อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1013 การพบกันระหว่างศัตรูผู้แข็งแกร่ง
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1013 การพบกันระหว่างศัตรูผู้แข็งแกร่ง
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ยัยขี้เหร่เป็นใคร?”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กระตุกร่างงู ใบหน้าหลบหลีก “ข้า…ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่ใช่รู้จักกับเขามาก่อนหรือ? ทำไมถึงไม่รู้?”
“ข้าไม่สนิทกับเขา อีกอย่าง…ข้ารู้เรื่องของเขาไม่มาก ข้าแค่ชอบตามเขา กินของเขาเท่านั้น”
กู้ชูหน่วนไม่เชื่อคำพูดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สักคำ
แต่นางพอเดาออก ว่ายัยขี้เหร่ที่เซียวหยู่เซวียนละเมอน่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยเอ่ยถึงเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา แต่ยามที่ตระกูลเขาถูกกวาดล้างนางกลับไปปกป้องคนอื่น ไม่แยแสเขา
ฝนตกหนักมากขึ้นทุกที
กู้ชูหน่วนแบกเขาไปหาที่หลบฝนด้วยความยากลำบาก
หยางโม่ช่วยพยุงด้วย
สองบุรุษ หนึ่งสตรี กับหนึ่งพยัคฆ์ หนึ่งอสรพิษบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ ประคับประคองกันเดินหน้าท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่
ในที่สุดพวกเขาก็พบกับถ้ำหนึ่ง
หยางโม่หนาวจนสั่นพั่บๆ ไม่ทราบเก็บฟืนได้จากที่ไหนกองหนึ่ง หยิบกระบอกไฟคิดจะจุด
แต่ฟืนเปียกหมดแล้ว จุดไม่ติด
ยังเป็นเจ้าเสือน้อยใช้กำลังเฮือกสุดท้าย เผาฟืนจนแห้ง แล้วพ่นไฟออกมาทีหนึ่ง จุดฟืนให้ลุกไหม้
หลังจากกู้ชูหน่วนเข้าถ้ำแล้วก็สาละวนทำแผลให้เซียวหยู่เซวียน
เขามีแผลมากเหลือเกิน กู้ชูหน่วนเกรงว่าจะล่าช้า จึงได้แต่ทำแผลอย่างง่ายๆ
หลังจากทำแผลเสร็จ กู้ชูหน่วนจึงเห็นพวกเจ้าเสือน้อยอ่อนระโหยโรยแรง พิงผนังถ้ำอย่างหมดกำลัง รูเลือดบนตัวเป็นที่ปวดใจ
หนึ่งพยัคฆ์หนึ่งอสรพิษไม่มีชี่ทิพย์และกระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ดูซมมากอย่างเห็นได้ชัด
กู้ชูหน่วนรีบเอายาให้พวกมันกินพร้อมกับห้ามเลือดให้พวกเขา
“ข้าทำแผลที่ค่อนข้างรุนแรงให้พวกเจ้าแล้ว จุดที่เจ็บไม่มากพวกเจ้าทำแผลเองนะ ข้าต้องรีบไปหาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีในส่วนลึกของโบราณสถาน เซียวหยู่เซวียนทนได้อีกไม่นานแล้ว”
หยางโม่นึกว่ามู่หน่วนทำแผลให้สองตัวนั้นเสร็จจะมาทำแผลให้เขา
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะแค่โยนยาให้เขาสองสามขวด จากนั้นก็กัดฟัน ถอนลูกศรทั้งหมดบนร่างตัวเอง
ครั้นดึงออก เลือดสดสาดกระเซ็นรอบด้าน นางไม่ขมวดคิ้วสักนิด แค่ฉีกเสื้อผ้าของตัวเองทำแผลพลางใส่ยา
หยางโม่เห็นแล้วยังรู้สึกเจ็บแทนนาง
ลูกศรเหล่านั้นปักลึก แล้วยังมีหนามอีก
ทำไมนางไม่ร้องสักแอะเลยนะ
ถ้าไม่เห็นว่านางเหงื่อกาฬไหลพราก หยางโม่ยังนึกว่านางไม่เจ็บเสียด้วยซ้ำ
เขาคือองค์ชายคนหนึ่ง เคยบาดเจ็บหนักขนาดนี้เมื่อไรกัน ทีแรกอยากร้องโอดโอย แต่คนเขาเป็นอิสตรีอ่อนแอยังไม่ขมวดคิ้ว แล้วเขาจะกล้าสำออยได้อย่างไร
“หยางโม่ รบกวนเจ้าดูแลเซียวหยู่เซวียน เจ้าเสือน้อยกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ด้วย”
“เจ้าเจ็บหนักอย่างนี้ จะไปที่นั่นอย่างไร?”
