อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1066 ใครกล้าแตะต้องนาง
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1066 ใครกล้าแตะต้องนาง
“ใครกล้าแตะต้องนาง”
เสียงอันเฉียบขาดเสียงหนึ่ง แค่เพียงบรรดาผู้คนได้ยินเสียงจิตใจก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
เงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา กลับเห็นชายหนุ่มสองคนในชุดทะมัดทะแมงสองคนเข็นรถเข็นเข้ามาจากที่ไกลๆ
ชายหนุ่มชุดสีม่วงผู้หนึ่งสวมหน้ากากผีนั่งอยู่บนรถเข็น
ชายหนุ่มชุดสีม่วงสง่างาม คิ้วคมดวงตาแจ่มใส ตาหูจมูกปากเป็นเค้าโครงโดดเด่น งดงามไม่เหมือนคนธรรมดา
เขาเล่นขลุ่ยหยกขาวที่อยู่ในมืออย่างเกียจคร้าน นัยน์ตาลึกล้ำ ราวกับสระลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง แม้ว่าจะนั่งเงียบๆอยู่บนรถเข็น แต่บนตัวของเขาแผ่กระจายราศีอันสูงศักดิ์ดั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งออกมา ราศีเช่นนี้แผ่กระจายออกมาจากกระดูกของเขา ราวกับมีมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่น
และการบีบคั้นอันมหาศาลนี้ก็แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเขา
ชายหนุ่มคนนี้ดูแล้วอายุพอๆกับเจ้าบ้านเวิน แต่ทำไมราศีถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้?
“เย่จิ่งหาน”
เจ้าบ้านไป๋หลี่แสดงความตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเย่จิ่งหานจะช่วยกู้ชูหน่วน
คนในสนามก็งงงัน
ไม่รู้ว่าเย่จิ่งหานเป็นผู้ใดกันแน่
แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าบ้านไป๋หลี่ เหมือนว่าจะหวาดกลัวเขามาก
“นางเป็นของข้า นอกจากข้า ไม่มีใครสามารถแตะต้องนางได้”
เย่จิ่งหานไม่ได้กำลังหารือ แต่เป็นคำสั่ง
ตั้งแต่ตั้งจนจบ เขาไม่เคยมองเจ้าบ้านไป๋หลี่อย่างจริงจัง ดวงตาอันลึกล้ำคู่นั้นเพ่งมองไปที่เวินเส้าหยีติดๆ
ราวกับว่าสนามอันกว้างใหญ่นี้ มีเพียงแค่เวินเส้าหยีเท่านั้นที่จะเป็นคู่ต่อกรของเขาได้
บ้าคลั่งเกินไปแล้ว
ท่าทางเช่นนี้ บ้าคลั่งยิ่งกว่ามู่หน่วนซะอีก
เจ้าบ้านไป๋หลี่ที่ถือดีว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนทั้งปวงมาโดยตลอดนั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เห็นผู้ใดในสายตาของเย่จิ่งหาน ก็กลับไม่ได้เปิดปากโต้แย้งเขา และยิ่งไม่ได้สร้างความลำบากใจให้แก่เขา คนไม่น้อยต่างพากันหงุดหงิด
แต่ประมุขพรรคไห่เทียนกลับกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ถ้าวันนี้เจ้ากล้าช่วยนาง ทั้งแคว้นปิงแม้กระทั่งทั้งทวีปปิงหลิงก็จะ…..ฟู่ว…….”
ยังไม่ทันพูดจบ เห็นเย่จิ่งหานสะบัดแขนเสื้อ ประมุขพรรคไห่เทียนก็ลอยกระเด็นกลับหลังออกไปในพริบตา กระดูกบนตัวสิบกว่าท่อนแตกหักไปพร้อมกัน เจ็บปวดจนทำให้เขาร้องโอดครวญอยู่ตลอด กระทั่งยังกระอักเลือดออกมาอยู่ตลอดอีกด้วย
ฟื้ด……
ทั้งสนามสูดหายใจด้วยความตกใจ ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสามก้าว
แข็งแกร่งมาก……
อย่างน้อยประมุขพรรคไห่เทียนก็เป็นประมุขของพรรคหนึ่ง แม้ว่าศักยภาพจะไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่
แต่เขา……
แค่กระบวนท่าเดียวของชายหนุ่มผู้นี้ก็รับไว้ไม่ได้
ไม่ คนอื่นเขาแค่โบกมือ ก็ตีจนเขากระเด็นไปแล้ว
และนี่……คนอื่นเขาก็เมตตาออมมือให้แล้วด้วย
หากว่าเขาไม่ได้เมตตาออมมือให้ เกรงว่าประมุขพรรคไห่เทียนก็คงจะตายไปนานแล้ว
ทุกคนตกใจ
แม้แต่เจ้าบ้านซ่างกวน เจ้าบ้านไป๋หลี่และคนอื่นๆก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งขนาดนั้น
มีเพียงเวินเส้าหยีที่บนใบหน้ายังคงแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
ราวกับว่าอยู่ในการคาดเดา
“ท่าน….ท่านเป็นผู้ใดกันแน่?” ไม่รู้ว่าใครในฝูงชนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสั่นเทา
เย่จิ่งหานยังคงมองดูเวินเส้าหยี ในมือเล่นขลุ่ยหยกขาวอย่างเกียจคร้าน มุมปากบางๆอันเย็นยะเยือกพ่นประโยคหนึ่งออกมาเบาๆ “แต่ไหนแต่ไรมาเปิ่นหวางจะไม่พูดเป็นครั้งที่สอง” (“เปิ่นหวาง”เป็นคำที่เชื้อพระวงศ์ใช้เรียกตัวเอง)
เปิ่นหวาง?
เขาเป็นคนในเชื้อพระวงศ์?
ทุกคนมองไปทางเสด็จอาเสวี่ยและหยางโม่พร้อมกัน
สีหน้าเสด็จอาเสวี่ยเต็มไปด้วยงงงัน
สีหน้าของหยางโม่ก็เต็มไปด้วยงงงันเช่นกัน
เหมือนว่าคนในเชื้อพระวงศ์จะไม่มีบุคคลผู้นี้อยู่?
หากว่ามี ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้?
เสด็จอาเสวี่ยกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชาย……ท่านนี้ ไม่รู้ว่าท่านสืบทายาทแบบสันตติวงศ์จากท่านอ๋องที่มีบรรดาศักดิ์ใด?”
“ไม่ได้สืบทายาทแบบสันตติวงศ์”
“ไม่มีการสืบทายาทแบบสันตติวงศ์ เช่นนั้นท่านคือ……”
เย่จิ่งหานกล่าวเบาๆ “เอาตัวนางไป”
เสด็จอาเสวี่ยเป็นถึงเสด็จอาเพียงคนเดียวของเชื้อพระวงศ์ ตำแหน่งสูงอำนาจมากมาย มีเกียรติสูงศักดิ์
แต่เขา……กลับ…….เพิกเฉยต่อเสด็จอาเสวี่ยแล้ว
ไม่เพียงไม่แยแสเขาเท่านั้น ยังจะไม่สนใจคนทั้งโลกด้วย
เจ้าบ้านไป๋หลี่ไม่ได้มีความหยิ่งผยองพองขนเหมือนก่อนหน้านี้ ท่าทีมีความอ่อนโยนเล็กน้อย “คุณชายเย่ ผู้หญิงคนนี้มีวิชามนต์ดำ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาทำลายโลก พวกเราจำเป็นต้องกำจัดนาง”
“เจ้าบ้านไป๋หลี่ คำพูดของข้าเข้าใจยากมากหรือ?”