อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1113 สิ่งที่ข้าอยากได้
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1113 สิ่งที่ข้าอยากได้
“ไป่หนิงยังไม่เข้าใจ มู่หน่วนมีวิทยายุทธ์เพิ่มสูงขึ้น พวกเราจะได้ประโยชน์อะไร”
ราชินีมองที่ห้องลับในห้องนอน พร้อมยิ้มอย่างมีเลสนัย
“วิทยายุทธ์ของนางไม่สูงขึ้น แล้วจะหาของที่ข้าอยากได้มาได้ยังไง”
“ราชินีต้องการอะไร ข้าน้อยให้คนไปตามหา”
ซั่ว…..
สายตาราชินีหันมามองอย่างเฉียบคม
ไป่หนิงคุกเข่าลง พร้อมพูดขึ้นอย่างหวาดกลัวว่า “ราชินีโปรดอภัย ไป่หนิงผิดไปแล้ว ไป่หนิงไม่ควรพูดมาก”
“เรื่องบางเรื่องยิ่งรู้น้อยยิ่งดีต่อเจ้า”
ราชินีเชยคางของนางขึ้นมา มุมปากยักยิ้ม
“เพคะ ไป่หนิงล้ำเส้นไปแล้ว”
“คืนนี้ ให้ซ่างกวนหมิงหลาง ฝูกวง เลว่อิ่งสามคนมีพร้อมกัน”
“เพคะ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“ไม่รีบ ข้าจำได้ว่า ข้ากับหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่น ก็คือเจ้าบ้านตระกูลเวินหมั้นกันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วใช่ไหม?”
“เพคะ”
ยกเว้นบุคคลสำคัญบางส่วนในราชวงศ์
ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลเวินเป็นเพียงส่วนย่อยอันหนึ่งของเผ่าเทียนเฟิ่นเท่านั้น
แม้แต่นางก็ไม่ค่อยเข้าใจเผ่าเทียนเฟิ่น
เผ่าเทียนเฟิ่นไม่เคยปรากฏต่อหน้าผู้คน
แต่เท่าที่นางรู้ เผ่าเทียนเฟิ่นจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ ต่อให้ทั้งสามตระกูลใหญ่รวมตัวกัน ก็เทียบกับพวกเขาไม่ได้เพียงนิด
“ข้าจำได้ว่า ข้าเอาเสื้อชุดหงส์ส่งไปยังตระกูลเวินแล้วใช่ไหม”
“เพคะ…..”
“แล้วทำไมจนถึงตอนนี้ ตระกูลเวินยังไม่ตอบอะไรกลับมา…..”
“ข้าน้อยเร่งแล้วหลายครั้ง แต่ทางด้านตระกูลเวินพูดว่า เจ้าบ้านตระกูลเวินไม่เคยปรากฏตัว ทำให้….ช้าแล้วช้าอีก”
“ไปเร่งอีก หากเวินเส้าหยีไม่ตอบ ก็ไปกดดันผู้อาวุโสคนอื่น ข้าไม่เชื่อว่า เขาจะกล้าขัดพระราชโองการของข้า”
“เพคะ….”
ภายในหอกระบี่
ไฟแห่งความโกรธของเย่จิ่งหานเพิ่มแล้วเพิ่มอีก
“ไหนบอกว่าจะช่วยรักษาขาของข้าไม่ใช่หรือ? ไหนบอกว่าจะรักษาบาดแผลของข้าให้หายภายในเวลาอันสั้นที่สุดไม่ใช่หรือ?”
นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว
นางไม่รักษาขาของเขาเลย
และก็ไม่ได้ตั้งใจรักษาบาดแผลของเขา
จนถึงตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขายังคงสาหัสอย่างมาก
ส่วนนาง ไม่ตั้งใจเพิ่มพลังของตนเองก็หลอมยา ไม่สนใจเขาเลย
กู้ชูหน่วนสูดลมหายใจเข้าออก ถึงจะอยู่ภายใต้การชี้แนะของเย่จิ่งหาน วิทยายุทธ์เพิ่มขึ้นแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังห่างไกลเป้าหมายของนางอย่างมาก
อยากไปถึงระดับเจ็ด เกรงว่ายากยิ่งกว่าปืนขึ้นสววรค์
กู้ชูหน่วนพูดขึ้นว่า “ใจร้อนไปทำไม ถึงเวลารักษาก็จะรักษาเอง”
“กู้ชูหน่วน เจ้ารู้ไหมว่านี่ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว”
“รู้”
“งั้นเจ้ายังไม่รีบรักษา? หากวันนี้ไม่เห็นผลอะไร เจ้าก็อย่าหวังที่จะให้ข้าชี้แนะให้เจ้าเพิ่มพลังขึ้นอีก”
ไม่พูดเรื่องนี้ยังดี เมื่อพูดขึ้นมากู้ชูหน่วนก็โกรธโมโหขึ้นมาทันที
สิ่งที่เย่จิ่งหานช่วยให้นางเพิ่มพลัง ก็คือให้นางฝึกวิชาต้องห้าม
ซึ่งวิชาต้องห้าม คนปกติล้วนไม่กล้าฝึกฝน
เพราะหากประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เสียสติ บาดเจ็บสาหัส พิการ หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
และวิชาต้องห้ามนี้ ทุกครั้งที่เลื่อนขั้น กระดูกทั้งร่างเหมือนถูกบดขยี้ เจ็บปวดอย่างแทบตายทั้งเป็น
หลายวันมานี้ ความเจ็บปวดที่นางต้องทนรับ ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
หากไม่ใช่เพราะมีความแค้นค้ำจุนนางไว้ นางปล่อยวางแต่แรกแล้ว จะทนได้ถึงตอนนี้หรือ
หากเป็นไปได้ ชั่วชีวิตนี้นางไม่อยากที่จะฝึกวิชาต้องห้ามอีก
“เย่จิ่งหาน นอกจากวิชาต้องห้าม เจ้ายังมีวิธีอื่นเพื่อเพิ่มพลังไหม?”
“เวลาเพียงหนึ่งเดือน จากขั้นต้นระดับสามไปถึงขั้นสูงสุดระดับสี่ นอกจากวิชาต้องห้าม เจ้าคิดว่ายังจะมีวิธีไหนที่สามารถทำได้? สูบพลังเข้าสู่ร่างกายเจ้าหรือ? ร่างกายของเจ้าสูบได้หรือ? ไม่กลัวกระอักตายหรือไง”
“เจ็บปวดมากเลย เจ้าเปลี่ยนวิธีอื่นเถอะ”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
“งั้นมีวิธีอะไรที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้บ้าง?”
“ไม่มี”
“เมื่อก่อนเคยมีคนฝึกวิทยายุทธ์แบบนี้ไหม?”
“มี ล้วนทนความเจ็บปวดไม่ไหว ฝึกได้ครึ่งหนึ่งก็ฆ่าตัวตายแล้ว”
ได้ยินแบบนี้ สีหน้ากู้ชูหน่วนมืดลงทันที
เย่จิ่งหานพูดขึ้นว่า “หากเจ้ากลัวเจ็บ ก็ล้มเลิกได้ ไม่มีใครบังคับเจ้า”
“ล้มเลิก? ในโลกนี้ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ผู้อ่อนแอทำได้เพียงทนต่อการถูกข่มเหงรังแก ข้าพึ่งพาได้เพียงตนเอง เจ็บปวดทรมานแค่ไหนข้าก็ต้องอดทนต่อไป”
เย่จิ่งหานรู้สึกเห็นใจนาง แต่ต่อหน้าเขากลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
เพียงแค่เม้นริมฝีปาก กลืนคำพูดที่อยากพูดกลับคืนไป
