อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 543 สิงโตล่าวิลเดอบีสต์ / ตอนที่ 544 ขาดชุดโยคะ
ตอนที่ 543 สิงโตล่าวิลเดอบีสต์ / ตอนที่ 544 ขาดชุดโยคะ
ตอนที่ 543 สิงโตล่าวิลเดอบีสต์
แสดงหลักฐานประจำตัวที่ตรงทางเข้า จากนั้นก็ถูกเตือนว่าห้ามแหย่สัตว์ป่า เพื่อจะได้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสร็จแล้วรถทั้งสองคันก็มุ่งหน้าไปตลอดทางท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
ทัศนียภาพที่เข้ามาในสายตาสร้างความตะลึงให้กับทุกคนที่อยู่ภายในรถ จางผิงผิงกับลู่ทงต่างไม่อยากนอนแล้ว
บนท้องฟ้าสีครามมีเหยี่ยวบินวนราวกับกำลังเล่นกับก้อนเมฆ เห็นยอดเขาหิมะอยู่ไกลๆ รถแล่นผ่านทะเลทราย ต้นหูหยาง ทะเลสาบ…และยังมีสัตว์ป่าจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เช่น หมาป่า หมาจิ้งจอก เสือดาว กระทิง แอนทิโลป ไพกา รวมถึง…เศษซากโครงกระดูกของสัตว์
โครงกระดูกสีขาวสะท้อนแสงภายใต้ดวงอาทิตย์ แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกกลัว กลับตื่นตาตื่นใจ
โลกของสัตว์ก็เหมือนกัน มีกินมีขับถ่าย
ใครเป็นอาหารของใครธรรมชาติล้วนกำหนด ตัวของสัตว์เองก็รู้ พวกมันจึงไม่กลัวว่าจะต้องเป็นอาหารของใคร ใช้พลังเฮือกสุดท้ายของตัวเองไปเลี้ยงดูโลกที่ให้ชีวิตแก่พวกมัน
ตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยากะเวลา พวกเขาจอดรถตรงจุดที่ไม่มีสัตว์ป่ามาโจมตี ลงไปขยับร่างกายและถ่ายภาพ
จางผิงผิงพูดเตือน “เสี่ยวมู่ อู๋เปียน พวกเธออย่าไปไกลรถนะ เกิดมีหมาป่า สิงโต เสือดาวอะไรพวกนั้นมา พวกเราจะได้ขับรถหนีได้เลย”
“ป้าจางคะ พวกเราทราบค่ะ ตอนนี้รีบถ่ายรูปกันดีกว่าค่ะ”
“จ้ะ”
ทั้งสี่คนใช้เวลาถ่ายรูปกับพักผ่อนไปประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วกลับขึ้นรถ
คราวนี้จางผิงผิงกับสามีขอขับรถคนละคัน เพื่อให้มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนได้พักผ่อน
ทั้งสองคนก็ไม่คัดค้าน คิดไว้ว่าคืนนี้พวกเขาจะขับโต้รุ่งให้เอง
ก็ไม่ถึงกับว่ากลางคืนจะขับรถแปดชั่วโมง แต่คิดไว้ว่ารอตอนเช้ามืดตีสองตีสามสองสามีภรรยาหลับลึก พวกเขาก็จะจอดรถพักสักสองสามชั่วโมง
ร่างกายไม่ได้รู้สึกเหนื่อย แต่ต้องพักสายตาสักหน่อย
อย่างไรเสียมีพลังวิเศษของตี้อู๋เปียน พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสัตว์ป่ารุมโจมตีจนทำจางผิงผิงกับสามีตื่น
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนอยู่บนรถคนละคัน ชมทัศนียภาพพลางพูดคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกับคนขับ จากนั้นก็นอนไปสักพัก
พอตื่นมาก็บอกให้จอดรถ
จางผิงผิงปลดเข็มขัดนิรภัยพลางหันไปพูดกับมู่เถาเยา “เสี่ยวมู่ ตอนนี้ไม่มีสัตว์ดุร้าย พวกเราลงไปขยับแข้งขยับขากันหน่อย”
“ค่ะ”
ตรงแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลมีฝูงวิลเดอบีสต์กำลังกินหญ้ากันอยู่ เธออยากลงไปดูหน่อย
วิลเดอบีสต์เป็นสัตว์ที่ดูเหมือนดุร้าย แต่นิสัยของพวกมันอ่อนโยนมาก ไม่มีทางทำร้ายคนก่อน
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ เพราะไม่สะดวกห่างจากรถไปไกล กลัวจะมีสัตว์อย่างหมาป่าหรือสิงโตที่ออกมาหาอาหารโผล่มาจากไหนไม่รู้
เพิ่งลงจากรถไปได้สิบกว่านาทีก็มีสิงโตตัวเมียวิ่งมาจากไกลๆ
มู่เถาเยาเรียกทุกคนให้กลับไปขึ้นรถออฟโรด
รถของพวกเขาเป็นรถกันกระสุนที่ทำขึ้นมาพิเศษ อย่าว่าแต่กระสุนเลย แม้แต่ระเบิดก็ไม่กลัว แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์
ลู่ทงยิ้มพูด “หนุ่มสาวอย่างพวกเธอใจกล้ากันจริงๆ เลยนะ” คนทั่วไปพอเห็นสิงโตก็จะรีบขับรถหนีแล้ว
นี่ไม่ใช่สิงโตที่อยู่ในสวนสัตว์ แต่เป็นสัตว์ป่าอันตรายที่กินคนได้
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “พวกเราเคยฝึกต่อสู้มาค่ะ อย่าว่าแต่สิงโตตัวเดียวเลย ต่อให้เจอฝูงหมาป่าก็ไม่กลัวค่ะ” ถ้าไม่ติดว่ามีคู่สามีภรรยาคู่นี้อยู่ พวกเขายังจะเข้าไปชมสงครามระหว่างสัตว์แบบใกล้ๆ ด้วยซ้ำ
จางผิงผิงกับสามีทำสีหน้าเข้าใจ
มิน่าสองคนนี้ถึงกล้าไปเส้นทางที่อันตรายแบบนี้
เส้นทางแบบนี้ส่วนใหญ่มาเป็นขบวนรถ อย่างน้อยต้องสิบกว่าคันถึงจะไปกัน
“คุณลุงคุณป้าดูอยู่ในรถนะคะ พวกเราจะขึ้นไปบนหลังคา” มู่เถาเยาอยากหลีกให้พวกเขาดูทางหน้าต่างรถ
จางผิงผิงดึงแขนเสื้อของมู่เถาเยา พูดด้วยความร้อนใจ “เสี่ยวมู่ พวกเธออย่าออกไปเลย เดี๋ยวได้เป็นเหยื่อของพวกมัน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะคุณป้า พวกมันแตะต้องพวกเราไม่ได้หรอกค่ะ”
ลู่ทงก็ไม่เห็นด้วย “ถึงแม้สิงโตจะมีคลังอาหารอย่างวิลเดอบีสต์ โอกาสที่จะโจมตีคนมีน้อย แต่ระวังไว้ก่อนดีกว่า เสี่ยวมู่ อู๋เปียน พวกเธออย่าออกไปเลย”
สองสามีภรรยาปรารถนาดี มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วง จำต้องอยู่ในรถดูสิงโตล่าวิลเดอบีสต์
วิลเดอบีสต์ก็ไม่เชื่องช้า พอสิงโตมาพวกมันก็รีบหนีทุกทิศทาง
สิงโตตัวเมียวิ่งไล่อยู่สักพัก ตามไม่ทัน พลาดหลายครั้ง มู่เถาเยารู้สึกได้ว่ามันเริ่มหงุดหงิด
แต่สิงโตตัวเมียก็ฉลาดมาก มันหยุดหมอบพักก่อนเพื่อเก็บเรี่ยวแรง รอเล็ง ‘แก่เด็กพิการป่วย’ ให้แม่นค่อยลงมือ
ครั้งนี้โจมตีทีเดียวอยู่หมัด จัดการงับคอวิลเดอบีสต์ชราที่วิ่งค่อนข้างช้าได้สำเร็จ
อีกด้านหนึ่งมีสิงโตตัวผู้สีขาววิ่งมา
มันงับวิลเดอบีสต์ตัวเล็กทีเดียวตาย แต่ไม่รีบดื่มด่ำอาหารอันโอชะ ยังคงไล่ล่าเป้าหมายต่อไป
สิงโตสองตัวกัดวิลเดอบีสต์ตายไปสี่ตัวถึงยอมหยุด จำต้องหยุด เพราะพวกมันไล่ตามฝูงวิลเดอบีสต์ไม่ทันแล้ว
พวกมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนมองพวกมันเดินวนรอบศพวิลเดอบีสต์ ไม่ได้ลงมือกิน แต่ส่งเสียงคำราม
