อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 1176 เชิญให้การสั่งสอน
อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1176 เชิญให้การสั่งสอน
ไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าว “หากว่าข้าอยู่ในสถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัส จะไม่ไปต่อสู้กับคนที่เป็นขั้นสูงสุดระดับหกเด็ดขาด”
เป็นขั้นสูงสุดระดับหกเหมือนกัน หากว่าฝ่ายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะมีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น
ยอดฝีมือที่มีศักยภาพเช่นนี้ โดยปกติแล้วจะไม่ประมือกับคนที่มีศักยภาพพอๆกับตัวเอง หรือว่าแข็งแกร่งกว่าตัวเอง
ต้องรู้ว่าทั้งทวีปปิงหลิง ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดระดับหกนั้นสามารถที่จะแบมือนับนิ้วออกมาได้
อยากจะถึงขึ้นสูงสุดระดับหก ก็ช่างเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
เวินเส้าหยีเอาพิณหิมะที่แบกไว้ด้านหลังออกมา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผู้อาวุโสไป๋หลี่ เชิญให้การสั่งสอนได้”
“ตูม….”
ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร หินขนาดใหญ่รอบๆก็ล้วนระเบิดออกตามๆกัน
หมอกดำตลบอบอวลอีกครั้ง ก่อตัวเป็นโครงกระดูกทีละตัวๆอย่างมืดฟ้ามัวดินวิ่งแยกเขี้ยวไปทางเวินเส้าหยี
เวินเส้าหยีนั่งลงบนพื้น ดีดพิณด้วยมือเปล่า โน้ตเพลงอันไพเราะแต่ละเสียงลอยวนอยู่ทั่วทั้งเขตต้องห้าม
ด้วยเสียงพิณที่ดังขึ้น แสงสีขาวราวหิมะลำแสงหนึ่ง แหวกเมฆเห็นหมอก ปัดเป่าให้หมอกสีดำที่ก่อตัวเป็นโครงกระดูกกระจายไป
กู้ชูหน่วนปวดหัวจนแทบจะขาดใจ ยังจะใส่ใจการต่อสู้ครั้งใหญ่ของพวกเขาได้อีกอย่างไร นางถอดปิ่นปักผมบนมวยผมออกมาอันหนึ่ง กรีดข้อมือของตัวเองด้วยความเด็ดเดี่ยว
ข้อมือถูกกรีด เลือดด้านในที่ไหลออกมาล้วนเป็นสีดำ
กู้ชูหน่วนลูบคลำบนลำตัว คลำเข็มเงินออกมาสองสามอัน นางใช้เข็มเงินผนึกจุดฝังเข็มใหญ่สองสามจุดบนร่างกายของตัวเอง พยายามเค้นเลือดที่เป็นพิษในร่างกายออกให้มากที่สุด
ซือโม่เฟยกล่าวด้วยความสับสนงงงวย “ตาเฒ่านั่นคงจะไม่ใช่มนุษย์พิษหรอกนะ ทำไมแค่เขาทำร้ายท่าน ทั้งภายในร่างกายของท่านถึงได้เต็มไปด้วยพิษได้”
กู้ชูหน่วนพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
หากไม่ใช่เพราะนางเชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ และร่างกายนี้ก็กินยาวิเศษมากเกินไป จนแทบจะต้านทานสารพัดพิษได้ ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่กล้าจะจินตนาการจริงๆ
พิษของเขาค่อนข้างลึกล้ำ แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
โดยทั่วไปจะสังเกตไม่ได้โดยสิ้นเชิง รอจนกระทั่งค้นพบ ก็สายไปแล้ว
อุณหภูมิในอากาศลดลงอย่างกะทันหัน หยาดน้ำค้างในป่าทึบรอบๆเขตต้องห้ามลอยขึ้นด้านบนทีละหยดๆ ลอยหมุนวนขึ้นดั่งปีศาจกำลังเริงระบำไปทำให้อากาศบริสุทธิ์
ดูเหมือนว่าเวินเส้าหยีก็สังเกตเห็นถึงสารพิษที่แฝงอยู่บนร่างกายของไป๋หลี่หมิงเยียนแล้ว
หมอกดำและหยาดน้ำค้างประสานกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม เกาะเกี่ยวและสู้กัน
ไป๋หลี่หมิงเยียนยืนอยู่ทางซ้าย หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากช่วงท้องระลอกแล้วระลอกเล่าจนมืดฟ้ามัวดิน
ทุกๆละอองของหมอกดำแฝงไปด้วยลมปราณแห่งความตาย
ต้นไม้รอบๆเขตต้องห้ามต่างพากันเหี่ยวเฉาเมื่อสัมผัสกับหมอกดำ
แต่เวินเส้าหยียังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น บรรเลงเพลงเบาๆด้วยมือเปล่า มองดูท่าทางที่เคลิบเคลิ้มของเขา ไม่เหมือนอยู่ในสงครามใหญ่โดยสิ้นเชิง แต่กลับเหมือนการดีดพิณอยู่ในป่าทึบให้ความบันเทิงแก่ตัวเองด้วยความสบายใจเช่นนั้น
“ครืน…..”
หลังจากหยาดน้ำค้างและหมอกดำประสานกัน ท้องฟ้าเดี๋ยวแหวกเมฆก็เห็นหมอกปลอดโปร่งขึ้นเป็นอย่างมาก
เดี๋ยวก็เป็นพยับเมฆดำทะมึน เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีดำ
สลับกันไปมาอยู่เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเวียนวนไปมากี่รอบแล้ว
พวกเขาดูเหมือนจะสงบนิ่ง แต่กู้ชูหน่วนรู้ ทันทีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งค้ำยันไม่ไหวแล้ว นั่นก็อาจจะไม่เพียงแค่พ่ายแพ้เท่านั้น แต่อาจจะถึงกระทั่งเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ได้
คนธรรมดาไม่ว่าจะต่อสู้กันอย่างไร ก็ไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่คิดอยากให้ฟ้าสว่างก็สว่าง อยากให้ฟ้ามืดก็มืดได้
เค้นเลือดที่เป็นพิษได้พอประมาณ กู้ชูหน่วนจึงสามารถเพิ่มลมปราณขึ้นมาได้เล็กน้อย
นางรีบฉวยช่องโหว่นี้ขับเคลื่อนพลังรักษาอาการบาดเจ็บนี้
ซือโม่เฟยปกป้องอยู่ข้างกายนางอย่างเชื่อฟัง คุ้มกันนาง
อุณหภูมิเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นเย็น หนาวเย็นจนนางสั่นสะท้าน
ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมร้อนจนไม่เป็นสุข จนแทบอยากจะหยิบมีดมาฟันคนให้ตายด้วยความดุดันซะให้ได้
ได้รับผลกระทบจากพวกเขา ทำให้อาการบาดเจ็บของกู้ชูหน่วนฟื้นตัวได้ช้ามาก จนถึงขั้นตัวนางแข็งตัวเป็นน้ำแข็งเพราะการต่อสู้ของพวกเขา หนาวเย็นจนทั้งร่างเกิดเป็นหมอกน้ำแข็งขึ้น และไม่สามารถเพิ่มลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บได้อีก
โอ้ย.……
สองคนนี้ จะสู้กันก็ไปสู้กันให้ไกลหน่อยก็ไม่ได้หรือไง มาสู้อะไรกันตรงนี้
แล้วในขณะที่เลือดของนางกำลังจะแข็งตัว ข้างหูก็ได้ยิงเสียงปังดังสนั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลืมตาขึ้น จึงได้เห็นเวินเส้าหยีมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก สีหน้าก็ซีดยิ่งกว่าเมื่อครู่แล้ว
เพียงแต่จากบนตัวเขา นางยังคงมองไม่เห็นความสะบักสะบอมใดๆ
เห็นเพียงเขาวางพิณหิมะลง ถลกแขนเสื้อขึ้น แต่กลับเห็นที่แขนของเขาเต็มไปด้วยหมอกสีดำของความชั่วร้ายเป็นกลุ่มก้อน
หมอกสีดำเหมือนดั่งหนอนที่อยู่อย่างแน่นขนัดเช่นนั้น ปีนป่ายคดเคี้ยวทอดยาว จนแทบอยากจะกระจายไปทั้งร่างของเขา
เพียงแต่ขณะที่หมอกดำปกคลุมอยู่เต็มแขนแล้วก็ถูกสกัดไว้ตรงนั้น ไม่ว่าจะพุ่งอย่างไร ก็พุ่งเข้าไปไม่ได้
เวินเส้าหยีเขา….
โดนพิษเข้าแล้ว…
ไป๋หลี่หมิงเยียนยิ้มและพูดว่า “หากเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ ข้าก็ต้องกลัวเจ้าจริงๆ น่าเสียดาย…เหอะ….”
