อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 573 สอนมีความรัก
ตอนที่ 573 สอนมีความรัก
ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญกลมเต็มในคืนสิบหก ที่พูดถึงก็คือวันนี้
เช้าวันนี้ถึงแม้จะไม่มีทะเลหมอก แต่มีดวงอาทิตย์ขึ้นบนป่าเขาที่แสนงดงาม
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนกินอะไรนิดหน่อยเสร็จก็เก็บข้าวของแล้วเดินตามเนินเขาต่อพร้อมสายลมเย็นเช้าตรู่
มองทิวเขาที่ทอดติดกันเป็นแนวยาวจากยอดเขาที่สูงที่สุดของป่าหลากสีแห่งนี้ ในความยิ่งใหญ่อลังการมีความสดชื่นยามเช้าแบบเฉพาะ ราวกับช่วยชะล้างจิตวิญญาณของคนได้
มู่เถาเยาแตะน้ำค้างที่อยู่บนใบไม้ ยิ้มกว้างพลางพูด “แผนวันใหม่เริ่มที่ยามเช้า คำพูดนี้เป็นจริง ยามเช้าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีพลังที่สุดของวัน ความมีชีวิตชีวาแบบนี้เพิ่มมากขึ้นตามแสงแดด ช่วยให้คนรู้สึกสบายใจ”
“อึม ยามเช้าเป็นช่วงที่สดชื่นที่สุดแล้ว ตอนเย็นเป็นช่วงที่เงียบสงบที่สุด”
“ใช่ค่ะ” มู่เถาเยาเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
เธอชอบใช้เวลาตอนกลางคืนมองดูดวงดาวเต็มท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เข้าสู่ห้วงความคิด
“ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของที่นี่สวยไม่แพ้ทางด้านหมู่บ้านเถาหยวนเลยนะ”
มู่เถาเยาพยักหน้าเล็กน้อย “อึม”
ทั้งสองคนคุยกันระหว่างเดินไปตามเนินเขาที่ไม่ราบเรียบ
เวลาวันเดียวข้ามเขาไปแล้วสามลูก
ผ่านป่าเซินเทียน ป่าชิงชุ่ย เนินครึ่งตัวที่มีสารพัดหญ้า จนมาถึงทะเลหญ้าที่อยู่บนเขาสูง
ทุ่งหญ้าหลายแสนตารางเมตรอยู่บนเขาสูงที่ห่างจากระดับน้ำทะเลหนึ่งพันกว่าเมตร ภาพที่เข้าสู่สายตาค่อนไปทางสีแดง แต่กลับคล้ายมหาสมุทรสีทอง กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่ออยู่กับท้องฟ้าสีครามและจันทร์เสี้ยวก็ก่อเกิดเป็นภาพวาดที่งดงาม
ยามสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา คลื่นหญ้าที่ค่อนข้างแดงหรือจะเรียกได้ว่าสีทองก็ให้ความงดงามที่สะกดใจอย่างหนึ่ง
สภาพแวดล้อมแบบนี้แค่ถ่ายรูปส่งเดชก็ยังสวยได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคอะไรมาก
ระยะนี้มู่เถาเยาเป็นนางแบบจนชินแล้ว ตอนนี้รูปถ่ายก็ย่อมเยอะเป็นธรรมดา
แต่ก็น้อยครั้งที่จะถ่ายหน้าตรง อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง
หลังจากตี้อู๋เปียนถ่ายจนหนำใจแล้ว มู่เถาเยาก็ถ่ายให้เขาบ้าง
จากนั้นก็เดินต่อท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำ ต้องหาจุดสำหรับกางเต็นท์ พื้นที่เดินอยู่ขรุขระเป็นเนิน ไม่เหมาะที่จะกางเต็นท์
สุดท้ายก็ได้ที่ราบเรียบจุดหนึ่งตรงไหล่เขาระหว่างเขาสองลูก
เวลานี้ใกล้ค่ำ ทั้งสองคนกางเต็นท์โดยอาศัยแสงที่เหลืออยู่ของดวงอาทิตย์ เสร็จแล้วก็กิน จากนั้นก็นั่งดูรูปถ่ายในกล้องด้วยกัน
“ใช้ได้ ถึงจะไม่ได้มีสีสันอะไรมาก แต่ทะเลหญ้าสุดลูกหูลูกตากับท้องฟ้าสีครามอยู่ด้วยกันก็ชวนให้ตะลึงพอแล้ว บางครั้งไม่ต้องมีสีสันอะไรเยอะถึงจะดี”
มู่เถาเยาพยักหน้า
ซับซ้อนก็ดี เรียบง่ายก็ดี ตราบใดที่เป็นธรรมชาติก็สวยทั้งนั้น
“ซาลาเปาน้อย ทุ่งหญ้าบนเขาไม่มีสัตว์ที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวาแบบที่ราบทุ่งหญ้า แต่กลับมีความงดงามแบบเงียบสงบมากกว่า เธอว่าแบบไหนมีเสน่ห์มากกว่ากัน”
หากไม่มีสายลมพัดใบหญ้า ที่นี่ก็คือภาพวาดที่นิ่งสงบ ขาดความมีชีวิตชีวา แต่กลับงดงามไปอีกแบบ