ไม่นานลูกสิงโตสีน้ำตาลกับสีขาวอย่างละตัวก็วิ่งเริงร่ามาทางนี้
จางผิงผิงจับตรงหัวใจที่ยังคงเต้นแรง “ที่แท้ครอบครัวนี้ก็มีสี่ตัว”
มู่เถาเยา “ลูกสิงโตสองตัวนี้น่าจะเพิ่งเริ่มหัดกินเนื้อค่ะ พวกเราไปกันดีกว่า ไม่ดูพวกมันกิน”
ทุกคนพยักหน้า
ภาพต่อจากนี้ไม่ค่อยน่ามองเท่าไร
ครั้งนี้ให้ตี้อู๋เปียนกับลู่ทงไปอยู่รถบ้าน รถออฟโรดให้ผู้หญิงทั้งสอง
มุ่งหน้าต่อ
ตอนที่ 544 ขาดชุดโยคะ
สองชั่วโมงต่อมา เวลาประมาณหกโมง มู่เถาเยาที่ขับรถออฟโรดเห็นด้านหน้ามีป่าหูหยาง จึงขับรถไปจอด
ตอนนี้เป็นเดือนกันยายน หลายพื้นที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามหลากสีแล้ว
ริมทะลสาบสีครามมีต้นหูหยางสีเหลืองแดง งดงามชวนสะกดใจ
เงาดวงอาทิตย์ตกสะท้อนบนผืนน้ำและต้นหูหยาง เงียบสงบและบริสุทธิ์
ภูเขาสีขาวที่อยู่ไกลๆ ทะเลสาบสีคราม ต้นหูหยางสีเหลืองแดง และยังมีท้องฟ้าสีชมพูฟ้าที่ถูกแสงอาทิตย์อัสดงฉาบไว้ ในน้ำมีเงาสะท้อนเมฆกับต้นหูหยาง ทั้งหมดนี้ก่อเกิดเป็นเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่เต็มไปด้วยสีสัน
จางผิงผิงกางแขนออก ราวกับต้องการโอบกอดความงดงามนี้ “ที่นี่สวยจริงๆ !”
ลู่ทงถือกล้อง พูดอย่างมีความสุข “ที่รัก รีบหามุมโพสต์ท่าสวยๆ เร็ว เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้”
“เอาสิ เสี่ยวมู่ พวกเธอก็เร็วหน่อย เดี๋ยวจะมีพวกสัตว์มารบกวนเสียก่อน”
มู่เถาเยาพยักหน้าตอบอืม
ตี้อู๋เปียนหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้มาจากในรถด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็เริ่มจัดท่านางแบบ
ตอนหลังสองสามีภรรยาก็ร่วมช่วยจัดท่าให้นางแบบมู่เถาเยาด้วย
เด็กสาวคนนี้เหมาะจะเป็นนางแบบถ่ายรูปที่สุด!
ต่อให้แข็งทื่อก็ยังสวย!
น่ารักเหลือเกิน!
“เสี่ยวมู่ ทำท่ากางปีกเร็ว” จางผิงผิงตะโกนไปทางมู่เถาเยาพร้อมทั้งทำท่าให้ดูด้วย
มู่เถาเยาไม่อยากทำท่าเฉิ่มๆ แบบนั้นเลยจริงๆ
ตี้อู๋เปียนก็เร่ง “ซาลาเปาน้อย เร็วเข้า เร็ว”
ทุกรูขุมขนทั่วร่างกายมู่เถาเยาต่างปฏิเสธ
“ไม่งั้นเธอค่อยๆ ขึ้นต้นไม้ไหม ฉันถ่ายให้” พวกเขาไม่กลัวว่าสองสามีภรรยาจะรู้ว่าพวกเขามีวรยุทธสูง
จางผิงผิงเอ่ยปากห้าม “ปีนไม่ได้ห้ามปีนต้นไม้ เกิดแข้งขาหักขึ้นมา…เสี่ยวมู่ เธอกระโดดเก่ง ถ่ายท่ากระโดดเยอะๆ ก็ได้นะ จริงสิ เคยเล่นโยคะไหม มีท่าโยคะสวยๆ หลายท่าเลยนะ มา ป้าจะทำให้ดู”
มู่เถาเยา “…เคยเล่นค่ะ”
“เคยเล่นเหรอ งั้นก็ดีเลย ไปทำตรงริมทะเลสาบสิ ป้ากับอู๋เปียนจะถ่ายให้”
มู่เถาเยาลอบถอนหายใจ เดินเข้าไปใกล้ทะเลสาบ หันข้างให้พวกเขา สองมือประสาน
ตี้อู๋เปียนถ่ายใบหน้าด้านข้างให้เธอ
“อ๊า เสี่ยวมู่สวยมาก!” จางผิงผิงกดชัตเตอร์รัวๆ ถ่ายแต่ละมุมไปหลายรูป
มู่เถาเยาทำท่ากางขาเอี้ยวตัวยกแขนกับสะพานโค้ง
“อ๊า เสี่ยวมู่ สวยมากเลยจ้ะ!”
