อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1014 นี่คือความอัปยศ
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1014 นี่คือความอัปยศ
ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาทางซ้าย จิตสังหารก็ยิ่งทวีความรุนแรง กู้ชูหน่วนถูกกดดันจนจะย่างเท้ายังลำบาก
หากเดินหน้าต่อไป อวัยวะนางต้องถูกอัดเละแน่
อุณหภูมิกลางอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ประเดี๋ยวเย็นเข้ากระดูก หนาวจนนางสั่นพั่บๆ
ประเดี๋ยวร้อนราวกับเตาเผา แผดเผานางจากเหงื่อร้อนไหลซิกๆ
ครั้นมองดูยอดภูเขาในละแวก ประเดี๋ยวก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แม้แต่เดรัจฉานทั้งหลายยังถูกความเย็นทำให้แข็ง
ประเดี๋ยวต้นไม้ก็เผาไหม้ขึ้นมาเฉยๆ เดรัจฉานเหล่านั้นก็ถูกย่างกลายเป็นเนื้ออันโอชะ
กู้ชูหน่วนไม่อาจจินตนาการได้เลย ฝีมือของสองคนที่กำลังรบรากันอยู่จะเปลี่ยนแปลงถึงขนาดไหน
หนึ่งมังกรหนึ่งหงส์บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย กลายเป็นความว่างเปล่า ทว่าศึกใหญ่ยังคงดำเนินต่อ
กู้ชูหน่วนไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
ได้แต่รอโอกาสอย่างสงบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงศึกเดือดค่อยๆ เบาบางจนเงียบไป และแทนที่ด้วยหมอกขาวกลุ่มหนึ่ง
หมอกมีพิษ
กู้ชูหน่วนเชี่ยวชาญการแพทย์ชำนาญเรื่องพิษ นางพลันปิดจมูก แล้วเอายาเม็ดหนึ่งออกมากิน
กระทั่งศึกใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว
และจิตสังหารไม่อบอวลรอบกายนาง
กู้ชูหน่วนจึงขึ้นหน้าต่อ
ตลอดทางที่ผ่าน ตรงพื้นเป็นหลุมใหญ่ขนาดหนึ่งเมตรหลุมแล้วหลุ่มเล่า ร่องรอยการเผาไหม้ก็ยังอยู่ ดินโคลนจำนวนมากถูกเผาจนกลายเป็นสีแดงเพลิง
นางเดินต่อไม่หยุด สุดท้ายจึงแล้วเห็นสองคนนั้น
ด้วยความบังเอิญเหลือเกิน นางรู้จักพวกเขาทั้งสองคน
“เจ้าผีเสื้อ ชายสวมหน้ากาก…”
ครั้นสิ้นเสียง กู้ชูหน่วนก็รีบปิดปาก แทบอยากตีปากตัวเองเสียงจริง
ให้ตายสิ ตอนที่อยู่ต่อหน้าเจ้าผีเสื้อนางปิดหน้าอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ปิดหน้า นางทำกับเขาอย่างนี้ เขาจะไม่ฆ่านางหรือ
และเป็นอย่างที่คิด พอเวินเส้าหยีเห็นกู้ชูหน่วน จิตสังหารก็แล่นปราดผ่านดวงตาไปทีหนึ่ง
กู้ชูหน่วนคิดจะหนีทันที แต่วิ่งไปสองสามก้าวก็ย้อนกลับมาอีก
เจ้าผีเสื้อกับชายสวมหน้ากากเจ็บทั้งคู่ เหมือนยังถูกพิษด้วย ตอนนี้นอนแบ็บอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น แล้วนางจะหนีทำไม?
กู้ชูหน่วนย้อนกลับไปสำรวจพวกเขา
แม้พวกเขายังสวมหน้ากากอยู่ แต่ลมหายใจรวยริน บาดเจ็บภายในสาหัส
ที่นี่ระเกะระกะไปหมด ที่ไม่ไกลมีหางจิ้งจอกที่ขาดอยู่สองพวง
หางจิ้งจอกทั้งยาวทั้งใหญ่ และไม่ทราบว่ามีอายุเท่าใดแล้ว
หรือว่าสัตว์วิเศษระดับเจ็ดที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกก็คือจิ้งจอกตัวนี้?
ใกล้ๆ กับหางจิ้งจอกมีดอกบัวบานสะพรั่งดอกหนึ่ง ส่องแสงสนธยาเจ็ดสีระยิบระยับ
กู้ชูหน่วนพลันดีใจ
“นี่ก็คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีหรือ?”
