อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 145 ปากปีจอเกินไป น่าต่อย
ยังไม่ทันสิ้นคำหลี่เหิง ก็ได้ยินเสียงทุ่มลงพื้นหนักดังโครมๆๆ หลายเสียง
จากนั้นก็เป็นเสียงอเนจอนาถราวกับหมูถูกเชือด
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง แต่แล้วกลับเป็นลูกน้องเป็นฝูงของตนถูกกู้ชูหน่วนโยนออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ละคนกอดแขนกอดขาร้องโอดโอย
นี่…
นางลงมือได้อย่างไร?
ลูกน้องกลุ่มนี้ของเขาต่างมีวรยุทธ์ป้องกันตัวนี่
กู้ชูหน่วนเดินไปตรงหน้าเขาทีละก้าวๆ ยิ้มเย็นเอ่ย “เจ้าจะไสหัวไปเอง หรือว่าจะให้ข้าโยนเจ้าออกไป?”
หลี่เหิงกลืนน้ำลาย “ข้าจะบอกให้นะ ข้าเป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งของจวนกั๋วกง…อ้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ หลี่เหิงก็ถูกกู้ชูหน่วนโยนออกนอกหน้าต่างราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบ ร่างกายทิ้งตัวลงพื้นอย่างหนัก เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“เจ็บจะตายอยู่แล้ว กู้ชูหน่วน เจ้ามันหญิงสารเลว! ข้า…”
“เพี๊ยะๆๆๆ…”
สองแขนกู้ชูหน่วนร่วมด้วยช่วยกัน ซัดใส่หน้าเขารวดเดียวหลายสิบฉาด ตบจนใบหน้าของหลี่เหิงกลายเป็นสุกรทันที
“น้องสามนี่เจ้าทำอะไรน่ะ? วิทยาลัยห้ามใช้กำลังโดยพลการ เจ้าทำเช่นนี้จะถูกขับออกจากวิทยาลัยได้นะ ท่านอาจารย์ทั้งหลาย น้องสามมิได้ตั้งใจลงมือหนักเช่นนั้น โปรดให้น้องสามได้มีโอกาสแก้ไขตัวใหม่ด้วยเถิด”
ไม่รู้ว่ากู้ชูหยุนมาตั้งแต่เมื่อไร ท่าทางราวกับแม่พระดอกบัวขาว(*ภายนอกดูดี จิตใจชั่วร้าย) พูดจามีเหตุผล ส่วนด้านหลังมีบรรดาอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสตามมาเป็นขบวน
“เจ้าทำอะไรน่ะ?!” อาจารย์ฉางตะคอก
เขาเป็นอาจารย์สอนการขี่ม้าและยิงธนู หลายวันก่อนขอลากิจ ยังไม่ได้มาสอนที่วิทยาลัย คิดไม่ถึงว่าพอกลับมาอีกครั้ง อาจารย์ใหญ่และอาจารย์หรงก็ถูกสังหารแล้ว
เขาที่เดิมก็โกรธแค้น เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนลงมือชกต่อยกับเพื่อนร่วมเรียนอย่างไม่ยี่หระเช่นนี้ ก็ยิ่งบันดาลโทสะมากกว่าเดิม
กู้ชูหน่วนปล่อยหลี่เหิง กวาดมองบรรดาอาจารย์ที่มาแบบไม่เป็นมิตรอย่างเย็นชา สุดท้ายก็ทอดสายตามาที่กู้ชูหยุนที่เป็นแม่ดอกบัวขาว
ผิวเผินเป็นการขอร้องให้นาง แต่ที่จริงกลับนับความผิดนางอีกครั้ง ทั้งยังพาอาจารย์มามากขนาดนั้นอีก
ช่างเป็น ‘พี่สาวแสนดี’ ของนางจริงๆ
ครั้นถูกกู้ชูหน่วนจ้อง กู้ชูหยุนก็เริ่มหวั่นวิตก
สายตาของนางเย็นชายิ่งกว่าคมดาบ ประหนึ่งมองนางได้ทะลุปรุโปร่ง กุมทุกอย่างของนางได้
หลี่เหิงวิ่งไปหาอาจารย์ฉางอย่างล้มลุกคลุกคลาน ร่ำไห้อย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์ ท่านต้องจัดการให้ข้านะ กู้ชูหน่วนใส่ความโดยไร้สาเหตุ ชกข้าจนเป็นเช่นนี้ มือข้ายังถูกนางทำจนกระดูกเคลื่อนแล้ว เจ็บมากเลย”
หากมิใช่ฟังออกว่าเป็นเสียงของเขา ด้วยใบหน้าที่บวมเป่ง ทุกคนในที่นี้ย่อมไม่รู้ว่าเป็นหลี่เหิงแน่
อาจารย์ฉางเดือดพลุ “ที่แท้เจ้าก็คือกู้ชูหน่วน ทำไมเจ้าต้องลงมือหนักเช่นนี้ด้วย?”
