมากนักยกเว้นสไตล์อาคารที่โดดเด่นแบบเมืองทะเลทราย
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนไม่ค่อยสนใจสิ่งเหล่านี้ จึงเรียกรถไปย่านของกินที่คึกคักที่สุด
พอลงจากรถ กลิ่นอาหารที่แตกต่างจากหมู่บ้านเถาหยวนซาน เมืองเย่ว์ตู เมืองหลวง และเผ่าหมาป่าพระจันทร์ก็โชยมาเตะจมูกพวกเขา
มู่เถาเยาดวงตาเป็นประกาย มุมปากยกขึ้น ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่น้ำลายเตรียมจะไหล
ตี้อู๋เปียนเอาโทรศัพท์มือถือถ่ายตอนเธอทำท่าทางตะกละส่งเข้ากลุ่มครอบครัว
ส่งเข้ากลุ่มครอบครัวเพื่อให้ทุกคนสบายใจ ส่งเข้ากลุ่มเพื่อนเพื่ออวดล้วนๆ อยากให้พวกผู้ชายที่จับจ้องมู่เถาเยาได้เห็น!
หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจความหมาย อย่าแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจหลอกตัวเอง!
หึ!
คิดจะแย่งซาลาเปาน้อยจากเขา ฝันไปเถอะ!
ตอนที่ 539 ช่างภาพเป็นงาน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเดินเที่ยวอยู่ในเมืองสองวัน จากนั้นวันที่สามก็ขับรถเที่ยวรอบนอกเมือง เห็นที่ไหนสวยก็ลงจากรถไปเที่ยว
คืนนี้ก็ยังคงอยู่ในเมือง
เช้าวันที่สี่ เติมน้ำมันเต็มถัง พกน้ำดื่มกับอาหารไปให้พอ ขับรถเลาะไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
หลังจากผ่านซากปรักหักพังที่เหมือนเมืองโบราณ รถก็เข้าสู่ถนนหลวงที่อยู่ตรงกลางระหว่างทะเลทรายสีดำและทะเลทรายสีขาว
ตี้อู๋เปียนขับรถด้วยความเร็วที่ช้ามาก เพื่อให้มู่เถาเยาได้ถ่ายรูปเยอะๆ
“ธรรมชาติน่าอัศจรรย์จริงๆ !”
มู่เถาเยาดื่มด่ำกับทะเลทรายสีขาวสีดำพลางเอ่ยชม
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “นั่นสิ ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ในโซนเดียวกัน แต่วัตถุที่เจือปนอยู่ในทะเลทรายทั้งสี่ด้านกลับไม่เหมือนกัน”
นี่ก็คือสาเหตุที่ทะเลทรายมีสีสัน
“ประเทศอื่นมีทะเลทรายสีน้ำเงินกับทะเลทรายสีม่วงด้วย แต่ไม่ชวนตะลึงเท่าทะเลทรายของพวกเราที่นี่”
“ใช่ และสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าคือที่นี่มีทะเลทรายรอบด้าน แต่กลับแทบไม่มีพายุทะเลทรายเลย”
“อืม โลกนี้กว้างใหญ่ อะไรก็เกิดขึ้นได้”
ด้านนอกหน้าต่างรถเต็มไปด้วยเนินทรายสูงต่ำมากมาย
เดิมทีควรสวยงามแบบอ่อนโยน แต่กลับดูแข็งแกร่งน่าเกรงขามเพราะความที่มีสีดำและเป็นเนินแหลม
ทะเลทรายสีดำแห่งนี้เคยเป็นปล่องภูเขาไฟเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน พื้นผิวของบริเวณนี้จึงถูกปกคลุมด้วยชั้นกรวดสีดำ
พื้นผิวยังมีเส้นสีทองทะลุออกมาจากสีดำ แต่บนเนินทรายกลับเป็นสีดำเหมือนถ่าน
มู่เถาเยากดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปพลางพูด “ถ้าเทียบกับทะเลทรายสีดำ อันที่จริงฉันชอบทะเลทรายสีแดงกับทะเลทรายสีเหลืองมากกว่า เพราะในนั้นอาจมีต้นหูหยาง มีอูฐ หรือแม้กระทั่ง…มีโอเอซิส”
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงถึงความมีชีวิต
ชาติที่แล้วอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย เธอเห็นสงครามที่คนตายเป็นเบือ บ้างก็พิการแขนขาขาด เธอจึงรักและทะนุถนอมชีวิตมาก รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่มีร่องรอยของการมีชีวิตนั้นสวยงามมาก
“ซาลาเปาน้อย เธอชอบทิวทัศน์แบบไหนมากที่สุด”
“ป่า ทะเล ท้องฟ้าที่มีดวงดาว”
ป่าแสดงถึงพลังชีวิตที่โชติช่วง
ทะเลคือพลังของธรรมชาติที่ไม่อาจเอาชนะได้
หากพิโรธขึ้นมา ยากที่จะจินตนาการได้ว่าความคลุ้มคลั่งของมันน่ากลัวขนาดไหน
มนุษย์เล็กเกินไป หลายแสนคนก็ยังไม่พอให้มันกลืนกิน
ท้องฟ้าที่มีดวงดาวแสดงถึงความงดงาม
