อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 564 เป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้
ตอนที่ 564 เป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้
ตอนบ่าย มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนนอนกลางวันเสร็จก็ไปขี่ม้าบนที่ราบทุ่งหญ้า
กู่ถิงเจ้าของโรงแรมพาพวกเขาไปเลือกม้าด้วยตัวเอง ทั้งยังตามไปขี่ด้วยระยะหนึ่ง
“พี่อาถิงคะ วันนี้วันจันทร์ ไม่กลับไปทำงานเหรอคะ”
“พี่ลาหยุดพักร้อนจ้ะ”
“พี่อาถิงเป็นนักออกแบบเหรอคะ”
กู่ถิงพยักหน้า “ออกแบบอาคาร ทำงานอยู่ที่เจียงตูจ้ะ”
“อยู่เจียงตู บริษัทใหญ่ชื่อดังที่ทำงานด้านนี้มีอยู่สองบริษัท” บริษัทหนึ่งเป็นของตระกูลน่าหลาน อีกบริษัทเป็นของตระกูลอวิ๋น
“ใช่จ้ะ เถ้าแก่พี่คือมหาเศรษฐีอวิ๋น”
“บังเอิญจริง”
“หมอเสี่ยวมู่รู้จักคนตระกูลอวิ๋นด้วยเหรอจ๊ะ”
“ญาติเกี่ยวดองค่ะ”
กู่ถิงครุ่นคิด นึกไม่ออกว่าเถ้าแก่มีญาติแซ่มู่ด้วยเหรอ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
มู่เถาเยาชอบคนฉลาด เธอเปลี่ยนเรื่องคุย “พี่อาถิงสนใจเรื่องฮวงจุ้ยเหรอคะ”
“เพราะเกี่ยวข้องกับงานน่ะ เลยเคยเรียนมานิดหน่อยจ้ะ”
“สวนของโรงแรมเป็นผังฮวงจุ้ยแปดทิศที่ประณีตมาก พี่อาถิงไม่ได้เรียนมาแค่นิดหน่อยหรอกค่ะ”
กู่ถิงรู้สึกตะลึง “หมอเสี่ยวมู่รู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วยเหรอ”
“เคยเรียนจากเพื่อนมานิดหน่อยค่ะ”
“บังเอิญจริง สวนนั้นของพี่ก็ได้เพื่อนช่วยออกแบบให้น่ะ”
“เพื่อนคนนี้ของพี่อาถิงแซ่จั่วหรือเปล่าคะ”
“หมอเสี่ยวมู่รู้จักอีเหิงด้วยเหรอ”
“แน่นอนค่ะ! ฉันกับพี่อีเหิงก็เป็นเพื่อนกัน ตอนฉันเห็นสวนนั้นก็คาดว่าน่าจะคนตระกูลจั่วออกแบบ นึกไม่ถึงว่าจะใช่จริงๆ”
“หลานสะใภ้ของเถ้าแก่พี่เป็นรุ่นพี่ของพี่เอง เนื่องจากอยู่วงการเดียวกัน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับตระกูลอวิ๋น พี่กับรุ่นพี่กู้ก็เลยมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอด เลยทำให้ได้รู้จักกู้หานน้องสาวของรุ่นพี่ไปด้วย ต่อมาก็ได้รู้จักจั่วอีเหิงเพื่อนสนิทของกู้หาน ก่อนพี่เปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการได้เคยเชิญพวกเธอมาเที่ยว อีเหิงเลยช่วยออกแบบสวนให้ใหม่จ้ะ” กู่ถิงอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อันที่จริงเธอเองก็ไม่ได้รู้ประวัติตระกูลจั่ว ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสาวที่เรียนไอทีจะช่วยเธอออกแบบสวน แต่คิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนกัน ออกแบบสวนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็เลยตอบรับ
ปรากฏว่าเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ แต่ทำเธอที่เป็นนักออกแบบมืออาชีพถึงกับต้องยอมยกนิ้วให้
เพราะสวนนั้นแค่มองไปก็ให้ความรู้สึกที่สบายมาก! สบายตาและสวยกว่าสวนเดิมที่เธอออกแบบไว้!
มู่เถาเยารู้ดีว่าสองพี่น้องตระกูลกู้สนิทกันมาก และก็รู้ว่าพี่กู้หานกับพี่อีเหิงเป็นเพื่อนซี้กัน กู่ถิงจะรู้จักพวกเธอด้วยก็ไม่แปลก
“ซาลาเปาน้อย”
เห็นพวกเธอคุยกันไม่จบสักที ตี้อู๋เปียนจึงขัดจังหวะด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไร
พวกเขาออกมาเที่ยวชัดๆ ปรากฏว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดยกเว้นสองสามวันแรก!
มีคนป่วยยังไม่เท่าไร ตอนนี้คุยสัพเพเหระยังสนุกขนาดนี้! ลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่ามีเขาอยู่ข้างๆ!”