กู้ชูหน่วนสะบัดมือที่ชกจนเจ็บ กิริยาเอื่อยเฉื่อย “เพราะปากเขาปีจอเกินไป น่าต่อย”
อาจารย์ฉางกลับไม่รู้ว่าตนเพิ่งกลับไปไม่กี่วัน นักเรียนที่วิทยาลัยรับมาใหม่กลับเหิมเกริมเช่นนี้ ต่อหน้าอาจารย์ยังกล้าโอหังขนาดนี้ได้
“นักเรียนที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา จิตใจอำมหิตเช่นนี้ จะมีสิทธิ์อยู่ต่อที่วิทยาลัยได้อย่างไร ผู้อาวุโส ข้าขอให้ขับกู้ชูหน่วนออกไปตลอดชีวิต โยนนางออกจากราชวิทยาลัย”
อาจารย์สวีรีบกระตุกแขนเสื้อเขา กระซิบ “มิได้! นางไม่เพียงเป็นหัวหน้างานชุมนุมแข่งขันบุ๋น แล้วฮ่องเต้ยังส่งมาเรียนที่ราชวิทยาลัยด้วยพระองค์เอง กำชับเราว่าขับนางออกไม่ได้ แล้ว…แล้วนางยังเป็นว่าที่พระชายาของท่านอ๋องหานอีก หากขับนาง จะตอบฝ่าบาท กับท่านอ๋องหานได้อย่างไร?”
“แต่นาง…”
อาจารย์สวียักคิ้วหลิ่วตา
เมื่ออาจารย์ฉางคำนึงถึงผลที่จะตามมาแล้วจึงได้แต่ปล่อยไป ถือตัวว่าเป็นอาจารย์ผู้สูงส่ง ออกคำสั่ง
“ขอโทษพวกหลี่เหิงเดี๋ยวนี้! ขอเพียงเจ้ามีความจริงใจ สาบานว่าจะไม่ทำอีก บางทีข้าอาจลงโทษเจ้าสถานเบา”
กู้ชูหน่วนลูบๆ เส้นผมที่ถูกลมพัดจนยุ่ง นัยน์ตาหงส์อมยิ้ม ราวกับได้ฟังเรื่องน่าขันแห่งยุค ชี้หลี่เหิงด้วยความถือตน “จะให้ข้าขอโทษเขา? ท่านอาจารย์ เกรงว่าท่านจะพูดกลับกันแล้วกระมัง?”
“กู้ชูหน่วน! เราไม่ได้ว่าร้ายเจ้า แล้วก็ไม่ได้ตีเจ้า เป็นเจ้าที่มาถึงก็ลงมือลงไม้ก่อน ทำไมเราต้องขอโทษเจ้าด้วย?!”
“เจ้ามิได้ว่าร้ายข้า แต่พวกเจ้าให้ร้ายเย่เฟิงอย่างโจ่งแจ้ง ทำลายชื่อเสียงของเขา หรือไม่ควรขอโทษหรือ?”
“เดิมทีเย่เฟิงเคยเป็นนักดีดพิณที่หอโคมเขียวอู๋โยว เราก็แค่พูดความจริง…”
“เพี๊ยะ…”
ตบไปอีกฉาด
ฟันของหลี่เหิงถูกตบหักไปสามซี่ เจ็บจนเขาแทบจะเป็นลม
“บังอาจ! กู้ชูหน่วน เจ้ากล้านักนะ ต่อหน้าอาจารย์เจ้ายังกล้าโอหัง คิดว่าเราไม่กล้าขับเจ้าหรืออย่างไร?”
“เช่นนั้นก็ขับเสียตอนนี้เลยสิ ที่ซอมซ่อเยี่ยงนี้ เชิญมาข้ายังไม่อยากมาเลย!”
