อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1136 ข้ารู้ว่าจะทำลายอย่างไร
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1136 ข้ารู้ว่าจะทำลายอย่างไร
“คำสั่งเสียของบรรพชน? บรรพชนจากโลกนี้ไปแล้วเป็นร้อยเป็นพันปี หรือพวกเขายังสามารถออกมาจากโลงทำนายว่าอาโม่จะทำลายทวีปปิงหลิงได้อย่างนั้นหรือ”
“กฎของบรรพชนห้ามขัดขืน”
“ผู้เฒ่าหนิง ท่านเป็นคนเข้าใจเหตุผล แค่คำพูดเดียวของบรรพชน ท่านก็จะตัดสินความเป็นคนตายของคนคนหนึ่งง่ายๆ อย่างนี้แล้วหรือ นั่นคือชีวิตคนเป็นๆ คนหนึ่งเชียวนะ”
ผู้เฒ่าหนิงสะอึกจนพูดไม่ออก
เขาก็ไม่อยากให้เขาตาย แต่บรรพชนตระกูลหนิงกำชับหนักนา ว่าขอเพียงพบคนที่มีดวงตาต่างสี จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก
การที่บรรพชนกล่าวเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา
ไป๋หลี่หลิงก้าวออกมาข้างหน้า เอ่ยด้วยโทสะ “ตัวอัปมงคลก็คือตัวอัปมงคล ทุกคนต้องกำจัดมัน เจ้านังเด็กไม่รู้ความ กล้าสงสัยบรรพชนหรือ วันนี้ข้าจะสั่งสอนนังเด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแทนพ่อแม่ของเจ้า”
ไม่พูดถึงพ่อแม่ยังดี แต่พอพูดถึง ความโกรธเกรี้ยวในใจกู้ชูหน่วนก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
นางหัวเราะเยาะ “เจ้าก็คู่ควรหรือ”
“ปัง…”
ไม่รู้ว่าใครเริ่มลงมือก่อน ได้ยินแต่เสียงปังจากการปะทะของฝ่ามือ ลานบูชายัญใหญ่สั่นคลอน คนจำนวนมากกระทั่งยืนยังยืนไม่ติด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังหนัก พื้นสะเทือนอีกครั้ง
“อุ๊ก…”
ไป๋หลี่หลิงกระอักเลือดออกมา ถูกกู้ชูหน่วนเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ทุกคนตะลึงงัน
ไป๋หลี่หลิงเป็นถึงผู้อาวุโสหญิงที่มากด้วยประสบการณ์ของตระกูลไป๋หลี่ พลังของนางถึงระดับสี่ขั้นกลางนานแล้ว
หมอหญิงคนนี้แค่ระดับสี่ขั้นต้น
กลับสามารถเหยียบไป๋หลี่หลิงอยู่แทบเท้าหนักๆ ในสองสามกระบวนท่าได้ ทั้งยังใช้วิธีการเหยียดหยามคนอย่างนี้อีก?
