อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 76 ไม่คิดแต่งงาน
ตอนที่ 76 ไม่คิดแต่งงาน
ผู้เฒ่าทั้งสองคนเล่าให้มู่เถาเยาฟังทุกอย่างตั้งแต่ที่เธอเกิดจนถึงช่วงเวลาแห่งการสูญเสียรวมถึงเรื่องราวหลังจากนั้น
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ผู้เฒ่าทั้งสองก็หลั่งน้ำตาหลายครั้งและแม้แต่เย่ว์เลี่ยงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงก่ำ
ไม่ใช่ว่ามู่เถาเยาพูดไม่เก่ง แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าจะปลอบใจคนอื่นอย่างไรดี
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัด
โชคดีที่สุดท้ายเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอหยุดน้ำตาของผู้เฒ่าทั้งสองได้
หลังจากรับสายจากเพื่อนร่วมชั้นปีไม่กี่นาที อารมณ์ของผู้สูงอายุทั้งสองคนก็ค่อยๆ กลับมาคงที่หลังจากได้รับการปลอบโยนจากเย่ว์เลี่ยง
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ เธอกับอวิ๋นไป๋รู้จักกันได้ยังไง” เย่ว์เลี่ยงกลัวว่าพ่อแม่ของเธอจะร้องไห้เสียใจอีก เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่พวกเขาจะกลับไปรำลึกความหลังที่ขมขื่นอีกครั้ง
“น้าเล็กอวิ๋นเป็นน้าเล็กของคนไข้ของหนูค่ะ”
เย่ว์เลี่ยง “คนไข้? อย่าบอกนะว่าเป็นหลานชายคนเล็กของเขาน่ะ”
“เขานั่นแหละค่ะ”
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์รู้สถานะของอวิ๋นไป๋รึเปล่า”
“รู้สิคะ อารู้จักกับตี้อู๋เปียนด้วยเหรอ”
“ไม่รู้หรอก แต่เคยได้ยินอวิ๋นไป๋พูดถึงมาก่อน เห็นว่าเขาป่วยเป็นโรคประหลาด ราชาและคุณผู้หญิงรวมถึงผู้สืบทอดของเขาเคยมาเยือนเผ่าเราสองสามครั้งเพื่อสานสัมพันธ์ทางการทูตน่ะ”
เรื่องที่ว่าคุณชายเล็กตระกูลตี้ป่วยเป็นโรคประหลาด เป็นความลับพอๆ กับเรื่องที่เผ่าพระจันทร์ทำเจ้าหญิงน้อยสูญหายไป
มู่เถาเยาพยักหน้า
เย่ว์เลี่ยง “อวิ๋นไป๋บอกว่าหลานชายคนเล็กของเขาตอนนี้ก็กำลังฟักพื้นอยู่ในเขตเซิ่งซื่อฉางอันด้วยเหมือนกัน”
“ใช่ค่ะ คฤหาสน์ตระกูลตี้อยู่ทางทิศตะวันออก ปู่และย่าของเขารวมถึงหลานชายตัวน้อยตอนนี้ก็อยู่อาศัยที่นั่น”
ปู่เย่ว์ “อดีตท่านราชาและคุณผู้หญิงตอนนี้อยู่ที่นี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องไปทักทายอดีตท่านราชาหน่อยแล้ว ไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” ในเมื่อรู้แล้วว่าอาศัยอยู่ในเขตชุมชนเดียวกัน จะไม่ไปทักทายเลยก็เป็นการเสียมารยาทเกินไป
นี่คือมารยาทพื้นฐานของประเทศที่ต้องปฏิบัติ
เย่ว์เลี่ยง “ตกลงค่ะ อีกเดี๋ยวรออวิ๋นไป๋กลับไปแล้วค่อยฝากเขาไปแจ้งให้อดีตท่านราชารู้ก่อนสักคำ”
“เสี่ยวเย่ว์เลี่ยง อวิ๋นไป๋ดีขนาดนี้ ลูกไม่คิดจะพิจารณาจริงๆ เหรอ…” ย่าเย่ว์รู้สึกเสียดายแทนเย่ว์เลี่ยงเป็นครั้งที่ล้าน
เย่ว์เลี่ยงเหลือบมองมู่เถาเยาก่อนจะตอบว่า “พ่อคะ แม่คะ หนูไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน”
จู่ๆ มู่เถาเยาก็พูดแทรกขึ้นว่า “อาคะ น้าเล็กอวิ๋นอยากรับหนูเป็นลูกบุญธรรมของเขา หนูคิดว่าเขาเป็นคนดีมาก”
เย่ว์เลี่ยง “…” ที่ลูกสาวพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง กำลังบอกเป็นนัยบางอย่างกับเธอ?
ปู่เย่ว์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางพูดว่า “เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ตัวน้อยของเราก็ชอบอวิ๋นไป๋เหมือนกันเหรอ”
“ใช่ค่ะ น้าเล็กอวิ๋นดีมาก อุปนิสัยก็ดี ไว้ใจได้ ใครก็ตามที่ได้แต่งให้เขาคงมีความสุขมาก” สิ่งดีๆ ทั้งหลายที่เขาทำให้กับอาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ทำให้เธอมีความสุขมาก
ย่าเย่ว์ “ถูกต้องแล้ว เสี่ยวไป๋น่ะนิสัยดีมากจริงๆ เฮ้อ น่าเสียดายที่เขารักผิดคน เลยทำให้การแต่งงานของเขาต้องพลอยล่าช้าไปด้วย”
ลูกสาวของเธอดีไปหมดแทบจะหาที่ติใดๆ ไม่ได้ เสียก็แต่เธอไม่คิดที่จะแต่งงานกับใครนี่แหละ
ผู้เฒ่าทั้งสองคนรู้สึกสงสารอวิ๋นไป๋มาก
เย่ว์เลี่ยง “…หนูพูดกับเขาอย่างชัดเจนไปตั้งแต่แรกแล้ว” เธอไม่ได้หลอกเขา
ผู้เฒ่าทั้งสองคนพยักหน้า หลังจากผ่านไปหลายปี พวกเขาก็เริ่มถอดใจยอมแพ้แล้วเหมือนกัน
ลูกสาวคนสุดท้องที่พวกเขาประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาจะหักใจบังคับเธอให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำได้อย่างไร
อวิ๋นไป๋เพิ่งเดินออกมาจากครัว ขณะที่กำลังจะเรียกทุกคนให้ไปทานข้าว เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์เลี่ยง เขาก็ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อย
“เสี่ยวเย่ว์เลี่ยงอย่าได้รู้สึกลำบากใจ คุณลุงคุณป้าก็อย่าได้ไปเร่งรัดเธออีกเลยครับ ตราบใดที่เย่ว์เลี่ยงมีความสุข ปล่อยให้เธอได้ทำสิ่งที่เธอต้องการเถอะ เอาล่ะทุกคนไปทานข้าวกันได้แล้ว วันนี้ผมเข้าครัวแสดงฝีมือเองเลยนะ”
“ก็ได้ พวกเรากินข้าวกันก่อน ขอบใจนะ ลำบากพวกเธอแล้วจริงๆ”
ชายหนุ่มที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างอวิ๋นไป๋ ถ้าไม่ใช่เพื่อเย่ว์เลี่ยง มีหรือที่เขาจะเข้าครัวเองยอมเป็นพ่อครัวทำกับข้าวให้คนอื่นกิน
อวิ๋นไป๋ช่วยประคองปู่เย่ว์ให้ลุกขึ้นพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วครับ”
คนทั้งกลุ่มเดินไปล้างมือ จากนั้นก็เข้าไปในห้องทานอาหาร
อาหารหอมกรุ่นที่ถูกจัดเรียงเต็มโต๊ะทำให้คนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตัวเองยิ้มจนตาหยี เย่ว์เลี่ยงก็อดยิ้มตามไม่ได้
อวิ๋นไป๋ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เมื่อเห็นว่าเย่ว์เลี่ยงชอบกับข้าวที่เขาทำเองกับมือก็รู้สึกลิงโลด พูดแนะนำเมนูอาหารบนโต๊ะให้เธอฟังไม่หยุด
เย่ว์เลี่ยงเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ทั้งโต๊ะนี้แทบจะเรียกได้ว่ารวมอาหารเลิศรสจากทั่วทุกมุมโลกมาเลยนะ”
“ใช่แล้วล่ะ ผมศึกษาเรื่องอาหารมาสักพักหนึ่งแล้ว ลองชิมดูว่าอร่อยไหม ถ้ามีตรงไหนยังไม่ถูกปากครั้งหน้าผมจะได้ปรับปรุง” ตอนนี้อวิ๋นไป๋มองเห็นเพียงเย่ว์เลี่ยงในสายตาของเขาเท่านั้น
ผู้เฒ่าทั้งสองมองหน้ากัน เดี๋ยวก็พยักหน้าเดี๋ยวก็ส่ายหัว
เด็กดีขนาดนี้ ทำไมลูกสาวของพวกเขายังไม่ตกลงปลงใจอีกนะ
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบอวิ๋นไป๋ แต่เอาเข้าจริงพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเธอชอบผู้ชายคนไหนเลยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
รวมถึงผู้ชายที่โดดเด่นหลายคนในเผ่า
อาจเป็นเพราะตอนนี้พวกเขาหาหลานสาวตัวน้อยพบแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์เดียวในชีวิตของพวกเขาที่ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจ นั่นก็คือการแต่งงานของลูกสาวคนนี้
ย่าเย่ว์ถอนหายใจหนักๆ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดว่า “กินข้าวกันเถอะ”
ทุกคนรอให้ผู้อาวุโสทั้งสองคีบอาหารก่อน ถึงค่อยเริ่มจับตะเกียบและเริ่มกิน
ในช่วงเวลาอาหารค่ำ สมาชิกครอบครัวตระกูลเย่ว์ทุกคนให้ความสนใจกับท่าทีของมู่เถาเยามาก
ย่าเย่ว์เห็นมู่เถาเยากินทุกอย่างเลยไม่รู้ว่าเธอชอบอาหารจานไหนมากที่สุด จึงอดไม่ได้ถามออกไปว่า “เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ เหมือนหนูจะไม่ใช่คนเลือกกินนะ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จากครอบครัวอื่น หากไม่กินสิ่งนี้ก็จะติว่าสิ่งนั้นไม่อร่อย แต่เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ของพวกเขาเหมือนจะกินทุกอย่างอย่างมีความสุข ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเกลี้ยกล่อมหรือบอกให้กินเลย
“หนูไม่ใช่คนเลือกกินค่ะ อีกอย่างฝีมือทำอาหารของน้าเล็กอวิ๋นก็ดีมากจริงๆ”
ปาอินแม่ครัวอันดับสามของเผ่าอดไม่ได้แสดงความคิดเห็นไปว่า “ฝีมือเยี่ยมมากจริงๆ ค่ะ! แม้แต่บางเมนูที่เป็นอาหารของเผ่าพระจันทร์ก็ยังปรุงได้ตรงตามต้นตำรับมาก!”
“ไม่เลวจริงๆ” เย่ว์เลี่ยงยืนยันด้วยใบหน้าเล็กๆ อันสวยงามและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเธอ
อวิ๋นไป๋เหมือนคนที่เก็บสมบัติได้ เขาดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น
มือใหญ่คีบอาหารให้เย่ว์เลี่ยงอย่างกระตือรือร้น “เธอผอมเกินไปแล้ว กินเยอะหน่อย”
เย่ว์เลี่ยงผู้มีรูปร่างสมบูรณ์แบบมากไม่มีจุดใดที่มากหรือน้อยเกินไป “…”
ไม่รู้เขาเอาตาข้างไหนมองถึงเห็นว่าเธอผอมเกินไป
ตรงกันข้ามกับดวงตาลูกกวางของมู่เถาเยาที่กลับยิ่งโค้งมากขึ้น
แม้ว่าเธอจะกินอาหารอย่างจริงจัง แต่เธอก็ยังลอบให้ความสนใจกับอวิ๋นไป๋อย่างเงียบๆ
เห็นว่าเขาเอาใจใส่อาทุกรายละเอียด ไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่จุดเดียว เธอก็รู้สึกพอใจมากๆ
“อวิ๋นไป๋ ฉันคีบเองได้ คุณเองก็กินบ้างเถอะ” กับข้าวแทบพูนจานเธออยู่แล้ว ขืนยังปล่อยให้เขาคีบแบบนี้ต่อไปก็คงได้ล้นจานจริงๆ
“ตกลง เธอก็รีบกินเข้าล่ะ”
“อืม”