นางยื่นมือคิดจะเด็ด แต่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีกลับมีพิษร้าย
กู้ชูหน่วนรื้อขวดยาจากในกองออกมาขวดหนึ่ง เทน้ำในนั้นลงบนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี จากนั้นพิษนั้นก็ถูกนางขจัดไปในพริบตา
ต่อให้ฝันนางก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีมาเร็วอย่างนี้
เดิมยังนึกว่าต้องทุ่มเทครึ่งชีวิตจึงจะได้มาเสียอีก
“หากเจ้ากล้าเอามันไป รับรองว่าข้าจะให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย” เย่จิ่งหานกัดฟันเตือน
เพื่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีดอกนี้ เขาต่อสู้จะเป็นจะตายกับเวินเส้าหยีอยู่ที่นี่ ทั้งยังใช้พลังยุทธ์หมดไปกับเจ้าจิ้งจอกอีก ตอนนี้กลับถูกคนเด็ดไปหน้าตาเฉย เขาจะยอมได้อย่างไร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาติดอยู่กับระดับหกขั้นสูง อย่างไรก็ขึ้นระดับเจ็ดไม่ได้
นี่คือโอกาสเดียวของเขา
สีหน้าเวินเส้าหยีก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเย่จิ่งหาน
จิ้งจอกเก้าหางระดับเจ็ดยังไม่ตาย แค่ถูกพวกเขาใช้แผนการทำให้เจ็บหนักหนีไปเท่านั้น หากมันย้อนกลับมาอีก ก็อาจโจมตีพวกเขาได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นทุกคนต้องตายแน่
สามปีมานี้ เขาจะขึ้นระดับเจ็ดหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกที
เขาต้องได้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีมาขึ้นระดับเจ็ดให้ได้ แล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
นั่นคือโอกาสเดียวที่เขาจะขึ้นระดับเจ็ด
หลังจากกู้ชูหน่วนตรวจสอบแน่ชัดว่าพวกเขาถูกพิษเนื้อตัวขยับไม่ได้แล้วก็โล่งอก
“ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีอยู่ในมือข้า แน่จริง เจ้าก็มาแย่งไปสิ”
เย่จิ่งหานอดกลั้นต่อความโกรธอย่างหนัก กัดฟันกรอด “ถ้าอยากเพิ่มพลังยุทธ์ ข้ามีหลายวิธีที่ช่วยเจ้าได้ เจ้าไม่ต้องกินสิ่งนี้ ขอเพียงเจ้ามอบมันให้ข้า แล้วช่วยถอนพิษให้ข้า ข้าก็จะรับปากเงื่อนไขเจ้าทั้งหมด”
“เจ้าเห็นข้าโง่หรือ? ถ้าข้าช่วยเจ้าถอนพิษจริง เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือ? ชายสวมหน้ากาก เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนบังคับขู่เข็ญข้าอย่างไร?”
เย่จิ่งหานสีหน้าย่ำแย่
นางจะหัวไม้เกินไปแล้ว
เจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่ง
“ถ้าวันนี้เจ้าช่วยข้า ที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นอันหายกัน”
“เจ้านึกว่าข้าโง่หรือ”
จากการสนทนาของพวกเขา เวินเส้าหยีฟังออกว่าพวกเขาขัดแย้งกัน
เอ่ยอย่างสุภาพ “แม่นาง เย่จิ่งหานถูกพิษขยับไม่ได้ ถ้าเจ้าช่วยข้าฆ่าเขา ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ
กู้ชูหน่วนทอดสายตาดูแคลนให้เขา ยิ้มเยาะ “เจ้าเห็นข้าเป็นพวกสอดแนมที่คนซื่อบื้อส่งมาหรือ?”