ในที่สุดจางผิงผิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอู๋เปียนถึงชอบถ่ายรูปให้เสี่ยวมู่! นี่มันนางแบบที่มีพรสวรรค์ชัดๆ !
อันที่จริงเธอก็เคยทำท่าพวกนี้ แต่ให้คนละความรู้สึกกันเลย
เพราะทรวดทรงของร่างกายต่างกัน มาตรฐานแต่ละท่าไม่เหมือนกัน ความงดงามที่ได้ย่อมต่างกันมาก
“เสี่ยวมู่ๆ เปลี่ยนที่เอาท่าอื่น” จางผิงผิงตะโกนบอกมู่เถาเยาด้วยความตื่นเต้น
มู่เถาเยาเห็นในทะเลสาบมีหินก้อนใหญ่จึงกระโดดขึ้นไปยืนบนก้อนหินแล้วทำท่าอรรธะจันทราสนะกับท่าครึ่งสะพานโค้ง และท่าอื่นๆ
ท่าง่ายๆ แบบนี้ขอแค่ทำได้สุดก็จะออกมาสวยพิเศษ
เดิมทีท่าโยคะก็สวยงามอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำท่ายากก็ได้รูปสวยๆ
“อ๊า ขายาวสวยมาก ด้านหลังก็ดี!” จางผิงผิงจากที่เป็นคุณป้าสูงวัยตอนนี้กรี๊ดกร๊าดเหมือนสาววัยรุ่น
ตี้อู๋เปียนก็กดชัตเตอร์รัวๆ
มู่เถาเยาเปลี่ยนท่า ตัวเองก็ชักสนุก ตามด้วยท่าสุนัขก้ม ท่าโลมา…เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ
ท่าพวกนี้เป็นท่าง่ายๆ ไม่มีท่ายาก แต่พอมู่เถาเยาทำออกมากลับสวยเป็นพิเศษ
จางผิงผิงถ่ายไปกรี๊ดกร๊าดไป ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ ราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ ขณะเดียวกันก็แอบเสียดายที่นางแบบไม่สมบูรณ์พร้อม เพราะขาดชุดโยคะที่ช่วยให้เห็นทรวดทรง!
“ลุงลู่ครับ ผมขอไปถ่ายคู่ซาลาเปาน้อย ช่วยถ่ายให้ผมหน่อยนะครับ”
ตี้อู๋เปียนก็ยังรู้สึกถ่ายไม่หนำใจ แต่ก็อยากเข้าไปร่วมเฟรมด้วย
เวลานี้เขารู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นเชื่อฟังซาลาเปาน้อยเรียนโยคะ
ลู่ทงยิ้มกว้างรับกล้องมาจากตี้อู๋เปียน “เอาสิ รีบเข้าไป ลุงจะถ่ายให้”
ตี้อู๋เปียนหาจุดที่พื้นเรียบ ก้อนหินน้อยหน่อยแล้วเรียกมู่เถาเยามา
ทั้งสองคนก็ไม่รังเกียจที่พื้นสกปรก นั่งบ้าง ยืนบ้าง เอนตัวลงบ้าง ทำท่าโยคะสำหรับสองคนที่ระดับความยากสูง
จางผิงผิงกับลู่ทงมองผ่านเลนส์ด้วยความตะลึง แต่ก็ไม่ลืมกดชัตเตอร์
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนไม่ได้ทำหลายท่า เพราะแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าหมดแล้ว
เมื่อถึงตอนที่แสงใกล้หมดพวกเขาก็กลับขึ้นรถบ้าน กินอาหารเย็นเป็นอาหารแห้งง่ายๆ
จางผิงผิงถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวมู่ พวกเธอเป็นครูสอนโยคะกันเหรอ”
มู่เถาเยาส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ หนูเป็นหมอค่ะ”
“หมอเหรอ แต่เธอดูเหมือนอายุยังไม่ยี่สิบเลยนะ นี่เรียนจบหมอแล้วเหรอ”
จางผิงผิงตะลึงมาก
หมอสมัยนี้ต้องเรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอก จบปริญญาตรีแล้วมาเป็นหมอเลยมีค่อนข้างน้อยแล้ว
“ปีนี้หนูอายุยี่สิบสองค่ะ จบดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูมาได้หนึ่งปีแล้ว สอบได้ใบประกอบโรคศิลปะ รักษาคนได้ แต่หนูไม่เลือกไปนั่งรักษาคนป่วยในโรงพยาบาล แต่เลือกทำงานด้านวิจัยและคิดค้นยาค่ะ”
จางผิงผิงกับสามีตะลึงอ้าปากค้าง