“เจ้า! ผู้อาวุโสคนเช่นนี้หากไม่ขับออกไป ราชวิทยาลัยจะเอาชื่อเสียงไปไว้ที่ไหน?”
สายตาบรรดาผู้อาวุโสกะพริบ
ขับกู้ชูหน่วนทันที? พวกเขายังไม่มีอำนาจนี้
แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังต้องคำนึงถึงฝ่าบาทและอ๋องหาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขา
ที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่กู้ชูหน่วนมาเรียนหนังสือที่ราชวิทยาลัยแรกๆ ฝ่าบาทกำชับหนักหนา ไม่ว่านางจะไก่อ่อนอย่างไรก็ห้ามขับนาง
ครั้นเห็นทุกคนกำลังรอเขาเอ่ยปาก ผู้อาวุโสเฉินก็เอ่ยเนิบ
“พวกหลี่เหิงวิจารณ์เย่เฟิงตามอำเภอใจ ทำลายชื่อเสียงของเขา ผิดต่อกฎของวิทยาลัย สมควรลงโทษจริง คุณหนูสามกู้ก็ลงมือกับเพื่อนนักเรียนต่อหน้าผู้คน ไม่เคารพอาจารย์ ทำผิดเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองก็คัดกฎของวิทยาลัยร้อยจบก็แล้วกัน”
หลี่เหิงไม่พอใจ เพราะใบหน้าเขาบวกหนัก กอปรกับฟันหลุด เวลาพูดมักมีลมเล็ด
“ท่านอาจารย์ เราก็แค่วิจารณ์ไม่กี่คำ แต่นางชกเราจนเป็นเช่นนี้ นี่…ทำไม…”
สีหน้าผู้อาวุโสเฉินขรึมพลัน “หากเจ้ามีปัญหากับบทลงโทษของวิทยาลัย เช่นนั้นก็ลาออกไปเสีย”
‘ลาออก’ คำเดียว ทำจนหลี่เหิงสะอึก
ราชวิทยาลัยเป็นที่ใด? เขาจะยอมลาออกได้อย่างไร?
หากลาออก ทั้งชีวิตเขาก็สูญสิ้นหมดแล้ว
กู้ชูหยุนคับอกมาก
กู้ชูหน่วนเหิมเกริมโอหังเช่นนี้แล้ว วิทยาลัยยังยอมให้นางอีก
เรื่องตลกจบเพียงเท่านี้ กู้ชูหยุนไม่ยอม อดไม่ได้อึกๆ อักๆ
“คุณหนูรองกู้อยากพูดอะไรก็ว่ามาเถอะ”
อาจารย์ฉางรู้สึกดีกับกู้ชูหยุนมากมาตลอด เพราะกู้ชูหยุนไม่เพียงแต่หน้าตาดี นิสัยอ่อนโยน ทั้งยังมีความสามารถล้นหลาม เป็นแบบอย่างของวิทยาลัยเสมอมา
“ก่อนหน้านี้น้องสามบอกว่าให้เวลานางสามวัน นางต้องหาตัวฆาตกรที่สังหารอาจารย์ใหญ่ได้แน่ วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว อาจารย์ใหญ่มีบุญคุณใหญ่หลวงกับข้า แม้ข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็กวังว่าจะหาตัวคนร้ายได้ในเร็ววัน”
ที่จริงยังอีกสองสามชั่วยามจึงจะครบสามวัน
แต่ทุกคนต่างเบนเส้นสายตามาทางกู้ชูหน่วน รอคำตอบนางด้วยสีหน้าไม่ประสงค์ดี
ครั้นอาจารย์สวีได้ยินดังนั้นก็อดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนูสาม ไม่ทราบว่าตรวจสอบเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”
กู้ชูหน่วนเหลือบตามองกู้ชูหยุนแวบหนึ่ง ยิ้มเย็นเอ่ย “ฆาตกรยังหาไม่พบ เพียงแต่ตรวจสอบได้ว่าเย่เฟิงไม่ใช่ผู้ร้าย”
“เจ้าว่าเย่เฟิงไม่ใช่ผู้ร้าย แล้วมีหลักฐานอะไร?”
“เย่เฟิงไม่ใช่คนถนัดซ้ายกระมัง?”
อาจารย์สวีและคนอื่นๆ ย้อนคิดพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า
ไม่เคยเห็นเย่เฟิงใช้มือซ้ายทำอะไรมาก่อน