ทว่าคนของตระกูลไป๋หลี่สีหน้าแย่ยิ่งกว่า
เป็นถึงผู้อาวุโสตระกูลไป๋หลี่ แต่กลับถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าต่อหน้ามวลชน ขยับเขยื้อนไม่ได้ ลมหายใจรวยริน กระดูกซี่โครงแตกลั่นเป็นเสียงกรอบแกรบ ไม่รู้ว่าหักไปกี่ท่อนแล้ว
และคนที่เหยียบนาง ดูแคลนใต้หล้า มีท่าทางเหมือนกวาดล้างปฐพี
สายตาแหลมคมจนน่ากลัว
หากไม่ได้เห็นกับตา พวกเขาจะไม่เชื่อเด็ดขาด แค่นังเด็กไม่รู้ความคนหนึ่ง กลับมีท่าทางสูงส่งน่าเกรงขามเช่นนี้
ฝูงชนเงียบลงทันที
กระทั่งจอมมารหัวร่อ ปรบมืออย่างชื่นชม “พี่สาวเก่งจังเลย พี่สาวองอาจจังเลย อาโม่ชอบพี่สาว”
เมื่อเห็นรอยยิ้มยินดีใสซื่อของจอมมาร อารมณ์โกรธของกู้ชูหน่วนก็ลดลงหลายส่วน เตะไป๋หลี่หลิงปลิวไปเหมือนเตะขยะชิ้นหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ
ไป๋หลี่หลิงอยากตายแล้ว
ขายหน้าหมดแล้ว
ไม่ฆ่านังคนนี้ นางจะไม่ยอมรามือเด็ดขาด
ไป๋หลี่หลิงเค้นคำพูดหนึ่งออกมาจากร่องฟัน “ฆ่า ฆ่าพวกมัน ห้ามเหลือแม้แต่คนเดียว ข้าจะถลกหนังเลาะเส้นเอ็นของพวกมัน”
ทันใดนั้นก็มีเงาคนนับสิบสายออกมาจากท่ามกลางฝูงคน ชักอาวุธเป็นประกายออกมาจะฆ่ากู้ชูหน่วน ไม่เหลือไมตรีแม้แต่น้อย
กู้ชูหน่วนยกมุมปากเป็นมุมโค้งเสียดสี ยันฝ่ามือหมุนตัว ไม่ถอยแต่กลับดาหน้าย้อนทาง ไม่ว่าผู้ที่มาเป็นใครก็โต้กลับไม่เว้น
ถ้านางแค่โต้กลับยังพอว่า แต่นางกลับไม่ทำอย่างที่ควรทำ อ้อมเงาร่างสิบสายนั้นมาถึงตรงหน้าไป๋หลี่หลิงด้วยความเร็วดั่งภูตผี ซัดกะโหลกศีรษะนางแตกแรงๆ
“อุ๊ก…”
ไป๋หลี่หลิงดับอนาถทันที ดวงตาเบิกโพลง ยังคงเป็นท่าทางตกตะลึงอย่างนั้น
ซี้ด…
ทุกคนต่างสูดลมเย็น
นังคนนี้จะเป็นศัตรูกับตระกูลไป๋หลี่แน่แล้วใช่หรือไม่
สังหารผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ เช่นนี้ตระกูลไป๋หลี่จะปล่อยนางไปได้หรือ
คนของตระกูลไป๋หลี่ต้องการยื่นมือเข้าช่วย แต่กู้ชูหน่วนเร็วเกินไป ทั้งยังไม่ทำอย่างที่ควร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันช่วย
กู้ชูหน่วนอาศัยตอนที่พวกเขากำลังอึ้ง โปรยผงพิษไปทางคนนับสิบที่ล้อมสังหารนางอยู่ แล้วลากซือโม่เฟยหนีออกไปตอนชุลมุน
“คิดจะหนีหรือ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
เจ้าบ้านไป๋หลี่หัวเราะเย็น รวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ แล้วซัดไปทางกู้ชูหน่วนที่จากไปไกลแล้วอย่างแรง
กู้ชูหน่วนคิดอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ อย่างนี้แน่
นางใช้มือขวาผลักจอมมาร พลางเอ่ย “ไป ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
อีกด้านหนึ่งก็ฝืนรับฝ่ามือบ้าบิ่นของเจ้าบ้านไป๋หลี่
เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือ นางรู้ว่าหลบไปก็ไม่มีประโยชน์ พลังฝ่ามือของเจ้าบ้านไป๋หลี่ต้องปิดทางหนีของนางแน่ มิสู้ลองสู้ดูสักตั้ง
หลังจากสองฝ่ามือปะทะกัน กู้ชูหน่วนก็เซไปเล็กน้อย แม้ไม่ล้ม แต่ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากสายหนึ่ง
“นังคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงกลับฝืนรับท่าสุดแกร่งของเจ้าบ้านไป๋หลี่”
“ใครจะรู้ว่านางเป็นใคร อย่าว่าแต่นางเป็นพวกเดียวกับตัวอัปมงคลเลย ต่อให้ไม่ใช่ แค่นางสังหารผู้อาวุโสตระกูลไป๋หลี่ เท่านั้นก็กำหนดว่าต้องตายแล้ว”
