อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1001 กระทิงไฟเก้าเขา
อย่างอื่นกู้ชูหน่วนไม่มี แต่ยากลับมีจำนวนไม่น้อย
มียาของนาง อาการบาดเจ็บของทั้งสองจึงดีขึ้นมาก แต่ก็ยังหนักหนาสาหัสเหมือนเดิม
เวลาเปิดภูเขาสัตว์วิเศษมีจำกัด เซียวหยู่เซวียนไม่กล้าชักช้า เขาต้องหาของที่เขาต้องการให้เร็วที่สุด จะได้รวบรวมวิญญาณของยัยขี้เหร่ให้สมบูรณ์
กู้ชูหน่วนเองก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วย กว่าจะได้เข้ามา หากไม่กวาดของวิเศษมาให้มากหน่อย จะไม่ผิดต่อตัวเองหรือ
นอกถ้ำ ไม่ทราบว่าพายุเชือดเฉือนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไร
ชายชุดดำระดับห้าก็รั้งรอไม่เข้ามาสักที
พวกเขาไม่กล้าออกจากโบราณสถานยุคดึกดำบรรพ์โดยพลการ เกรงว่าจะพบคนกลุ่มนั้น จึงได้แต่ค้นหาของวิเศษในสถานที่นี้ก่อน
อาณาบริเวณที่แห่งนี้กว้างขวางยิ่ง การเปลี่ยนแปลงในทัศนียภาพและอากาศก็มีมากด้วย
ที่นี่ยังมีทะเลทราย แต่พริบตาเดียวก็คือภูเขาหินรกร้าง หรือไม่ก็เป็นป่าหมอกที่มีปราการสลับซับซ้อนเป็นชั้นแล้ว
เซียวหยู่เซวียนกดปากแผลใหญ่ตรงหน้าอก หยุดฝีเท้า “กลิ่นอายที่นี่ชอบกล”
กู้ชูหน่วนชายตามอง ที่เข้าสู่คลองจักษุนั้นคือทุ่งหญ้าราบเรียบผืนหนึ่ง
ผิวพื้นมีเสียงครืนๆ ดังมาเป็นระยะ คล้ายหมื่นเดรัจฉานย่ำตะบึง
เพียงแต่ทิศทางที่หมื่นเดรัจฉานไปนั้นห่างจากพวกเขามากขึ้นทุกที ไม่มีทางที่จะพุ่งมาทางนี้ได้
“ยังเด็กโง่ เจ้าพาเจ้าเสือน้อยไปจากที่นี่ก่อนเถอะ จำไว้ล่ะ ไปทางทิศตะวันตก”
“ถึงอยากไปก็ไม่ทันแล้ว”
จากนั้นก็มีเสียงสัตว์คำรามดังขึ้นเสียงหนึ่ง ที่จุดไม่ไกลมีกระทิงตัวเขื่องสีดำน้ำตาลสองสามตัววิ่งตะบึงมา ฝุ่นตลบคละคลุ้ง
กระทิงตัวเขื่องมีทั้งหมดสามตัว หนึ่งในนั้นมีถึงเก้าเขา สายตาคมกริบ ปากพ่นภาษามนุษย์ ส่วนอีกสองตัวมีสี่เขา ล้อมพวกกู้ชูหน่วนเป็นสามเหลี่ยม
กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนพากันตกตะลึงครู่หนึ่ง
พวกเขาเห็นกระทิงยักษ์เก้าเขาเป็นครั้งแรก
“กระทิงไฟเก้าเขา” เซียวหยู่เซวียนเอ่ยเสียงหนัก
กระทิงไฟเก้าเขาอวดดีมาก ทำท่าทำทางหยิ่งทะนงตัว
“เจ้ามนุษย์ ยังนับว่าเจ้าตาแหลม แต่พวกเจ้าพันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรบุกรุกเข้ามาในถิ่นของข้า และไม่ควรอยากได้ของวิเศษของข้าด้วย”
กู้ชูหน่วนตอบ “เสี่ยวเซวียนเซวียน เจ้าอสูรกระทิงสามตัวนี้ระดับอะไร?”
“กระทิงไฟเก้าเขาอยู่ในระดับสี่ขั้นสูง อีกสองตัวฝีมือก็ถึงระดับสามแล้ว”
“ก็แค่ระดับสี่ ยังจะโอหังอะไรที่นี่อีก?”
‘เจ้าอสูรกระทิง’ ในตอนแรกของกู้ชูหน่วนทำให้กระทิงไฟเก้าเขาลำพองมาก รู้สึกอย่างยิ่งว่า ‘เจ้าอสูรกระทิง’ คำนี้ช่างโอ่อ่า เหมาะสมกับบุคลิกของเขา
ทว่าการเย้ยหยันและดูแคลนภายหลังของนางกลับกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างหนัก
“ก็แค่มนุษย์ระดับสอง ถึงกับกล้าลบหลู่ข้า วันนี้หากไม่อัดเจ้าเป็นโจ๊ก ข้าก็ไม่ใช่กระทิง”
“เฮอะ อีแค่กระทิงโง่ตัวหนึ่ง ต่อให้พูดภาษาคนได้แล้วจะอย่างไร เชื่อไหมว่าข้าปล่อยลูกเสือตัวเดียวก็ชกเจ้าคว่ำได้แล้ว”
“โอหัง”
“เช่นนั้นก็มาประลองกันสักยกสิ?”
“น้องสาม ไป อัดหนึ่งชายหนึ่งหญิงกับเจ้าลูกเสือของนางให้เป็นโจ๊กไปเลย วันนี้ข้าต้องการกินมันสมองของพวกเขา”
กระทิงไฟสี่เขาตัวหนึ่งรับคำ จากนั้นสองขาเอนไปด้านหน้า ขาหลังยกขึ้น เขาทั้งสี่พุ่งออกมา เปลวเพลิงอันร้อนแรงลุกโหมตามการพุ่งของตัว แยงตาจนพวกเขาแทบลืมตาไม่ขึ้น
กู้ชูหน่วนโยนเจ้าเสือน้อยออกไป ส่วนตนก็หาตำแหน่งสบายหนึ่ง ดึงเซียวหยู่เซวียนนั่งลงอย่างอ้อยอิ่ง ชมวิวทิวทัศน์แห่งท้องทุ่งแบบสบายใจเฉิบ
ข้างใบหูคือเสียงเยาะหยันของกระทิงไฟเก้าเขา
“แค่ลูกเสือเกิดใหม่ตัวเดียว ยังกล้าโยนออกมาให้ขายหน้าอีก คืนนี้ข้าจะกินเนื้อลูกเสือ”
“พู่…”
“ตุบ…”
ถ้อยคำของกระทิงไฟเก้าเขาเพิ่งสิ้นสุดลง มันก็ลอยลิ่วกลับไป ร่างกายถูกไฟคลอก หวิดจะเผาตัวเองจนสุก
มองดูหัวเล็กๆ ของเจ้าเสือน้อยที่กำลังมองกระทิงไฟสี่เขา ท่าทางเซ่อซ่าน่าเอ็นดู
นี่…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
น้องสามปล่อยไฟแต่ไม่ระวังเผาถูกตัวเอง?