“ข้าต้องไป”
“ในใจเจ้า เซียวหยู่เซวียนสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอน เขาเป็นสหายที่ข้ายอมรับ”
แค่สหาย?
แค่สหายไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง?
เจ้าเสือน้อยกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พยายามจะลุกขึ้น อยากตามนางไปด้วย
กู้ชูหน่วนเอ่ย “พวกเจ้ารักษาแผลให้หายก่อน เอาไว้หายแล้วถึงจะปกป้องข้าได้ อีกอย่าง…ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะกลับมาอีกหรือเปล่า ถ้าพวกเขากลับมาแล้วเซียวหยู่เซวียนจะทำอย่างไร? พวกเจ้าต้องอยู่คุ้มครองพวกเขา”
“ซี่ๆ… แต่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีมีสัตว์วิเศษระดับเจ็ดเฝ้ารักษาอยู่ข้างๆ ระดับเจ็ดเชียวนะ…”
“นายหญิงเสือน้อยจะไปกับท่าน ให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยู่คุ้มครองเซียวหยู่เซวียนก็พอแล้ว”
“นี่คือคำสั่ง…”
กู้ชูหน่วนไม่ยอมให้ขัด ใช้น้ำเสียงออกประกาศิตสั่งการ
เจ้าเสือน้อยกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยังคงเป็นห่วง แต่ก็จำต้องอยู่คุ้มครองเซียวหยู่เซวียนตามคำสั่ง
หยางโม่เอ่ย “เจ้ารู้ภาษาสัตว์จริงๆ ด้วย เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์”
“เจ้าห่วงตัวเองเถอะ”
ฝนด้านนอกยังคงตกหนัก กู้ชูหน่วนสะพายกระบี่คู่ไขว้หลัง ก้าวเท้าเข้าส่วนลึกของโบราณสถานเพียงลำพัง
เสื้อผ้าบนกายมีเลือดซึมแดงฉานนานแล้ว แม้จะถูกชะล้างด้วยสายฝน แต่ก็ไม่เห็นสภาพเดิมแล้ว
อีกทั้งเสื้อผ้านางยังถูกพายุเชือดเฉือนและคมอาวุธเกี่ยววิ่นไปมาก จะดูอย่างไรก็ซอมซ่อเหมือนยาจก
นางบาดเจ็บหนัก ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมุ่งมั่น เงาแผ่นหลังเด็ดเดี่ยว ไม่ต้องสงสัยเลย ภาพนี้สะเทือนใจหยางโม่เป็นอย่างมาก
เขามองเซียวหยู่เซวียนด้วยความอิจฉา
“มีหญิงสาวผู้รู้ใจ จริงใจอยู่ร่วมเป็นร่วมตายด้วย เจ้าช่างเป็นสุขนัก โชคดีด้วย”
ระหว่างทางในส่วนลึกของโบราณสถาน
กู้ชูหน่วนเห็นสัตว์อสูรระดับสูงจำนวนมากวิ่งตะบึงไปด้าน หน้าบ้างเป็นฝูง บ้างเป็นกลุ่ม
บ้างบุกเดี่ยว ปากส่งเสียงคำรามไม่หยุด เป็นภาพที่ชวนให้ตื่นตะลึง
นอกจากพวกสัตว์อสูรแล้ว ยังมีกลิ่นอายทรงพลังหลายสาย
นางซ่อนตัวอยู่ในจุดลับ กลิ่นอายทรงพลังเหล่านั้นแผ่ออกมาจากตัวผู้อาวุโสของแต่ละชนเผ่ากับเจ้าบ้านทั้งหลาย แม้แต่ราชนิกุลก็พากันเข้ามาด้วย
สัตว์อสูรและยอดฝีมือทั้งหลายเข้าประตูใหญ่ส่วนลึกของโบราณสถาน ทั้งสองอยู่ในสภาวะเผชิญหน้ากัน ต่อสู้จนภูเขาสั่นสะเทือน ศิลาทรายบิน
ครั้นคลื่นจิตสังหารทรงพลังคลี่ออกไป มนุษย์และสัตว์อสูรระดับต่ำจำนวนหนึ่งจึงถูกผ่าออกเป็นสองซีก จบชีวิตในทันที