“กล้าเป็นอริกับใต้หล้า ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงแท้”
“นั่นนะสิ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหมือนนังเด็กแพศยาตระกูลมู่เลย”
“…”
คนโดยรอบต่างวิพากษ์วิจารณ์ ดูเรื่องสนุก
จอมมารจูงมือของกู้ชูหน่วน ส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น ต้องการมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านกับนาง “พี่สาวไม่ไป อาโม่ก็ไม่ไป อาโม่จะอยู่กับพี่สาวตลอดไป”
กู้ชูหน่วนเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากอย่างไม่รู้สึกเจ็บ เหลือบมองคนอื่นๆ สุดท้ายก็เบนสายตาไปมองสองคนที่ราชินีส่งมาคุ้มครองนาง
“จ่านเฟิง จ่านหยุนพวกเจ้าสองคนพาอาโม่ไปก่อน บอกนายท่าน ต่อให้ต้องสู้สุดชีวิต ข้าก็จะทำงานที่นายท่านสั่งให้สำเร็จให้ได้”
องครักษ์จ่านเฟิง และจ่านหยุนงงงัน
ฝ่าบาทแค่ให้นางควักดวงตาของตัวอัปมงคลออกมา ไม่ได้ให้นางนำตัวคนเป็นๆ ไปสักหน่อย
อีกอย่าง…
นี่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา
ทำไมต้องดึงมาเกี่ยวกับพวกเขาด้วย
พวกเขาแค่คุ้มครองส่งนางมาเท่านั้นนี่
เมื่อเห็นทุกคนจ้องพวกเขาด้วยสายตาเป็นศัตรู และยังถึงกับมีคนโบกเคียวฆ่ามาทางพวกเขาด้วยแล้ว
จ่านเฟิงและจ่านหยุนก็เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน
“ข้าว่าอยู่แล้วเชียว นางเป็นแค่นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะเอาความกล้าเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดินมาจากไหน ที่แท้เบื้องหลังยังมีคน ทุกคนต้องฆ่ามันสองคนก่อน แล้วค่อยเก็บนังเด็กนี่ สอบสวนให้กระจ่างว่านายข้างหลังนางคือผู้ใดกันแน่”
จ่านเฟิงและจ่านหยุนวิทยายุทธ์สูงส่ง แต่ก็ยากจะทัดทานหมู่คนจำนวนมาก
ดังนั้นจึงได้แต่ผิวปาก เรียกชายชุดดำปิดหน้าออกมากลุ่มใหญ่
สถานการณ์พลิกผันทันที เกิดความวุ่นวายชุลมุน เสียงฆ่าฟันดังไม่หยุดหย่อน
คนของตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างงงงัน
คนพวกนี้มีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศทั้งนั้น เป็นกลุ่มอิทธิพลจากไหนกันแน่
เวินเส้าหยีมองวิธีการอันคุ้นเคย ก่อนจะมองคนที่เท่เหมือนกู้ชูหน่วน
อดเห็นนางเป็นกู้ชูหน่วนไม่ได้
วิธีการทำลายผู้อื่นนี้ มีแต่นางเท่านั้นที่ช่ำชอง
ตระกูลไป๋หลี่ตั้งค่ายกล กักขังกู้ชูหน่วนและจอมมารให้อยู่ข้างใน
ค่ายกลนี้ตั้งโดยผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหลายของตระกูลไป๋หลี่ อานุภาพต่างจากค่ายกลอื่นๆ ต่อให้เป็นคนที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งเพียงไร หากถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้แล้ว ก็ยากจะเอาชีวิตรอด
เจ้าบ้านไป๋หลี่เอ่ยขึ้น “จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง บอกมาว่าใครเป็นตัวการข้างหลังที่คิดช่วยชีวิตเขา ข้าจะให้การตายแบบสบายๆ”
ผู้เฒ่าหนิงทำใจต้องสูญเสียผู้มีความสามารถไปไม่ได้ เอ่ยเตือน “นังหนู ต่อให้เป็นข้า ก็ทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้นะ เจ้าบอกมาเสียดีๆ เถอะ ขอเพียงเจ้าทำตัวดี ยอมจำนน บางทีข้าอาจเป็นตัวกลางช่วยเจ้าออกมาได้”
จอมมารกระตุกแขนเสื้อของกู้ชูหน่วน กระซิบ “พี่สาว ค่ายกลนี้ง่ายจะตาย ข้ารู้ว่าจะทำลายอย่างไร”