เวินเส้าหยีผงะ
กู้ชูหน่วนกล่าวต่อ “ข้าช่วยเจ้าฆ่าเขา แล้วโลกนี้ยังมีใครคานสมดุลกับเจ้าได้อีก? กลัวแต่พอชายสวมหน้ากากตายไปแล้ว ข้าก็จะเป็นคนที่สองที่ต้องตาย”
เวินเส้าหยี “…”
คำพูดพวกเจ้ากลับเตือนสติข้า ฝีมือพวกเจ้าถึงระดับหกแล้วกระมัง? ระหว่างเรามีความขัดแย้งบ้างมากบ้างน้อย ตอนนี้ของยังชิงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีไปอีก เกิดต่อไปพวกเจ้าขจัดพิษแล้วตามมาล้างแค้นกับข้า
“ฉะนั้น…”
“ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าโทษที่ข้าใจดำอำมหิต ผู้ลงมือก่อนคือฝ่ายได้เปรียบ”
สายตากู้ชูหน่วนพลันเหี้ยม ชักกระบี่ยาวจากหลังออกมา แล้วเล็งไปที่เวินเส้าหยีก่อน
“จะโทษก็ต้องโทษที่พวกเจ้าแกร่งเกินไป”
เวินเส้าหยีเสียงเย็น “ทางที่ดีเจ้าตรึกตรองให้รอบคอบก่อน ถ้าข้าตาย ต่อให้เจ้าหนีสุดหล้าฟ้าเขียว คนของข้าก็จะตามฆ่าเจ้าให้ถึงที่สุด”
“ป่าดงพงไพร ใครจะเห็นว่าข้าฆ่าเจ้า”
“ถ้าไม่อยากให้คนรู้ นอกเสียจากไม่ทำ”
ลูกตาสีดำตัดสีขาวชัดของกู้ชูหน่วนกลิ้งกลอก คล้ายกำลังชั่งน้ำหนักความสำคัญอยู่
ครู่หนึ่งแล้วนางก็เล็งกระบี่ไปที่เย่จิ่งหาน
เย่จิ่งหานหน้าขรึมเอ่ยเสียงหนัก “หาเรื่องเวินเส้าหยีไม่ได้ หรือว่าเห็นข้าหาเรื่องง่ายอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกเจ้ามันจอมมารเลื่องชื่อ ไม่ว่าใครก็หาเรื่องไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้น อย่างไรก็คือล่วงเกิน เช่นนั้นก็เอาชีวิตพวกเจ้าเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องคิดมากอีก”
กู้ชูหน่วนคิดจะกำจัดพวกเขาในคราวเดียว
แต่ไม่รู้เพราะอะไร กระบี่ถึงทรวงอกแล้ว แต่นางกลับเสือกลงไปไม่ลง
สติบอกนางว่าหากสองคนนี้ไม่ตาย ต่อไปนางจะต้องลำบากอีกมาก
แต่ความรู้สึกกลับทำให้นางลงมือไม่ลงอย่างแปลกประหลาด
นางคิดจะเสือกระบี่ลงไปหลายครั้งหลายคราแต่ก็ทำไม่ได้ โมโหจนทิ้งกระบี่ลงเสีย
“ข้าจะบอกพวกเจ้า สหายข้าคนหนึ่งกำลังเจ็บหนักอาการร่อแร่ ต้องการดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีช่วยชีวิต พวกเจ้าไม่ได้มัน อย่างมากก็แค่เพิ่มระดับไม่ได้ แต่ถ้าสหายข้าไม่ได้มันจะต้องจบชีวิต ฉะนั้นข้าต้องเอาของสิ่งนี้ไปแน่นอน”
“วันนี้ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า หวังว่าต่อไปพวกเจ้าก็อย่าทำให้เกินไปนัก”
นางประคองดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีแล้วจะจากไป
แต่นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมาอีก ดวงตากลมคู่นั้นกวาดมองพวกเขาไม่หยุด
มองจนเย่จิ่งหานกับเวินเส้าหยีขนลุกขนพอง ไม่รู้ว่านางจะทำอะไรอีก
“พวกเจ้าวรยุทธ์สูงส่งขนาดนั้น ถ้าถอนพิษได้แล้วตามข้ามาจะทำอย่างไร?”
“พอดีเลย เสื้อผ้าข้ากับสหายข้าขาดรุ่งริ่ง คงต้องยืมเสื้อผ้าพวกเจ้าแล้ว”
ว่าแล้วกู้ชูหน่วนก็เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าพวกเขา
เย่จิ่งหานกับเวินเส้าหยีล้วนเป็นผู้เก่งกล้าแห่งโลกหล้า ทั้งยังมีฐานะสูงศักดิ์ เคยถูกคนถอดเสื้อผ้าอย่างนี้เมื่อไร
ที่สำคัญที่สุดคือ นางผู้หญิงไร้ยางอายผู้นี้ถอดเสื้อผ้าพวกเขายังพอทำเนา แต่แม้แต่กางเกงตัวในสุดของพวกเขาก็ถอดด้วย ทำจนพวกเขาเนื้อตัวล่อนจ้อนดั่งทารกเกิดใหม่