แม้แต่ต้นไม้ก็ล้มลงไปเป็นทิวแถว
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าพวกเขาเข้ามาหาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีหรือไม่
นางรู้แต่เพียงตัวเองจะไม่ได้อะไรเลยจากท่ามกลางสัตว์อสูรและยอดฝีมือจำนวนมากนี้
“ครืน…”
นอกจากทางนี้ ภูเขาทางซ้ายก็มีเสียงปะทะดังมาด้วย
สถานการณ์การต่อสู้ทางนี้ก็พอให้หวาดหวั่นแล้ว
แต่การต่อสู้ทางภูเขาด้านซ้ายแทบไม่อาจบรรยายได้ด้วยภาษา
ภูเขาด้านนั้นถูกทำลายไปเป็นลูกๆ พริบตาเดียวยอดภูก็พลังทลายลงมาหมด
ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี
กู้ชูหน่วนจ้องภูเขาทางนั้นเขม็ง
ฝนใหญ่เทสาดลงมา
ฝนที่ตกหนักเหล่านั้นราวกับถูกความเย็นเคลือบไว้กลายเป็นเสาน้ำแข็ง เสาน้ำแข็งนั้นยังคงมีอานุภาพร้ายแรง โจมตีไปทางด้านหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง
นางตะลึงงัน
นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือขนานแท้กระมัง?
ไม่เพียงแต่นางที่ตกตะลึง
เจ้าบ้านและสัตว์อสูรที่กำลังห้ำหั่นกันทั้งหลายก็พลอยชะงักการต่อสู้ด้วย จับจ้องภูเขาที่อยู่ไกลๆ แต่ละคนต่างร้องตกใจ
“สวรรค์ จิตสังหารแกร่งมาก? ฝีมือนี้อย่างน้อยต้องถึงระดับหกขั้นสูงแล้วกระมัง? พวกเราทวีปปิงหลิงมีใครมีฝีมือถึงระดับนั้นบ้าง?”
“เหมือนว่าจะไม่มีใครถึงระดับนั้นนะ”
“ควบคุมฝนแล้วทำให้กลายเป็นอาวุธโจมตีศัตรูได้ นี่…นี่จะน่ากลัวไปแล้ว”
“ก็นั่นนะสิ แล้วเขาก็ไม่ได้ควบคุมหยาดฝนไม่กี่เม็ด แต่เป็นฝนห่าใหญ่ทั่วท้องฟ้า”
กู้ชูหน่วนเงยหน้า เห็นหยาดน้ำฝนตรงหน้าตัวเองเหินไปทางภูเขาลูกนั้นราวกับมีปีก
และที่ทำให้พวกเขาทึ่งกว่าเดิมก็คือ
ครั้นหยาดฝนเปลี่ยนรูป ก็เกาะกลุ่มรวมเป็นมังกรวารีผงาดสูง แล้วยังถึงกับส่งเสียงร้องได้ด้วย
นอกจากมังกรวารีตัวนี้ ยังมีหงส์ไฟอีกตัวหนึ่ง
หงส์ไฟสบายปีกเหินหาวขึ้นสูง ร้องเสียงดังไม่สิ้นสาย
หนึ่งมังกรหนึ่งหงส์ ตามการต่อสู้ของพวกมัน ยอดเขาถูกทำลายลงทีละลูกอีกครั้ง แม้แต่ตรงที่พวกเขาอยู่ก็สั่นคลอนด้วย
กู้ชูหน่วนไม่ลังเลอีกต่อไป ทะยานตัวโผพุ่งไปทางยอดเขาลูกนั้นทันที
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกว่าคนที่อยู่ระดับหกขั้นสูง หากกินดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีลงไปจะสามารถบรรลุขึ้นระดับเจ็ดได้
และสองคนที่กำลังห้ำหั่นอยู่ทางนั้นก็มีฝีมือระดับนั้นเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขาแย่งชิงกันได้ ก็มีแต่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีแล้ว
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีของจริงอยู่บนภูเขาทางซ้าย