เวินเส้าหยีลองอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถบังคับให้หมอกพิษออกไปได้ จึงปล่อยแขนเสือลงเสียเลย เงยหน้าขึ้นช้าๆ ชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่หมิงเยียน
“วิชาหมอกพิษของผู้อาวุโสไป๋หลี่ร้ายกาจจริงๆ สามารถเปลี่ยนความว่างเปล่าให้กลายเป็นวัตถุจริงได้ ข้าได้เปิดประสบการณ์แล้ว”
“หากว่าเจ้าบ้านเวินถอนตัวในเวลานี้ รับประกันว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของตระกูลไป๋หลี่กับนังหนูนี่ และจะไม่แย่งชิงวิญญาณและของอื่นๆอีก ข้าก็จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น และสามารถให้ยาถอนพิษกับเจ้าได้”
“ขอบคุณในความหวังดีของผู้อาวุโสไป๋หลี่ น่าเสียดายวิญญาณดวงนี้ข้าจำเป็นจะต้องเอามาให้ได้ แหวนมิติและขลุ่ยหยกมรกต ก็จำเป็นต้องเอามาให้ได้เช่นกัน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็อย่าหาว่าข้าจิตใจโหดเหี้ยมลงมืออย่างไร้ความปรานี”
สีหน้าของไป๋หลี่หมิงเยียนดุดัน ทันทีที่มือขวาบีบ หนอนสีดำเกลื่อนกลาดบนมือของเวินเส้าหยีก็เหมือนกับจะทะลุออกมาจากร่าง
จากหนอนสีดำที่ดิ้นรนอยู่ไม่หยุด เวินเส้าหยีขมวดคิ้วสีหมึกแน่น ราวกับว่ากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมหาศาลเช่นนั้น
ไม่เพียงแค่ที่แขน บนตัวของเขา กระทั่งบนใบหน้าของเขาก็มีหนอนสีดำเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่เต็มไปหมด
ซือโม่เฟยตกใจจนกอดกู้ชูหน่วนไว้
“น่ากลัวจัง ทำไมในร่างกายของเขาถึงได้มีแต่หนอนสีดำ พี่สาว ข้ากลัว”
ร่างกายที่อ่อนแอของกู้ชูหน่วนแทบจะถูกเขาพุ่งใส่จนล้ม
นางสงสัยอย่างจริงจังว่าผู้ชายคนนี้จงใจรึเปล่า
เขาคิดจะแต๊ะอั๋งนาง
นั่นคือพิษร้ายแรงที่ควบแน่นเป็นหนอน เพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถทำให้คนเหมือนตายไปทั้งเป็นแล้ว นางไม่กล้าจินตนาการจริงๆว่าบนร่างกายของเวินเส้าหยีมีหนอนมากมายขนาดนี้ จะมีความเจ็บปวดมากมายเพียงใด
ไม่ว่าเขาจะต้านทานอย่างไร ก็ไม่สามารถต้านทานหนอนดำยั้วเยี้ยที่เกาะกินร่างกายของเขาได้
แต่กระบวนท่าไม้ตายที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าของไป๋หลี่หมิงเยียนก็มาถึงแล้ว
เขาลงมืออย่างอำมหิต แต่ละกระบวนท่าล้วนตั้งใจจะทำให้เวินเส้าหยีตาย
เวินเส้าหยีทำได้เพียงฝืนทนต่อความเจ็บปวด แล้วดีดพิณอีกครั้ง
หากบอกว่าเมื่อครู่ทั้งสองล้วนเหลือเส้นตายไว้เล็กน้อย งั้นครั้งนี้ ทุกกระบวนท่าของพวกเขาทั้งสอง ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้อีกฝ่ายไปสู่นรกได้
ความหนาวเย็นบุกโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงพิณที่ดังขึ้น หยาดน้ำค้างทยอยระเบิดออก ราวกับเทพธิดาโปรยดอกไม้ ผ่านหมอกสีดำ ผ่านก้อนหินขนาดใหญ่มหึมา ปล่อยพุ่งไปยังไป๋หลี่หมิงเยียน
ไป๋หลี่หมิงเยียนเปล่งเสียงไม่พอใจออกมาอย่างเย็นชา ใช้กำลังภายในของตัวเองสร้างเกราะป้องกันรอบตัว สกัดกั้นหยาดน้ำค้างเหล่านั้นไว้
หยาดน้ำค้างดูเหมือนเล็ก แต่พลานุภาพกลับยิ่งใหญ่มาก ตีจนเกราะป้องกันของไป๋หลี่หมิงเยียนกลายเป็นรูเล็กๆรูแล้วรูเล่า
กู้ชูหน่วนรู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย
สองคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร เพียงแค่อยากฆ่านาง แม้ว่านางจะมีอาวุธวิเศษ ก็ไม่มีโอกาสชนะและรอดชีวิตได้เลย
เจ้าบ้านไป๋หลี่สั่นสะท้านยิ่งกว่า
เข้ารู้ว่าศักยภาพของขั้นสูงสุดระดับหกนั้นแข็งแกร่งมาก
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้
หยาดน้ำค้างที่ไม่ได้อยู่ในสายตา กลับสามารถทะลุผ่านก้อนหินได้อย่างไม่คาดคิด นี่จะต้องมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมากเพียงใด?
และเขา…
มองแล้วก็เพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ….
จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าวิทยายุทธที่เขารู้สึกภาคภูมิใจนั้น อยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้วก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยโดยสิ้นเชิง
แม้แต่ไป๋หลี่หมิงเยียนก็รู้สึกทึ่งเช่นกัน
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังโดนพิษร้ายแรงเป็นที่หนึ่งไม่มีที่สองของเขาอีก คิดไม่ถึงว่ายังจะสามารถแสดงศักยภาพที่ทรงพลังขนาดนี้ได้
หากว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นแล้วเขายังจะเป็นคู่ต่อกรของเขาได้อีกหรือ?