มู่เถาเยามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพลางพูด “ชอบหมดค่ะ สวยคนละแบบ”
เธอชอบค่ำคืนที่เงียบสงบเรื่อยเปื่อยแบบนี้เป็นพิเศษ เข้าสู่ห้วงความคิดภายใต้ท้องฟ้าที่ไร้จุดสิ้นสุด
สภาพแวดล้อมแบบนี้ช่วยพาให้ใจสงบและปล่อยวางได้มากที่สุด
“ซาลาเปาน้อย มันต้องมีอะไรที่ชอบมากกว่าหน่อยสิ”
สายตาของมู่เถาเยาละจากท้องฟ้ามาที่ตี้อู๋เปียน ถามอย่างจริงจัง “ฉันไม่เหรอ”
“ก็เธอดูชอบหมด”
“แล้วมันผิดตรงไหนเหรอ”
หลังจากผ่านประสบการณ์ในชาติที่แล้วมา เธอก็ใจกว้างต่อทุกสรรพสิ่งขึ้นมาก มองอะไรก็สวยงามไปหมด
มู่เถาเยาถามด้วยความตะลึง “ฉันเป็นแบบนี้ไม่ดีเหรอ จะให้ฉันมีปัญหาให้ได้เลยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีเกินไป สมบูรณ์แบบเกินไป”
“สมบูรณ์แบบก็ไม่ดีเหรอคะ”
“ซาลาเปาน้อย เธอไม่มีความต้องการไม่เรียกร้องอะไร ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกปวดใจ”
มู่เถาเยาเชิดหน้าเล็กน้อยมองตี้อู๋เปียน ดวงตากลมโตฉายแววไม่เข้าใจ ราวกับกำลังถามว่า ‘ไม่มีความต้องการไม่เรียกร้องอะไร มันทำให้คนอื่นรู้สึกปวดใจตรงไหน’
ตี้อู๋เปียนหัวใจอ่อนยวบ รอยยิ้มในดวงตาแทบจะทะลักออกมา พูดด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูด “ปกติแล้วชีวิตต้องผ่านอะไรมามากจิตใจถึงจะแข็งแกร่ง แต่ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าไม่มีอุปสรรคอะไร แต่ทำไมถึงมีหัวใจที่เป็นแบบนี้ล่ะ หรือจะเหมือนที่ปู่หยวนพูดจริงๆ ว่าอยู่กับคนแก่นานๆ นิสัยก็เลยเหมือนคนแก่ไปด้วย”
เขาเดาว่าเป็นเพราะเธอมีหัวใจที่เป็นแบบนี้ก็เลยไม่คิดแต่งงาน มันเลยความต้องการทางโลกไปแล้ว
มู่เถาเยาหัวเราะ เขาไม่รู้หรอกว่าเธอเคยผ่านมาแล้วหนึ่งชาติ ไม่แปลกที่หัวใจจะแข็งแกร่งแบบนี้
“พวกอาจารย์บอกว่าหลังจากฉันออกจากหมู่บ้านเถาหยวนไปใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก”
ตี้อู๋เปียนลูบศีรษะของเธอ “ซาลาเปาน้อย ฉันจะสอนเธอมีความรักเอง จะทำให้เธอสัมผัสได้ถึงตัวเธอที่สวยงามกว่า ชีวิตที่ดีกว่า”
พอได้ยินคำว่า ‘มีความรัก’ มู่เถาเยาก็ไม่รู้สึกอายเลยสักนิด เธอเถียง “พี่สามไม่เคยมีแฟนสักหน่อย”
“…ผู้ชายต้องเป็นเรื่องพวกนี้อยู่แล้วหรือเปล่า เธอดูอย่างอาจารย์สามของเธอ อายุเกินห้าสิบแล้วก็ยังแต่งงานมีลูก เธออายุยังน้อย อย่าเพิ่งปลงไม่ตก” ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกบีบให้ต้องโสดจนตาย!
“ไม่แต่งงานจะเป็นการปลงไม่ตกได้ยังไง”
“งั้นเธอลองว่ามาหน่อยเหตุผลที่เธอไม่แต่งงานคืออะไร ก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ไม่มีเวลาให้ เรื่องยิบย่อยเยอะ ไม่นับนะ”
มู่เถาเยาครุ่นคิด ถ้าไม่นับเรื่องพวกนั้นก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
“ดูสิ เธอก็ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ งั้นไม่สู้เดินตามฉัน ฉันจะพาเธอเข้าสู่ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม ซาลาเปาน้อย ขอแค่เธอยอมเปลี่ยนนิดหน่อย ผลลัพธ์จะต่างไปมากแน่นอน…” ตี้อู๋เปียนร่ายยืดยาว
เขาไม่กล้าพูดคำหวานเวลานี้ กลัวจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
มู่เถาเยาเอนตัวลงบนผ้าใบ มองดูดวงดาวเต็มท้องฟ้าพร้อมรอยยิ้ม ดวงจันทร์ลอยเด่น ฟังเขาพูดไปเรื่อย ๆ
ตี้อู๋เปียนก็นอนตะแคง พูดอยู่สักพักก็ถูกรอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่องเพราะอาบแสงจันทร์สะกดใจ ชวนให้โน้มศีรษะเข้าไปใกล้
มู่เถาเยาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา พอหันหน้ามาริมฝีปากทั้งสองก็แตะถูกกัน