“อึม”
มู่เถาเยามองตี้อู๋เปียน ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็มีท่าทางเหมือนโกรธ
แต่ถึงจะไม่เข้าใจสาเหตุ ก็ยังสามารถเข้าถึงความรู้สึกได้ ใครใช้ให้พวกเขาตัวติดกันมาเป็นระยะเวลานานล่ะ
ตี้อู๋เปียน “…”
กู่ถิงแค่เห็นก็เข้าใจว่าเรื่องอะไร จึงยิ้มพูด “พวกเธอไปเที่ยวเล่นกันเถอะ พี่ขอกลับก่อน ตอนเย็นรีบกลับไปกินข้าวนะ พี่สะใภ้พี่บอกว่าจะฆ่าไก่ฆ่าเป็ดเลี้ยงต้อนรับพวกเธออย่างดี”
มู่เถาเยาพยักหน้า
กู่ถิงขี่ม้ากลับคนเดียว
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนขี่ม้าวิ่งเล่น ไม่นานก็ไปถึงกลางทุ่งหญ้า
ตรงนี้ไม่มีกระโจมมองโกล ไม่มีผู้คน ไม่มีสีสันเหมือนในเมืองใหญ่ ไม่มีรถเมล์รถไฟใต้ดินที่เบียดเสียด…ความครึกครื้นสีสันกิเลสทางโลกทั้งหลายไม่เกี่ยวกับที่นี่
ทุ่งหญ้าสีเขียวเหลืองถึงแม้จะไม่สวยงามเหมือนทุ่งหญ้าสีเขียวล้วน แต่มีท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ สายลมพัดผ่าน หอมกลิ่นไม้ใบหญ้า บรรยากาศเงียบสงบ ถึงขั้นที่แม้แต่เวลายังคล้ายกับถูกบ่มเพาะให้ยาวนานขึ้น
บนทุ่งหญ้าที่กึ่งเขียวกึ่งเหลืองมีดอกไม้เล็กๆ หลากสีขึ้นแซม บ้างก็สีขาว บ้างก็สีแดง บ้างก็สีน้ำเงิน เป็นต้น ไม่เด่น แต่ก็ไม่แย่
มีต้นไม้สีเขียวอยู่ประปราย ทำให้ทุ่งหญ้าไม่ดูจืดชืด
ทุ่งหญ้าที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเงียบสงบเย็นสบาย
ทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้งดงามเท่าฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อนดุจไฟแผดเผาเท่าฤดูร้อน ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เท่าฤดูหนาว แต่เมฆบางฟ้าสูง สีสันหลากหลาย
มองป่าที่อยู่ไม่ไกลหลากสีสัน โรแมนติกและลึกลับ งดงามเหลือเกิน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนจูงม้า ราวกับเดินอยู่ท่ามกลางภาพวาด
“ซาลาเปาน้อย พวกเรายังจะอยู่ที่นี่กันอีกกี่วัน”
“พี่สามไม่ชอบที่นี่เหรอคะ”
“เปล่า ก็แค่รู้สึกว่าคนเยอะไปหน่อย” เขาแค่อยากอยู่กันสองคนตามลำพัง ไม่มีคนอื่นมาเข้าร่วม
“ครอบครัวกู่มีวาสนากับฉัน” เพราะเป็นลูกหลานของอาจารย์สาม
ตี้อู๋เปียนพูดด้วยความจนปัญญา “เธอนี่มันไปที่ไหนก็ช่วยเหลือคนไปหมด”
“พวกเขาไม่ต้องฝังเข็มแล้ว รอพรุ่งนี้ยามาส่ง หลังจากพวกเขากินยาขอฉันสังเกตอาการสักสองวัน ถ้าไม่ผิดปกติก็จะส่งท่านหมอลู่ขึ้นเครื่องบินไปเมืองเย่ว์ตู พวกเราก็มุ่งหน้ากันต่อ”
“อืม ซาลาเปาน้อย เธอดูปฏิบัติต่อครอบครัวท่านหมอลู่เป็นพิเศษ เพราะเข็มหางหงส์เหรอ”
“เพราะเข็มหางหงส์จริงๆ ค่ะ มันเป็นของวิเศษ เป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้ แต่พวกเขาบทจะยกให้ก็ยกให้เลย…”
“คนตระกูลลู่มีจรรยาบรรณแพทย์สูง เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง เหมือนปู่หยวนกับเธอเลย”
“คนตระกูลลู่ดีจริงๆ ค่ะ ฉันเลยอยากรอดูว่าลู่ซินหรานจะไปได้ไกลแค่ไหน เหมาะจะเข้าสำนักแพทย์โบราณไหม วันหน้าถ้าสร้างโรงพยาบาลผิงคังที่นี่ก็จะได้มีคนดูแล”
“เธอคิดรอบคอบจริง”
“สำนักแพทย์โบราณยังขาดคนค่ะ”
“เรียนหมอไม่ง่าย เรียนให้ดียิ่งยากขึ้นไปอีก”
“นั่นสิคะ ชะตาคนเราเกี่ยวข้องกับสวรรค์” แต่จรรยาบรรณแพทย์สำคัญกว่าวิชาการรักษา
อันที่จริงไม่ว่าจะวงการไหนจรรยาบรรณก็สำคัญกว่าความสามารถ เกิดเป็นคนก็ต้องแบบนั้น