เขาขยับโซ่เหล็กสีอันที่ล่ามเขาไว้ คิ้วเข้มขมวดแน่น
ครึ่งเดือนกว่าแล้ว
ราชินีไม่เคยมาหอกระบี่เลย
ครึ่งเดือนมานี้มู่หน่วนใช้สิ่งของล้ำค่า กับเบ้าหลอมยาเป็นจำนวนมาก
พวกคนใช้ล้วนทำตามคำสั่ง ไม่มีใครเข้ามารบกวน
ต่อให้ราชินีใจกว้างแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ท้ายขนาดนี้
นางอยากทำอะไรกันแน่?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด มีสายตามืดมนจากหน้าต่างด้านซ้ายจ้องมองมาที่เขาและกู้ชูนวน
ถึงแม้จะเป็นเพียงแวบเดียว แต่เย่จิ่งหานก็เห็นอย่างแม่นยำแล้ว
การจ้องมองที่มืดมนนี้เกิดขึ้นทุกๆสองวัน เหมือนนายพรานคอยจ้องจับเหยื่อ เตรียมพร้อมที่จะล่าเหยื่อได้ทุกเมื่อ
เย่จิ่งหานกับกู้ชูหน่วนมองตากัน เขามองเห็นความสงสัยในตากู้ชูหน่วนเหมือนกัน นางเองก็คงเห็นตั้งแต่แรกแล้วแหละ
“เวลามีจำกัด จะรักษาก็ต้องไวหน่อย”
“ชีวิตของเจ้ารักษาไว้ได้แล้ว ส่วนอาการบาดเจ็บ…ค่อยๆรักษาก็พอ ส่วนขาของเจ้า ข้างในมีพิษเยอะ ข้าต้องถอนพิษก่อน หลังจากถอนพิษแล้ว ต้องทุบกระดูกหัวเข่าของเจ้าแล้วต่อใหม่”
“ทำไมจะต้องทุบ?”
“เพราะขาที่พิการเคยรักษามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่รู้ทำไมถึงพิการขึ้นมาอีก ตอนที่พิการได้กดทับกระดูก ทำให้กระดูกหัวเข่าของเจ้าตอนนี้ไม่ต่อกัน จำต้องทุบทิ้งแล้วต่อใหม่”
เย่จิ่งหานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ทุบกระดูกนั้นเจ็บปวดมาก หากเจ้าทนไม่ได้ ล้มเลิกตอนนี้ก็ยังทัน”
“สูญเสียอาหน่วนอย่างเจ็บปวดขนาดนั้นก็ผ่านมาแล้ว จะกลัวอะไรแค่ความเจ็บปวดจากการทุบกระดูก เจ้ารีบรักษาเถอะ”
“อย่าใจร้อน ทานยาเม็ดนี้ลงไปก่อน”
ไม่รอให้เย่จิ่งหานพูดตอบ กู้ชูหน่วนก็เอายาชั้นเลิศยัดเข้าปากให้เขาทานลงไป
เย่จิ่งหานโกรธจนกัดฟันกรอด
กู้ชูหน่วนไม่สนใจ
ฉลาดอย่างเย่จิ่งหาน ใช่ว่าเขาจะเดาไม่รู้ ราชินีรอคอยให้อาการเขาหายดี
เมื่ออาการเขาดีขึ้นแล้ว ราชินีต้องร่วมรักกับเขาแน่
ดังนั้น…..
อาการบาดเจ็บของเขาจะหายโดยเร็วไม่ได้
อย่างน้อยก่อนที่กำลังของนางยังเพิ่มพูนไม่เต็มที่ อาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้นไม่ได้
“ฟ้าใกล้มือแล้ว รอหลังจากค่ำมืดแล้วข้าค่อยเริ่มทุบกระดูก”
“ยังหากุญแจไม่เจอหรือ?”
“ยาก”
เย่จิ่งหานเงียบ
เมื่อเริ่มทุบกระดูก เขาก็จะยิ่งพิการ
ถึงตอนนั้นต่อให้ถูกปลดจากการถูกล่าม ก็ไม่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้
“ราชินีเสด็จ……”
ตามด้วยคำสั่งของขันที เสียงฝีเท้าเดินย่ำก็ดังมาจากนอกห้องนอน
ประตูห้องนอนถูกเปิด ราชินีมายังหอกระบี่ราวกับดาวล้อมเดือน
กู้ชูหน่วนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พร้อมถวายความเคารพ
“ข้าน้อยถวายบังคมราชินี ราชินีอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆปี”
“ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยราชินี”