อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 551 สวยในแวบสอง
ตอนที่ 551 สวยในแวบสอง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสว่าง มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ตื่นนอนแล้ว
ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็แปลงโฉมอีกครั้ง กลับไปมีใบหน้าแบบเมื่อวาน
ใบหน้านี้ของมู่เถาเยาจืดชืดกว่าใบหน้าเดิมไม่ใช่แค่ครึ่งเดียว แต่ในสายตาของคนส่วนใหญ่ก็ยังถือว่าค่อนไปทางหน้าตาดี
ทั้งอ่อนโยนทั้งน่าเอ็นดู เห็นแล้วสบายตา แบบที่ถูกชะตาเด็กกับคนแก่ แม้เป็นคนวัยเดียวกันก็ไม่มีทางอิจฉา เพราะดูสบายตาเหลือเกิน
เมื่อเทียบกับมู่เถาเยาที่พรางใบหน้าเดิมห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใบหน้าของตี้อู๋เปียนถูกพรางไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
แม้แต่ไฝแดงเม็ดงามที่อยู่กลางหว่างคิ้วก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ดูเหมือนเป็นไฝธรรมดา ก็แค่อยู่ตำแหน่งกึ่งกลางหว่างคิ้ว ไม่ได้ดูน่าเกลียด
ต่อให้พรางใบหน้าเดิมไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ใบหน้าของตี้อู๋เปียนก็ยังดูระดับกลางๆ ค่อนไปทางบน อย่างไรเสียโครงหน้าก็ดีเป็นทุนเดิม
ต่อให้วิชาแปลงโฉมดีแค่ไหนก็ไม่มีทางปรับเปลี่ยนโครงกระดูกได้ ไม่ใช่วิชายืดหดกระดูกที่จะเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกได้
มู่เถาเยามองคนในกระจกแล้วยิ้มพูด “ใบหน้านี้ของฉันยิ่งมองยิ่งสบายตา”
อารมณ์แบบต้องมองรอบสองถึงจะรู้สึกว่าสวย
มองแวบแรกไม่สะดุดตา แต่ยิ่งมองยิ่งหลงรัก
ตี้อู๋เปียนมองสองคนในกระจก ขมวดคิ้วที่ได้รูป “ซาลาเปาน้อย ใบหน้าของฉันมันดูธรรมดาเกินไป” ดูจากภายนอกไม่ค่อยเข้ากับซาลาเปาน้อยเท่าไร
“ใช้ไปก่อน ถ้าไม่ชอบวันหลังค่อยเปลี่ยนใหม่”
ตี้อู๋เปียนจำต้องยอมรับ
“ไปเถอะค่ะ พวกเราออกไปเดินเล่นกัน พวกป้าจางไม่น่าจะตื่นเช้าแบบนี้”
เมื่อคืนเธอได้บอกหลังฝังเข็มให้พวกเขาหลับตามสบาย นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ร่างกายก็จะมีพลังเต็มเปี่ยม
“อึม พวกเราไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นกัน”
ทั้งสองคนออกจากห้อง ไม่ได้เดินออกทางตึกที่มีเคาน์เตอร์ แต่เดินตรงทางเชื่อมเล็กๆ ระหว่างตึก
อาจเพราะยังเช้าเกินไป จึงไม่เจอแขกระหว่างทาง เจอผู้สูงอายุคนพื้นที่อยู่บ้าง
คนแก่ส่วนใหญ่ตื่นเช้า
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนลองพูดคุยกับคนแก่ ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างฟังอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
คนแก่อายุเยอะมาก พูดเป็นแต่ภาษาท้องถิ่น
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนยอมแพ้ ขอบคุณคนแก่แล้วเดินเล่นในหมู่บ้านต่อ
ไม่นานก็เจอเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่
เด็กน้อยไปเรียนต้องพูดภาษากลาง จึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่เข้าใจ
มู่เถาเยานั่งยอง มองเด็กน้อยผมหยิกหย็อย หน้าตาน่ารัก “หนูน้อย รู้ไหมว่าตรงไหนดูดวงอาทิตย์ขึ้นได้สวยๆ”
เด็กผู้ชายคนนั้นกระตือรือร้นนำทางให้พวกเขาไปตรงทางเข้าที่ราบทุ่งหญ้า
ตรงนี้เริ่มครึกครื้นแล้ว เพราะคนเลี้ยงสัตว์เริ่มพาสัตว์มาเดิน
“ขอบใจจ้ะหนูน้อย เราชื่ออะไรเหรอ อายุเท่าไรจ๊ะ”
“พี่สาว ผมชื่อกู่ที่ฮะ อายุห้าขวบแล้ว”
“อ้อ กู่ที่ แล้วรู้ไหมว่าตรงไหนมีผลไม้ขาย”
“แม่ผมขายผลไม้” เด็กน้อยพูดพลางน้ำลายไหล
มู่เถาเยารู้สึกขำ “งั้นบอกพวกเราหน่อยว่าแม่ของหนูขายผลไม้อยู่ตรงไหน ใช่ตรงที่เมื่อกี้เราเจอกันไหม อีกเดี๋ยวพวกพี่ดูดวงอาทิตย์ขึ้นเสร็จจะไปอุดหนุนแม่ของหนูนะ”
เด็กน้อยส่ายหน้า “ไม่ใช่ฮะ ผมออกมาออกกำลังกาย”
แม่ของเขาบอกว่า ออกกำลังกายแต่เด็กโตไปจะได้ไม่ป่วย ช่วยแม่ดูแลพ่อกับย่าได้
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนแอบรู้สึกขำ แต่ก็เออออไปตามเขา “ออกกำลังกายบ่อยๆ ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เจ็บป่วยได้ง่ายจ้ะ”
กู่ที่พยักหน้า
ตี้อู๋เปียน “บ้านเราอยู่ที่ไหน”
เด็กวัยห้าขวบยังเล็ก บอกพิกัดที่แน่นอนไม่ได้ แต่เขาฉลาดมาก บอกชื่อโรงแรมที่อยู่แถวบ้าน
กู่ที่รีบเอามือไพล่หลัง ส่ายหน้าเป็นป๋องแป๋ง “พ่อกับแม่บอกว่าห้ามรับของจากแขก”
“พ่อกับแม่พูดถูก แต่หนูช่วยพวกเรา ไม่ได้รับไว้เปล่าๆ นะ รับไว้ก่อน กลับไปค่อยถามพ่อกับแม่ ถ้าพวกเขาให้กินค่อยกินนะจ๊ะ แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่ให้กิน งั้นอีกเดี๋ยวพี่ไปซื้อผลไม้ที่บ้านค่อยคืนพี่นะ”
เด็กน้อยลังเลสุดๆ
ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นเผยให้เห็นความปรารถนาอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเลย แม้แต่คนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่แถวนั้นก็ยังรู้สึกได้
จึงมีคนเดินเข้ามา
“เสี่ยวที่”
“ลุงอ้าว” เด็กน้อยเรียกด้วยความดีใจ
“ทำไมมาแถวนี้ล่ะ แม่รู้หรือเปล่า”
“เออ…ผมไปก่อนนะฮะพี่ๆ”
เด็กน้อยไม่มีเวลาสนใจคุกกี้หมีแล้ว รีบวิ่งกลับบ้าน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนแอบรู้สึกผิด
เด็กน้อยรีบขนาดนั้นจะต้องมีธุระแน่
ใครจะไปคาดคิดว่าเด็กตัวแค่นี้จะมีธุระอะไร
คนเลี้ยงสัตว์ที่ดูเหมือนอายุประมาณสามสิบเห็นเด็กน้อยวิ่งไปไกลแล้วจึงยิ้มพูดกับมู่เถาเยาและตี้อู๋เปียน “พวกคุณทั้งสอง ผมชื่อกู่อ้าวครับ เป็นเพื่อนบ้านของเด็กคนเมื่อกี้ ทุกเช้าเขาจะตื่นมาวิ่งแล้วต้องไปช่วยแม่ทำงาน เขาถึงได้รีบร้อนกลับไปแบบนั้นครับ”
มู่เถาเยาอึ้งไปชั่วขณะแล้วถาม “…เด็กตัวแค่นั้นช่วยทำงานในบ้านได้ด้วยเหรอคะ พ่อแม่ของเขาก็ยอมปล่อยให้ทำด้วย”
เด็กสมัยนี้อย่าว่าแต่ห้าขวบเลย ต่อให้อายุสิบห้า ยี่สิบห้า คนเป็นผู้ปกครองต่างก็ทนเห็นพวกเขาทำอะไรที่เกินความสามารถของตนเองไม่ได้
แน่นอนว่าก็มีพ่อแม่ที่ ‘ใจแข็ง’ อย่างเช่นคนหมู่บ้านเถาหยวน คนสำนักแพทย์โบราณ คนสำนักซย่าโหว…
กู่อ้าวยิ้มพูด “เด็กครอบครัวยากจนต้องรู้จักทำงานแต่เด็กครับ”
พอได้ยินแบบนี้มู่เถาเยาก็แอบตกใจ
ตี้อู๋เปียน “พวกเราเดินมาตลอดทาง ไม่เห็นมีบ้านไหนที่ดูเหมือนยากจนเลยครับ” ส่วนใหญ่มีแต่บ้านตกแต่งสวยๆ
“ครับ หมู่บ้านเราถือว่าร่ำรวยแล้ว เพียงแต่ครอบครัวเสี่ยวที่มีคนป่วยเรื้อรังสองคน คนทำงานได้มีแค่แม่เสี่ยวที่คนเดียว ชีวิตลำบากพอสมควร” ยังดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนถึงได้เป็นอย่างในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะแย่กว่านี้
มู่เถาเยา “ป่วยเรื้อรังเหรอคะ ฉันเป็นหมอ น่าจะพอช่วยได้บ้างค่ะ”
กู่อ้าวถอนหายใจ “ขอบคุณครับ ย่ากับพ่อเสี่ยวที่ไปมาหลายโรงพยาบาลแล้วครับ แต่ก็รักษาไม่หาย…พวกคุณมาดูดวงอาทิตย์ขึ้นใช่ไหมครับ”
เขาจะเอาเรื่องในครอบครัวคนอื่นเล่าให้คนแปลกหน้าฟังก็ไม่ดี แม้คนตรงหน้าจะเป็นหมอก็ตาม เขาไม่กล้ามีความหวัง อย่างไรเสียไปหาหมอเฉพาะทางมาตั้งมากก็ยังรักษาไม่หาย แล้วนับประสาอะไรกับหมอที่ยังดูเด็กขนาดนี้
มู่เถาเยาพยักหน้า คิดไว้ว่าอีกเดี๋ยวไปซื้อผลไม้ค่อยลองหาโอกาสดูว่าจะไปดูคนป่วยได้ไหม
เธอสนใจพวกโรคที่รักษายากเป็นพิเศษ!
กู่อ้าว “งั้นพวกคุณตามสบายนะครับ ผมขอไปทำงานก่อน”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะกู่อ้าว”
“ไม่เป็นไรครับ”