เธอชอบคนและสรรพสิ่งที่งดงามทั้งหมด
ตี้อู๋เปียนพูดด้วยความดีใจ “พอดีเลย พวกเราผ่านทะเลทรายไปก็ไปดูดวงดาวบนท้องฟ้าได้”
“อืม ผ่านทะเลทรายตรงนี้ไปก็เข้าสู่เขตไร้ผู้คน จากนั้นก็จะเป็นที่ราบทุ่งหญ้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเหยียนหวง” นี่ก็สาเหตุที่พวกเขาเลือกผ่านทะเลทรายขาวดำ
“เดี๋ยวเย็นหน่อยพวกเราไปเนินทรายที่สูงที่สุด ดูหมอกควันลอยคลุ้ง อาทิตย์คล้อยอัสดง คืนนี้ตั้งเต็นท์นอนที่จุดพักรถ พรุ่งนี้เช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
“อืม”
“ซาลาเปาน้อย อากาศแห้ง ดื่มน้ำเยอะๆ นะ พวกเรามีน้ำดื่มมากพอ ไม่ต้องประหยัด”
หลังจากพวกเขากินน้ำตาสีแดงของเจ้าขาวปุยเข้าไป ต่อให้ไม่กินอะไรเลยครึ่งเดือนก็ไม่รู้สึกหิว แต่จะให้ไม่กินน้ำเลยนานขนาดนั้นก็ไม่ได้ ดังนั้นของที่อยู่บนรถกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือน้ำดื่ม
“ฉันรู้ค่ะ พี่สาม ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกเราหาที่จอดรถก่อนแล้วลงไปเดินหน่อย ยังไงก็ไม่ได้รีบ”
“ได้”
ตี้อู๋เปียนขับไปอีกระยะหนึ่ง เล็งเนินทรายที่ค่อนข้างสูงไว้แล้วจอดรถข้างทาง
ทั้งสองคนดื่มน้ำนิดหน่อยแล้วลงจากรถ
มู่เถาเยามองรถกับนักท่องเที่ยวที่มีบ้างประปราย “คนน้อยมาก”
“ฉันว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปอยู่ทางทะเลทรายเหลืองกับแดงหมด ยังไงทางนั้นก็สวยกว่าเยอะ” ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาต้องผ่านเขตไร้คนกับที่ราบทุ่งหญ้า ก็คงไปทะเลทรายเหลืองกับแดงเหมือนกัน
“อืม คนที่มาเส้นทางนี้ก็คงมีจุดประสงค์เหมือนพวกเรา”
ตี้อู๋เปียนหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาจากรถ “ซาลาเปาน้อย เธอไปยืนบนหลังคารถสิ เดี๋ยวฉันถ่ายรูปให้”
เขาเรียนเทคนิคถ่ายภาพมาเยอะมากจากช่างภาพที่ดังที่สุดในเน็ต เพื่อการมาเที่ยวครั้งนี้
“ได้”
มู่เถาเยาปีนขึ้นหลังคารถอย่างคล่องแคล่ว
ชุดเอี๊ยมยีนส์ของเธอสีเดียวกันกับท้องฟ้า
เดิมทีใส่สีแดงถ่ายภาพกับทะเลทรายจะสะดุดตาที่สุด แต่มู่เถาเยาไม่ชอบใส่ชุดสีแดง เพราะสีแดงเป็นสีของเลือด ชาติที่แล้วเธอเห็นมาเยอะ
ตี้อู๋เปียนหยิบผ้าโพกหัวสีขาวออกมาจากกระเป๋าสัมภาระแล้วยื่นไปที่หลังคารถให้มู่เถาเยา “ซาลาเปาน้อย ถอดหมวกออกแล้วใส่ผ้าโพกอันนี้สิ”
มู่เถาเยา “…” ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ
หรือเขาชอบเป็นตากล้อง เห็นเธอเหมาะเป็นนางแบบ
“ซาลาเปาน้อย เร็วเข้า ตอนนี้นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ เรารีบๆ ถ่ายรูป”
มู่เถาเยาจำต้องถอดหมวกสีขาวบนศีรษะออกให้เขาแล้วรับผ้าโพกหัวสีขาวมา
“ซาลาเปาน้อย ปล่อยผมก่อนค่อยโพกผ้านะ”
“…ไม่ต้องขนาดนั้น…”
“ต้องสิ! แบบนั้นจะสวยกว่า!”
“…ก็ได้” อันที่จริงเธอไม่แคร์สักนิดว่าจะสวยหรือเปล่า
หน้าก็แปลงโฉมมา ไม่เหลือเค้าเดิม ยังจะสนเรื่องสวยอีกเหรอ
แต่ตี้อู๋เปียนคิดไม่เหมือนกัน
ก็เพราะใบหน้าไม่เหลือเค้าโครงเดิม เขาถึงได้อยากใช้อุปกรณ์ต่างๆ ถ่ายภาพออกมาให้สวยหลายๆ แบบ
นางแบบมู่เถาเยาที่อยู่บนหลังคารถก็ไม่ได้ตั้งใจโพสต์ท่าอะไรเป็นพิเศษ แค่ยืนสบายๆ นั่งบ้าง ช่างภาพตี้อู๋เปียนสามารถจับภาพสวยๆ ได้มากมาย
“ซาลาเปาน้อยลงมา ถ่ายภาพกระโดดกับท่าอื่นๆ อีกหน่อย”
มู่เถาเยายอมทำตามทุกอย่าง เหมือนหุ่นเชิดที่ไร้อารมณ์ เพื่อให้ตี้อู๋เปียนที่ ‘น่าสงสาร’ ได้เป็นช่างภาพสมความปรารถนา
จัดท่าให้ตุ๊กตาหุ่นเชิดมู่เถาเยาอย่างสนุกสนานเกือบหนึ่งชั่วโมง ช่างภาพตี้อู๋เปียนถึงยอมวางกล้องถ่ายรูปลงทั้งที่ยังไม่เบื่อ
มู่เถาเยาที่ในที่สุดก็ถูกปล่อยมีเพียงความรู้สึกเดียว เหนื่อยเป็นบ้า!