เย่ว์เลี่ยงไม่ได้มองว่าสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้กับเธอเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทั้งที่อีกฝ่ายก็ตอบตกลงเสียดิบดี แต่พอหันหลังก็กลับไปเป็นอย่างเก่า
เธอยิ่งไม่อาจห้ามไม่ให้เขาเข้าเขตปกครอง ท้ายที่สุดเขาก็มีธุรกิจขนาดใหญ่ในเผ่า แถมยังเป็นลูกค้าที่จ่ายภาษีหนักที่สุดในเผ่าอีกด้วย
นอกจากเรื่องที่ว่าเธอไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้ เย่ว์เลี่ยงก็คิดว่าผู้ชายคนนี้ไร้ที่ติจริงๆ
แขกทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข
อวิ๋นไป๋นั่งดื่มชาเป็นเพื่อนทุกคนอีกกา เมื่อเห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้วเขาก็จากไปพร้อมกับเฉิงอันนั่วที่หิ้วของขวัญไปด้วยเต็มมือ ให้เวลาคนตระกูลเย่ว์ได้ใช้เวลาส่วนตัวร่วมกัน
มู่เถาเยาช่วยจับชีพจรให้ผู้เฒ่าทั้งสอง
“สุขภาพยังแข็งแรงดีค่ะ” ไม่เจ็บป่วย แต่ก็ใช่ว่าจะดีที่สุด เป็นเหมือนกับคนชราทั่วๆ ไป
แต่อิงตามมาตรฐานที่สูงของมู่เถาเยา นั่นยังไม่เพียงพอ
ทั้งสองคนนี้อายุน้อยกว่าอาจารย์ทั้งสองของเธอและอาจารย์แม่มาก แต่สภาพร่างกายของพวกเขากลับด้อยกว่าพวกเขาคนละชั้น
“เจ้าหญิงน้อย สุขภาพของนายท่านผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่าพอจะปรับให้ดีขึ้นได้อีกหรือเปล่าครับ” ปาเฝ่ยถาม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักวิธีปรับสภาพร่างกาย แต่เป็นเพราะคนตระกูลเย่ว์ทุกข์ใจมาหลายปี ปัญหาทางใจส่งผลต่อสุขภาพทำให้ร่างกายเริ่มย่ำแย่ลง ไม่ว่าหมอจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือก็ไร้ผล
“ได้ค่ะ ฉันเคยใช้ทักษะฝังเข็มหุยหยางปรับสภาพร่างกายให้กับอาจารย์ทั้งสองและอาจารย์แม่มาก่อนได้ผลเป็นอย่างดี ตอนนี้พวกเขาอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว แต่ร่างกายแทบจะไม่ต่างกับคนอายุห้าสิบต้นๆ การฝังเข็มนี้เหมาะที่จะใช้กับปู่และย่าเหมือนกัน แต่จำเป็นต้องให้พวกเขาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย เพื่อที่ทักษะฝังเข็มหุยหยางจะได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่”
อาจารย์ทั้งสองและอาจารย์แม่เล็กออกกำลังกายทุกวันไม่ว่าจะในวันฝนตกหรือแดดออก พอใช้ทักษะฝังเข็มหุยหยางในภายหลัง ผลลัพธ์ที่ได้จึงแทบจะเป็นสองเท่าจากปกติ
“หลานสาวของย่าช่างเก่งกาจจริงๆ!” ย่าเย่ว์ยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข
“หลานสาวของปู่กตัญญูมาก!” ปู่เย่ว์เองก็มีความสุขพอๆ กับย่าเย่ว์
“เจ้าหญิงน้อยน่าทึ่งมาก!” ปาอินแสดงสีหน้าเทิดทูนไม่ต่างไปจากผู้เฒ่าทั้งสอง
ปาเฝ่ย “…” เขาต้องพูดอะไรบ้างหรือเปล่า
เย่ว์เลี่ยงมองดูลูกสาวตัวน้อยของเธอด้วยรอยยิ้มสว่างไสวเต็มใบหน้า ในแววตามีแต่ความรักและเอ็นดูสุดหัวใจ